BY Aisoon Srikum
3 Jul 25 12:13 pm

รีวิว MindsEye – เมื่อผู้สร้าง GTA พาเราสู่เมืองไร้ชีวิตและเกมเพลย์สุดจืดจาง

504 Views

MindsEye คือผลงานล่าสุดของ Leslie Benzies ชายผู้เคยปั้นเกมชุด Grand Theft Auto ให้กลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลก แต่ครั้งนี้กลับกลายเป็นผลงานที่หลายคนอาจอยากลืม

Story – ตัวตนในอดีตและเมืองแห่งโลกอนาคต

เรื่องราวของ MindsEye เริ่มต้นขึ้นจากภาพอดีตย้อนหลังของ Jacob Diaz ตำแหน่งหน่วยสอดแนมประจำทีมที่เกิดเหตุการณ์บางอย่่างขึ้นกับเขาในอดีต และถูกฝังสิ่งที่เรียกว่า MindsEye ไว้ที่ต้นคอ เวลาผ่านไป เขาเดินทางมายัง Redrock City เมืองที่มนุษย์และเหล่าหุ่นยนต์เอไอใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน และได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนอย่าง Seb ให้เข้าไปทำงานที่ Silva Corporation ในฐานะเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย

แต่เป้าหมายที่แท้จริงของเขาคือการตามหาตัว Hunter Morrison นักวิจัยที่หายตัวไปอย่างลึกลับ โดยเชื่อว่า Hunter มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพัฒนาและวิจัย MindsEye อุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ที่ใ่ช้กันในกองทัพทหาร ก่อนที่เรื่องราวจะบานปลายและพบว่าเบื้องหลังของ Silva Corporation มันมีอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นซุกซ่อนอยู่เบื้องหลัง

บทและภาพรวมของ MindsEye นั้น ถ้าวางอคติลงก่อน ถือว่าค่อนข้างที่จะ Setting มาดีมาก นอกจากเรื่องราวของคนกับเอไอและหุ่นยนต์แล้ว มันยังมีลับลมคมในที่แต่ละตัวละครหมกเม็ดเอาไว้ ไม่เฉลยออกมาในตอนแรก รวมไปถึงความยาวของเนื้อเรื่องนั้น ยังยาวกว่าเกม AAA หลาย ๆ เกมในยุคนี้ซะอีก

แต่การ Setting มาดี ไม่ได้หมายความว่ามันจะเล่าเรื่องดี รวมไปถึงไม่ได้หมายความว่ามันจะจบดีด้วย เริ่มจากการเล่าเรื่องที่น่าเบื่อมาก เรื่องราวอะไรที่สำคัญ มันจะถูกเล่าผ่านตอนที่เกมบังคับให้เราขับรถไปทำภารกิจ หรือไปยังสถานที่ใดสถานที่หนึ่ง อยากจะกินลมชมวิวก็ไม่ได้ ถ้าคุณฟังภาษาอังกฤษออกแบบครบ 100% ก็ดีไป แต่ถ้าไม่ หากอยากรู้เนื้อเรื่องคุณก็ต้องเหลือบตามาอ่านซับไตเติล บางทีก็ต้องขยับขึ้นไปมอง Mini map เพื่อดูเส้นไกด์ภารกิจ

แถมหลายฉากก็ไม่มีความสมเหตุสมผลเอาซะเลย เช่น มีการนัดซื้อของผิดกฎหมาย กลุ่มโจรกลุ่มหนึ่งมันบอกว่า หาของไม่เจอ คนนัดมันบอกว่าเอาของไว้ในตึกที่มีหน้าต่าง แต่ในฉากนั้น มีซากตึกที่มีหน้าต่างอยู่ 4-5 ตึก คือมันไม่ Make Sense เลย กับการเขียนบทหรืออะไรแบบนี้ หนังแผ่นบางเรื่องยังทำดีซะกว่า และอย่าให้พูดถึงตอนจบ ออฟฟิศ GamingDose นี่ร้อง WTF กันแทบทุกคน

สรุปก็คือ แม้เนื้อเรื่องมันจะ Setting มาดี วางโครงเรื่องไว้น่าสนใจมาก แต่มันเล่าเรื่องได้ย่ำแย่สุด ๆ แถมจบได้หลุดโลกมากด้วย และนี่เป็นเพียงแค่ก้าวแรกของความย่ำแย่ของมันเท่านั้น

Presentation – เมืองใหญ่ที่ไร้ชีวิต

เป็นถึงเมืองที่มนุษย์และเอไอ วิวัฒนาการมาใช้ชีวิตร่วมกัน และยิ่งเป็นถึงเมืองที่หยิบยืมเอาบรรยากาศของ Las Vegas มาใช้ แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่ามันจะจืดจางได้มากขนาดนี้ เพราะแทบจะทั้งเมืองของเกมนี้ มันไม่มีชีวิตชีวา ไม่มีแม้กระทั่งกิจกรรมใด ๆ ให้เราทำได้เลย หนักกว่านั้นคือบางช่วงบางฉากของเกมนี้ ถึงขั้น Free Roam ไม่ได้ด้วยซ้ำไป

การออกแบบฉากของเกมนี้ ใครเคยเล่น GTA: San Andreas มาก่อน หรือเป็นคนที่เที่ยวบ่อย รู้จักโลกปัจจุบันของเราดี จะรู้เลยว่ามันคือ Las Vegas มหานครแห่งแสงสี แถมในเกมนี้ยังเป็น Las Vegas เวอร์ชันอัปเดตให้ทันโลกปัจจุบันด้วย เพราะมันมีพื้นที่ไอคอนิคอย่าง The Sphere อยู่ในเกมให้ได้เห็นกัน แต่ก็นั่นแหละ นอกเหนือจากนี้มันก็ไม่มีอะไรดี แทนที่เราจะได้ลงจากรถ ไปพบปะเหล่า NPC มีอาคารสถานที่ให้เข้าไป แต่ Redrock City หรือ Las Vegas ในเกมนี้ เราทำได้แค่เดินไปตามถนนเท่านั้น เท่านั้นจริง ๆ เพราะทำอย่างอื่นไม่ได้อีกแล้ว

ไม่ใช่แค่ตัวเมืองที่ทำอะไรแทบไม่ได้ เหล่า NPC ตามท้องถนนก็ไร้ชีวิตชีวาสุด ๆ แม้เราจะขับรถเกยฟุตบาท เกือบจะชนพวกเขามากแค่ไหน NPC เหล่านี้ก็ไม่ได้มีท่าทีเดือดร้อนหรือคิดจะเอาชีวิตรอดกันเลยแม้แต่น้อย อย่าว่าแต่ขับเกยฟุตบาทเลย บางภารกิจไล่ยิงกันวุ่นวายทั้งเมือง ถ้าใครหูตาไว ลองหันไปมอง NPC พวกเขาก็แทบจะเดินกันเป็นเรื่องปกติ ราวกับว่า Redrock City แห่งนี้ มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นทุกวัน

มันไม่ใช่แค่ตัวเมืองไร้ชีวิตชีวาเท่านั้น แต่อิสระที่เราควรจะทำได้ในเกมนี้ไม่มีเลยแม้แต่น้อย เพราะเกมจะพยายามครอบทับเราไว้ด้วยภารกิจแทบจะตลอดเวลา ซึ่งระหว่างที่ภารกิจกำลังดำเนินอยู่ ถ้าเป็นเกมอื่น เราสามารถจอดแวะ ลงไปเดินเล่น หรือทำอะไรก็ได้จนกว่าจะเข้าพื้นที่ แต่กับเกมนี้ แค่คุณขับรถช้า ก็อาจโดน NPC สาปเอาได้ หรือถ้าออกนอกลู่นอกทางหน่อยก็จะขึ้นว่าภารกิจล้มเหลวไปเลย เหมือนบังคับกลาย ๆ ว่าห้ามทำอะไรทั้งนั้น

แต่สิ่งที่เกมนี้ทำได้ดี และต้องชมจริง ๆ กลับเป็นส่วนของกราฟิกและรายละเอียดต่าง ๆ ตามฉาก มันสวยงามมาก อันนี้ปฏิเสธไม่ได้ นอกจากนั้นฉากคัทซีนต่าง ๆ ของเกมก็ถือว่าทำออกมาได้ดูดีมาก เหมือนกับเอางบทั้งหมดของบริษัทและการทำเกมนี้ มาลงให้กับส่วนคัทซีนไปซะหมด น่าเสียดายที่ใครมันจะอยากนั่งดูคัทซีน ถ้า Core Gameplay ของมันห่วยอยู่แล้ว

คอนเทนต์ของเกมคือเนื้อเรื่องแบบตรงยาวไปเลย ไม่มีการออกสำรวจ ไม่มี Collectible ให้เก็บ ไม่มีสกิลให้อัป ไม่มีความเป็น RPG คือถ้ามองในแง่ของความยาวเนื้อเรื่องมันก็จะคุ้มราคาแน่นอน แต่สิ่งที่ทำให้มันไม่คุ้มก็คือส่วนตัวไปนั่นคือเกมเพลย์การเล่น

Gameplay – แอ็กชันไร้หัวใจ

รูปแบบเกมเพลย์หลักของ MindsEye ก็เหมือนกับเกมอื่น ๆ ที่เราเคยเล่นกันมา มันคือเกมแอ็คชันผจญภัยในมุมมอง Third Person ที่ไม่มีอะไรเลย นอกจากการยิงศัตรูโจมตี และขับรถ แซมมาด้วยการเปลี่ยนไปบังคับโดรนในบางสถานการณ์ ซึ่งรวมทั้งสามอย่างเข้าด้วยกันนี้ ไม่ได้ทำให้เกมมันดูสนุกขึ้นมาเลย เนื่องจากระบบเกมเพลย์ของเกมนี้มันขาดการขัดเกลาหรือแม้กระทั่งขาดหัวใจที่จะทำให้มันสนุก

ส่วนแรกคือการยิงต่อสู้ ตัวเกมก็แทบจะหยิบเอาหลากหลายระบบเกมการเล่นมาผสมผสานกัน แต่ดูไม่ลงตัวเลยสักอย่าง เริ่มจากการระบบอาวุธที่มีเยอะไปก็เหมือนไม่มี เพราะทุกอาวุธ มีความต่างเพียงแค่ Fire Rate และจำนวนกระสุน แถมปืนพกเริ่มต้นก็ให้กระสุนมาแบบไม่จำกัดด้วย ดังนั้นใครเล็งแม่น ๆ หน่อยการยิงเข้าหัวศัตรูมันก็จะสามารถส่งศัตรูลงไปนอนกองกับพื้นได้อย่างง่าย ๆ ดังนั้นการเปลี่ยนไปใช้อาวุธประเภทอื่น ๆ จึงช่วยให้เรายิงได้เร็วขึ้น รัวขึ้นเท่านั้น

และในทุก ๆ ช่วงของการยิงต่อสู้นี่แทบจะเหมือนกับ Gears of War ในเวอร์ชันที่ทรมานกว่า เพราะมันอาศัยการเล่นแบบ Cover Base Shooter พ่วงด้วยสกิลพลังสุดโกงของ Jacob ที่สามารถสแกนศัตรูระยะตำแหน่งศัตรูได้แล้วมันก็จะมาร์คตำแหน่งให้เราเลยว่าศัตรูในระยะนั้น อยู่ตรงไหนบ้าง คือเห็นหมดทุกจุด วิ่งไปยิงมันถึงในมุมอับยังได้ ไม่ได้มีความท้าทายอะไรให้เราเล่นเลย และที่หน้ามึนยิ่งไปกว่านั้น คือเกมมันไม่มีการต่อสู้ระยะประชิด! คุณอ่านไม่ผิด เราไม่สามารถเดินไปใกล้ ๆ ใครแล้วกดต่อยได้ด้วยซ้ำ

เท่านั้นยังไม่พอ สงสัยทีมงานเขาคงอยากจะทำโหมดออนไลน์ควบคู่ไปด้วย แต่ไม่รู้จะทำมันออกมายังไงดี มันเลยมี Side Quest อย่างประตู Portal เกิดขึ้นมา และเมื่อเข้าประตูไป มันคือการย้อนอดีตไปสมัยที่พี่ Jacob แกยังหนุ่ม ๆ ที่ไม่รู้ว่าจะทำตัวเกรียนไล่ยิง ไล่ตบตำรวจไปทำไม เพราะเนื้อหาเสริมมันก็ไม่ได้เล่าอะไรเลย แถมพอเล่นจนจบ มีคะแนน Scoreboard ราวกับจะให้มันเป็นโหมดออนไลน์ซะงั้น คือนี่มัน Single Player หรือ Multiplayer สรุปพี่อยากทำเกมอะไรกันแน่ ?

ด้านดีไซน์ภารกิจยิ่งหนักหนาสาหัส หากการไล่ยิงศัตรูในเกมว่าน่าเบื่อแล้ว เจอการดีไซน์ภารกิจแบบเกมนี้ คุณจะยิ่งปวดหัว ครั้งแรกตอนผมได้จับเกมนี้ ก็แอบสงสัยว่า ทำไมมันให้เราขับรถนานจัง แต่พอเข้าภารกิจที่ 2 ภารกิจที่ 3 เอ๊ะ ไม่ใช่ละ มันให้เราขับรถมากเกินไปไหม คือขับระยะทางไกลนี่ว่าหนักแล้ว แต่ถ้าจับสังเกตดี ๆ คือเหมือนเขาจะอยากให้เราอยู่แต่บนรถ อยู่นานจนจับสังเกตได้ ส่วนตัวผมมองว่า เพราะคอนเทนต์อื่นในเกมเขา มันไม่มีอะไรเลย

เชื่อไหมว่าเกมนี้ไม่มีปุ่มเปิดให้ดูแผนที่ด้วยซ้ำ มีแค่ Minimap ที่เอาไว้บอกทางเราเวลาจะเดินทางไปทำภารกิจ อย่างที่บอกไปในช่วง Presentation ว่า ตัวเกมมัน Free Roam แทบไม่ได้ด้วยซ้ำ เขาคงไม่อยากให้เราเห็นว่าเกมมันอาการหนักถึงขั้นนี้ ซึ่งใช่ มันขั้นนี้จริง ๆ

โลกภายในเกมที่แห้งแล้ง ระบบเกมเพลย์ที่เป็นเส้นตรง แต่สร้างฉากใหญ่ ๆ ไว้ครอบทับเพื่อปิดบังความกลวง เกมเพลย์ที่ตื้นเขิน และไม่สนุก คือถ้าให้นั่งสับละเอียดเนี่ย มันก็คงยาวกว่านี้ได้อีก ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงได้เล่นเกมนี้ไปเยอะขนาดนี้ แต่คงเพื่อพิสูจน์ว่ามันห่วยจริง ๆ หากคุณต้องการคำยืนยันจากคนที่จ่ายเอง ซื้อเอง เล่นเอง ผมก็จะช่วยยืนยันให้แบบแฟร์ ๆ ว่า ถูกต้องแล้ว มันห่วยจริง ๆ ตามนั้นเลย

Performance – จุดแข็งเดียวที่ยังเหลือ

ปัญหาด้าน Performance แบบตรง ๆ นั้น อาจจะน้อยสักหน่อย เพราะเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เราใช้เล่น ก็เป็นระดับท็อป โดยได้ลองทั้งจากเครื่องตัวแรงสุดอย่าง RTX 5090 และตัวกลาง ๆ (ในปัจจุบัน) อย่าง RTX 3080 ตัวเกมนั้นไม่ค่อยมีปัญหาอะไรนอกเหนือไปจากว่า เราไม่ได้ตั้งค่าตัวเกมให้เหมาะสมกับสเปคเครื่องที่ใช้ ก็อาจจะเจอปัญหาเช่นเฟรมเรทแกว่งทั่วไป ส่วนบั๊กตัวละครจมดิน ทะลุแมป อะไรพวกนี้ คือเจอบ้างเล็กน้อย แต่ไม่ถึงขั้นทำลายประสบการณ์ระหว่างเล่่น (ที่ก็ไม่ค่อยจะมากสักเท่าไรนักอยู่แล้ว)

การปรับแต่งตั้งค่าตัวเกมนั้น ถือว่าอยู่ในระดับมาตรฐาน อะไรที่มันควรจะปรับได้ก็สามารถปรับได้ทั้งหมด แต่เราก็คงไม่มานั่งสนใจการปรับตั้งค่าอะไรมากเท่าไร ถ้าตัวเกมมันไม่ได้ดึงดูดจะให้เราเล่นต่ออยู่แล้ว แต่พอดูกันแบบละเอียด ๆ เกมที่มาทั้งระบบ Upscaling แบบเต็มรูปแบบ รองรับฟีเจอร์ใหม่ ๆ ทั้ง DLSS, Frame Generation และอื่น ๆ ขนาดนี้ ดูไปแล้ว ทีมงานเขาน่าจะใส่ใจกับระบบ Performance มากกว่าที่ตัวเกมเพลย์ซะอีก  ถ้าจะแบ่งคะแนนตอนท้ายสักเล็กน้อยมาชื่นชมอะไรล่ะก็ ก็คงเป็นส่วนของการตั้งค่าและ Setting ที่ละเอียดเกินกว่ารายละเอียดเกมเพลย์นี่ล่ะ

เชื่อว่าต่อจากนี้ ความขลังของคำว่า From the Director of…. หรือ จากผู้กำกับเกมชื่อดังอะไรก็ว่าไป มันจะขลังน้อยลงพอสมควร เพราะจนถึงตอนนี้ หลายคนก็ยังแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ว่านี่คือผลงานของ Leslie Benzies คนนั้น คนที่ทำให้ GTA ได้โลดแล่นอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ ก็ได้แต่หวังว่าอนาคต ผู้กำกับมือใหม่ มือทองคนใดก็ตาม จะยิ่งต้องรัดเข็มขัดตัวเองให้แน่น เพราะคงไม่มีใครยึดมั่น หรือมั่นใจในผลงานในอดีตของตัวเองอีกต่อไป

รีวิว MindsEye

3 / 10 คะแนน

3

ข้อดี

  • งานกราฟิกและคัทซีนอยู่ในระดับที่่สวยงาม และน่าเสียดายที่ถูกอย่างอื่นฝังกลบซะมิด

ข้อเสีย

  • เกมเพลย์ตกยุคแบบขั้นสุด
  • เนื้อเรื่องเซ็ตมาดี แต่ดิ่งลงเหวในตอนจบเหมือนโดนเททิ้ง
  • เป็นเกมเส้นตรง แต่ทำโลกเปิดกว้างมาครอบบังความกลวงของเกมเอาไว้
  • หน้าเมนู UX/UI เข้าขั้นเลวร้ายสำหรับเกมปี 2025
  • พยายามจะทำหลายอย่าง หลายโหมด แต่ไม่ดีสักอย่าง
  • ไม่มีคอนเทนต์อื่นใดดึงดูดให้คนพยายามเล่นให้จบ หรือแม้กระทั่ง "อยากจะเล่นมัน"

Aisoon Srikum

Back to top