การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของตำนานเกมยิง มันจะคู่ควรกับความเป็นเกม ‘Doom’ แค่ไหน หาคำตอบกันในรีวิว DOOM: The Dark Ages นี้
สเปคคอมพิวเตอร์ที่ใช้รีวิว
- Motherboard: ASUS Z490-P
CPU: Intel Core i9 10900K
GPU: NVIDIA GeForce RTX 4080 super
RAM: Kingston 16GB 3200MHz
PSU: Thermaltake GF3 1350W
Story – เรื่องเล่าปฐมบทก่อน Doom (2016)
นี่คือเรื่องราวย้อนกลับไปนานแสนนาน ก่อนเหตุการณ์ในเกม DOOM (2016) การต่อสู้กับเหล่าปีศาจนรกของ Doomguy (ดูมกาย) ได้พาให้เขาหลุดมิติมายังดาว Argent D’Nur (อาร์เจน ดิ นัวร์) ดวงดาวที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ แต่พวกเขาก็มีเทคโนโลยีและวัฒนธรรมแตกต่างจากมนุษย์โลก การมาถึงของตัวเอกนำพาให้ปีศาจเปิดประตูมิติตามเขามาและเริ่มการรุกรานดาว Argent D’Nur
ด้วยเหตุนี้ เหล่าเทวดา Maykr (เมเคอร์) ที่ชาวดาว Argent D’Nur เคารพบูชาให้เป็นนายเหนือหัว ได้ทำการมอบพลังลึกลับให้กับ Doomguy เพื่อให้เขาเป็นเครื่องมือในการสังหารปีศาจ พลังนั้นทำให้ Doomguy มีพละกำลังดุจดั่งเทพเจ้าและได้รับฉายาใหม่ตั้งแต่นั้นมาว่า ‘Doom Slayer’ (ดูม สเลเยอร์) แต่พลังนั้นมาพร้อมโซ่ตรวน เขาถูกควบคุมจิตใจให้รับใช้แต่เหล่า Maykr และกลายเป็นสุดยอดอาวุธที่ Maykr สั่งการได้เท่านั้น
ในตอนนี้นรกได้เริ่มการรุกรานอย่างหนักหน่วง โดยการนำทัพของ ‘เจ้าชาย Ahzrak’ (อาซแรค) จอมมารวัยหนุ่มผู้หมายจะขึ้นตำแหน่งเป็นเจ้านรกคนใหม่ Doom Slayer จึงกลายมาเป็นตัวแปรสำคัญในการหยุดจอมมารตนนี้
หากใครที่เป็นสาวกเกม DOOM ที่สนใจเนื้อหาอันยิ่งใหญ่ของจักรวาลเกมนี้ (ในยุคหลัง 2016 เพราะก่อนหน้านั้น เนื้อเรื่องแทบไม่มี..) DOOM: The Dark Ages จะเป็นภาคที่เหมือนแฟนเซอร์วิส คุณจะได้เห็นฉาก, เหตุการณ์ และตัวละครที่คุณเคยเห็นในภาค Eternal หรือได้อ่านเรื่องราวของเขาจากไฟล์ข้อมูล แต่คราวนี้ คุณได้อยู่ในเหตุการณ์นั้น ๆ ด้วยตัวเอง และมันจะเป็นการตอบคำถามหลายอย่างที่ถูกเล่าไว้อย่างคลุมเครือในภาค 2016 และ Eternal ซึ่งถ้าคุณเป็นแฟนเกม Doom เหมือนผู้เขียน คุณจะต้องชอบใจอย่างแน่นอน
แต่เรื่องราวในภาคนี้ก็แอบขัดแย้งกับการโปรโมตไปหน่อย ก่อนหน้านี้ทางผู้พัฒนาได้บอกว่า นี่จะเป็น Doom ภาคที่เหมาะมากกับผู้เล่นหน้าใหม่ แต่พอผู้เขียนได้เล่นจนจบ ก็ยิ่งทำให้รู้สึกว่าถ้าใครไม่เคยเล่นทั้ง DOOM (2016) และ DOOM Eternal จะยิ่งไม่เข้าใจหนักกว่าเดิม เพราะเกมไม่ค่อยอธิบายความเป็นมาที่สำคัญ
ถ้านี่เป็นเกม DOOM เกมแรกที่คุณเล่น คุณจะไม่รู้เลยว่าเทวดา Maykr กับเหล่ามนุษย์บนดาว Argent D’Nur มีความสัมพันธ์กันอย่างไร พลังที่ตัวเอกได้มาจาก Maykr มีที่มาจากไหน และเหตุการณ์สำคัญของเรื่องในจังหวะที่เกมเฉลยออกมา คุณจะไม่รู้เลยว่าสิ่งนั้นมันคืออะไร เหมือนเป็นการกั๊กเอาไว้ไม่ให้สปอยล์เนื้อหาในภาคที่แล้ว ซึ่งก็มีเหตุผลและเนื้อหาในภาคนี้ก็ไม่ได้เข้าใจยากอะไรขนาดนั้น แต่อรรถรสของผู้เล่นหน้าใหม่จะไม่ยอดเยี่ยมเท่ากับคนที่เคยเล่นภาคก่อน ๆ แน่นอน
ข้อดีอีกอย่างของเรื่องราวในภาคนี้ คือมันทิ้งเชื้อให้กับหลายสิ่งหลายอย่างมาก มันเป็นเรื่องราวที่จบในตัวเองอย่างยิ่งใหญ่สะใจ แต่ก็ทิ้งประเด็นมากมายให้สานต่อ ที่ทำได้ทั้งเหตุการณ์ในอดีต ก่อน DOOM (2016) หรือสานต่อจาก DLC ‘The Ancient Gods’ ของ DOOM Eternal ก็ยังได้ ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าเราจะได้เห็นเกม DOOM ภาคใหม่กันอีกยันลูกบวชเลยทีเดียว
PRESENTATION – “อัศวินยุคกลาง ปะทะ นรก” / เพลงประกอบสุดเร้าใจ และเสียงเอฟเฟคสุดมันส์
‘อัศวินยุคกลาง ปะทะ ปีศาจนรก’ นั่นคือไอเดียของ DOOM: The Dark Ages จากบรรยากาศของโลกไซ-ไฟล้ำยุค ที่ถูกรุกรานโดยความชั่วร้ายจากนรก กลายมาเป็นปราสาท, ป้อมค่าย, นักรบถือดาบและโล่ เข้าต่อกรกับเหล่าปีศาจร้าย แม้ว่าเราจะได้เห็นมันบ้าง ใน Doom Eternal ที่ยานหลักของพระเอกจะเป็นยานที่ถูกสร้างโดยเหล่าอัศวิน Night Sentinels แต่ใน DOOM: The Dark Ages คุณจะได้อยู่ในบรรยากาศของความเป็นยุคกลางแทบทั้งเกม
การดีไซน์ของเหล่า Night Sentinels ก็มีความประหลาดและมีเอกลักษณ์ เผ่าพันธุ์มนุษย์บนดาว Argent D’Nur จะมีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า สามารถสร้างยานรบ, หุ่นยนต์ยักษ์ และ ปืนเลเซอร์ แต่พวกเขาก็ยังยึดติดกับความเป็นยุคกลาง การแต่งกายในรูปแบบของอัศวินเกราะเหล็กและชาวบ้านที่นุ่งห่มด้วยเครื่องหนังที่มีลวดลายของความล้ำยุคผสมอยู่เล็กน้อย ทำให้มันเป็นงานอาร์ทที่ทั้งน่าสนใจ และแปลกใหม่ในโลกของเกม DOOM
และสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับเกม DOOM ยุคใหม่ นั่นคือเพลงประกอบสุดเร้าใจ แม้จะไม่ใช่ผลงานจาก Mick Gordon หรือบรรดาศิลปินเก่า ๆ แต่เพลงประกอบของ DOOM: The Dark Ages จะหนักแน่น เน้นพลังของเสียงกีต้าร์ ที่ทำให้ฉากการต่อสู้ดุเดือดถึงใจอย่างที่สุด แนะนำให้เปิดเพลงขึ้น 100% และเอาเสียงอื่น ๆ ลงมาที่ 80% เพื่อความสะใจขั้นสุด
แต่นอกจากเพลงประกอบที่สุดยอด เสียงเอฟเฟคของภาคนี้ก็ดุดันสะใจยิ่งกว่าทุกภาค จังหวะเข้าปะทะด้วยโล่ ตามด้วยหมัด, ลูกตุ้ม หรือ ตะบองหนาม พร้อมกับการ Parry ปัดการโจมตี มันจะให้ความรู้สึกที่ทรงพลังจนอยากลุกไปเตะกระสอบทรายซักป้าป 2 ป้าป ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเสียงของอาวุธปืน โดยเฉพาะลูกซองแฝด Super Shotgun ที่ทรงพลังอย่างที่สุด
DOOM: The Dark Ages เป็นเกมที่ไม่มีโหมดออนไลน์ Multiplayer แต่มันจะมีโหมดเนื้อเรื่องที่ยาวยิ่งกว่าภาคไหน ๆ จากใน DOOM (2016) กับ DOOM Eternal ที่จะมีภาคละ 13 ด่าน (ไม่รวม DLC) DOOM: The Dark Ages จะมีความยาวมากกว่า 20 ด่าน ที่แต่ละด่านต้องใช้เวลาเฉลี่ย 30 – 40 นาที หรืออาจจะมากกว่านั้นถ้าคุณต้องการจะเก็บไอเทมและความลับให้ครบ 100% ดังนั้น มันจะเป็นเกมที่คอนเท้นต์จุใจตั้งแต่แรก แม้จะยังไม่มี DLC เรื่องเสริมหรือโหมดพิเศษ (ซึ่งโหมดพิเศษอาจจะมีมาในภายหลังแบบในภาค Eternal)
การออกแบบแผนที่ในภาคนี้จะเป็นการรวมหลายรูปแบบ คุณจะได้เจอแผนที่ในสไตล์แบบเส้นตรงผสมทางลับ ตามรูปแบบของ DOOM (2016) และ DOOM Eternal หรือบางฉากที่จะเป็นพื้นที่กว้างใหญ่มาก ที่จะมีจุดปะทะปีศาจให้คุณเลือกโจมตีได้ตามสบาย และในบางฉาก คุณจะได้ทะยานฟ้าด้วยมังกรไฟ ที่ทำให้การสำรวจฉากยิ่งซับซ้อนและแปลกใหม่
ซึ่งในฉากที่ว่ามาทั้งหมด ล้วนมีความลับและทรัพยากรให้เราค้นหา ยิ่งคุณเจอมันมากเท่าไหร่คุณก็ยิ่งมีสิทธ์ในการอัปเกรดอาวุธ ส่วนในฉากที่เป็นการขับหุ่นยักษ์ Atlan จะเป็นภารกิจแบบเส้นตรง ที่ให้คุณปลดปล่อยความบ้าพลังเต็มที่ ไม่มีการตามหาไอเทมใด ๆ ทำให้ประสบการณ์ในภาคนี้จะเป็นการเปลี่ยนรสชาติตลอดทั้งเกม
แต่การสำรวจที่น่าสนุกแถมให้รางวัลกับผู้เล่น ดันมาตกม้าตายเพราะขาดระบบที่มีมาตั้งแต่ภาค Eternal นั่นคือไม่มีการ ‘Fast travel’ ใน DOOM Eternal จังหวะที่คุณจบฉากแล้ว แต่ยังไม่เข้าประตูสุดท้าย เกมจะทำการปลดล็อค Fast travel ปล่อยให้คุณวาร์ปกลับไปในพื้นที่เก่า ๆ พื่อตามเก็บความลับให้ครบ
แต่ใน DOOM: The Dark Ages ไม่มีการทำแบบนั้น และมีหลาย Secrets มาก ๆ ที่ถ้าคุณพลาดก็พลาดไปเลย ไม่มีทางย้อนกลับไปเก็บได้อีก ทางเดียวที่จะเก็บใหม่คือคุณต้องโหลดฉากนั้นเล่นซ้ำทั้งหมด ทั้งที่การสำรวจในภาคนี้จะสำคัญยิ่งกว่าที่ผ่านมา แต่ระบบที่อำนวยความสะดวกในการสำรวจกลับถูกเอาออกไปซะอย่างนั้น
กับอีกเรื่องที่อาจจะไม่ได้เป็นปัญหามากแต่ก็ขัดหูขัดตาเล็กน้อย นั่นคือแอนิเมชั่นในการ ‘Glory kill’ ภาคนี้ก็ยังมีอยู่บ้าง ไม่ได้มีแต่การซัดกระเด็น แต่แอนิเมชั่นบางท่ามันดูเบาบาง เหยาะแหยะ ไม่ทรงพลังเหมือน 2016 หรือ DOOM: Eternal เหมือนกับว่ามันไม่ได้รับการใส่ใจเท่าที่ควรเพราะมันไม่สำคัญ แต่ถึงอย่างนั้นแล้ว การ Glory kill ด้วยการซัดปลิวแบบในภาคนี้ ก็ยังหนักแน่นสะใจไม่แพ้กัน
GAMEPLAY – ถ้าคุณชอบความดุเดือดในการตีประชิด การปัดการโจมตี ยืนซัดกับปีศาจแบบตัวต่อตัว นี่คืออีกรสชาติของเกม Doom ที่ดุเดือดสะใจอย่างที่สุด
ถ้าคุณเคยเล่น DOOM ยุคคลาสสิค พอจับภาคนี้ คุณจะรู้สึกทันทีเลยว่ามันคล้ายกับในภาคเก่ามาก ๆ คุณยังวิ่งได้อย่างรวดเร็ว และลูกไฟที่ปีศาจยิงออกมาจะพุ่งเข้ามาอย่างช้า ๆ ปล่อยให้คุณเดินหลบหลีก ที่เป็นเหมือนกับสนามเกม Bullet hell ในมุมมองบุคคลที่ 1 แต่ถึงลูกไฟพวกนั้นจะพุ่งมาอย่างช้า ๆ ถ้าคุณหลบไม่พ้นล่ะก็ คุณจะเจ็บหนักราว ๆ 60HP หรือ 70HP เลยทีเดียว เปลี่ยนรสชาติจากการ Dash โจนทะยานกลางอากาศด้วย Meathook แบบในภาค Eternal กลับมาสู่ความคลาสสิคของ Doom ต้นฉบับ
แต่มันไม่ได้มีแต่ของเก่า DOOM: The Dark Ages มาพร้อมกับสไตล์การเล่นแบบในเกมยุคใหม่ นั่นคือการ Parry โล่ ‘Shield Saw’ จะเป็นอุปกรณ์อเนกประสงค์ของภาคนี้ ใช้ตั้งแต่การตั้งรับ การโจมตี หรือแก้ปริศนาผ่านฉากก็ยังต้องใช้โล่ และการ Parry ก็กลายมาเป็นปัจจัยสำคัญในการต่อสู้
ลูปการเล่นของ DOOM: The Dark Ages จะต่างไปจากภาค Eternal จากที่เราเคยใช้เลื่อยยนต์ฆ่าศัตรูเพื่อเติมกระสุน Glory kill เพื่อฟื้นพลังและชาร์จหมัดหนัก กับการเผาไฟเพื่อเติมเกราะ คราวนี้ คุณต้องใช้การตีประชิดเพื่อเติมกระสุน การ Glory kill หรือในภาคนี้จะเรียก Executions (ประหาร) จะทำให้คุณได้พลังชีวิตและกระสุนไปพร้อม ๆ กัน
การตีประชิดจะไม่สามารถทำได้ตลอดเวลา อย่างอาวุธชิ้นแรก ถุงมือเหล็ก จะให้คุณต่อยได้ติดกัน 3 ครั้ง หลังจากนั้นคุณจะต้องรอเวลาให้มันชาร์จถึงจะต่อยได้อีกครั้ง แต่การ Parry การโจมตี นอกจากจะทำให้ศัตรูเสียหลักเปิดช่องว่าง มันยังเป็นการชาร์จพลังให้กับการตีประชิดของเรา ดังนั้นถ้าคุณอยากตีประชิดได้อีก คุณก็ต้องปัดการโจมตีให้แม่นและเข้าไปฟาดซ้ำ
ซึ่งการฟาดนั้นก็จะทำให้คุณได้กระสุนมาใช้ ถ้าคุณพลังเหลือน้อยก็ไม่จำเป็นจะต้อง Glory kill แค่ฆ่าศัตรูให้ได้ จะวิธีไหนก็ตาม คุณก็จะได้พลังชีวิตคืนมาเอง และคุณสามารถ Parry ลูกไฟสีเขียว เพื่อเป็นการคืนสนองแก่ปีศาจที่ยิงมาใส่เรา
อาจจะดูเหมือนการเอาเกมการเล่นของเกมแอ็คชั่นยุคปัจจุบัน อย่าง God of War มาใส่ให้ Doom เฉย ๆ แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นเสียทีเดียว เพราะคุณสามารถปรับแต่งระบบที่เรียบง่ายแบบนี้ ให้มีลูกเล่นตามที่เราชอบ อย่างปืน Skullcrusher จะมีอัปเกรดที่ว่าถ้าคุณโจมตีประชิด มันจะเป็นการชาร์จพลังให้ปืน Skullcrusher กลายเป็นโหมดยิงรัวแถมแรงกว่าเดิม
ปืน Reaver chainshot ที่ต้องชาร์จยิง จะมีการอัปเกรดที่ทำให้จังหวะที่คุณ Parry ปืน Reaver chainshot จะชาร์จเต็มทันที ซึ่งแน่นอนว่าคุณสามารถใช้มันคอมโบคู่กับการตีประชิด หรือ Rocket launcher เครื่องยิงจรวดที่รุนแรงแต่อันตรายมากหากยิงใกล้เกิน จังหวะที่คุณ Parry ได้ ในจังหวะสั้น ๆ นั้น แรงระเบิดที่คุณยิงโดนตัวเองจะเติมพลังชีวิตให้แทน กลายเป็นความสร้างสรรค์อีกอย่างในการใช้ทุกอย่างร่วมกัน
และในช่วงนึงของเกม โล่ของเราจะได้รับพลังพิเศษให้สามารถติด Rune ที่คุณเลือกใส่ได้ ซึ่งมันจะทำงานในจังหวะที่คุณ Parry ลูกไฟ ที่แต่ละอย่างทั้งรุนแรงและอลังการไม่แพ้กัน กลายเป็นวิธีตอบโต้ด้วยการตั้งรับ
นอกจากการ Parry กับการตั้งรับ โล่ของเรายังสามารถใช้เป็นการพุ่งกระแทกเป้าหมาย ที่จะเป็นระเบิดวงกว้างเก็บศัตรูระดับเล็กทันที ศัตรูที่มีเกราะเหล็กหรือโล่พลังงาน การปาโล่ใส่ก็เป็นอีกเทคนิคในการจัดการพวกมันอย่างรวดเร็ว และศัตรูระดับ Heavy ที่ถูกปาโล่ใส่ โล่ของเราจะปักคาตัวและปั่นเลือดเนื้อมันไปเรื่อย ๆ เป็นการ stun lock ศัตรูให้อยู่กับที่ เปิดช่องว่างให้เราโจมตี
แต่คุณก็ต้องระวังหลาย ๆ อย่าง เช่นว่าโล่ของเราก็มีพลังจำกัด การตั้งรับธรรมดาที่ไม่ใช่การ Parry จะลดพลังโล่ลงไปเรื่อย ๆ ถ้าหมดเมื่อไหร่ การ์ดคุณจะแตก และทำให้เราใช้โล่ไม่ได้ระยะหนึ่ง (ระบบคล้าย ๆ กับหลอด Posture ในเกม Sekiro: Shadows Die Twice) เกราะเหล็กบางตัวต้องยิงให้ร้อนก่อนถึงจะปาโล่ให้แตกได้ หรือในจังหวะที่เราปาโล่ออกไปปักศัตรู เราก็จะไม่มีโล่ไว้ป้องกันตัวชั่วคราว ซึ่งนั่นคือความเสี่ยงที่เราต้องบริหาร
นี่คือเกมการเล่นที่ผู้เขียนรู้สึกได้ว่า ถ้าใครไม่ชอบก็เกลียดไปเลย เพราะเกม DOOM ไม่เคยต้องอาศัยการ Parry การจับจังหวะมากมายขนาดนี้ แม้ว่ามันจะเข้าถึงง่ายไม่ซับซ้อนเหมือน Doom Eternal แต่มันก็ดูผิดแผกไปจากรูปแบบของเกม Arena shooter การพยายามสร้างสนามรบ Bullet hell ก็ทำให้ศัตรูบางชนิดดูแปลกประหลาดผิดไปจากบทบาทที่พวกมันเคยเป็น แต่ถ้าคุณชอบความดุเดือดในการตีประชิด การปัดการโจมตี ยืนซัดกับปีศาจแบบตัวต่อตัว นี่คืออีกรสชาติของเกม Doom ที่ดุเดือดสะใจอย่างที่สุด
แต่ในเกมการเล่นของการขี่มังกรและการขับหุ่นยนต์ยักษ์ Atlan มันไม่ได้น่าสนใจอย่างที่คิด การขับหุ่นยักษ์จะเป็นช่วงเวลาของการระบายอารมณ์ เป็นช่วงที่เกมปล่อยให้คุณเล่นแบบสะใจไม่ต้องคิดมาก อาจจะต้องหลบการโจมตีสีเขียวเพื่อชาร์จพลัง แต่รวม ๆ ก็ไม่ได้ท้าทายอะไร ส่วนการต่อสู้ด้วยมังกรยิ่งแล้วใหญ่ มันเป็นแค่การล็อคเป้าและหลบลูกไฟให้ถูกทางเท่านั้น ซึ่งแอนิเมชั่นจังหวะหลบก็ดูดีด ๆ ดึ๋ง ๆ ไม่เท่สมกับความเป็นมังกรเลย จะสนุกหน่อยก็ในตอนที่เราต้องไล่ยิง Fighter jet ของนรก ที่จะให้ทรัพยากรพิเศษถ้าคุณยิงทัน ข้อดีที่สุดของฉากที่ขี่มังกร คือมันทำให้ฉากมีความแปลกใหม่ดูตื่นตาตื่นใจกับการสำรวจมากกว่า
PERFORMANCE – ภาพสวยงามขึ้นแต่ก็ต้องแลกมาด้วยการกินสเปคที่เพิ่มขึ้น และ Bug ประปรายรายทางที่หวังว่าจะแก้ในเกมตัวเต็ม
ด้วยเกมการเล่นที่ดุเดือด (และคนเล่นก็หัวเดือดเพราะตายหลายรอบ..) ทำให้ไม่ได้สังเกตเลยว่า เกมนี้มันภาพสวยขึ้นกว่าในภาคก่อน ๆ ขนาดไหน จนกระทั่งเอาไปเปิดเล่นที่ออฟฟิศ GamingDose (CPU: Core i9-13900K, RAM: 32GB, VGA: GeForce RTX 5090) และทีมงานคนอื่น ๆ เดินมาดู เขาถึงได้พูดกันว่าเกมนี้มันภาพสวยมาก ๆ แสงเงาในฉากที่โล่งทำให้เกมดูสมจริงขึ้นกว่าที่ผ่านมา แถมมีเอฟเฟคแสงแบบ Ambient Occlusion ที่ทำให้เกิดเงาตามมุมอัพของวัตถุแบบ Real time ใน 2 ภาคที่ผ่านมา
แสงเงาแบบนี้จะเป็นสิ่งที่แต่งเอาไว้แบบสำเร็จรูปตามฉาก แต่ใน DOOM: The Dark Ages ทำให้มันเป็นแสงแบบ Real time กันเลยทีเดียว และนอกจากระบบแสงเงาที่ดีขึ้น รายละเอียดพื้นผิวของทุกอย่างก็ดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าผู้เขียนจะเป็น DLSS ที่ระดับ Performance ภาพที่ออกมาก็ยังคมชัดบนจอ 4K
แต่เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าก็มาพร้อมกับความต้องการที่สูงขึ้น จากเครื่องเก่าที่เคยใช้เล่น Doom Eternal (CPU: Core i9-10900K, RAM: 16 GB, GeForce RTX 4080 SUPER) บนระดับ 4K ด้วย DLSS Quality บนเฟรมเรตระดับ 100+ ตลอดเวลา มาภาคนี้กลับได้เฟรมเรตในระดับ 80 โดยเฉลี่ย
แม้จะเปิด DLSS ระดับ Performance และมีลงไปถึง 60 ปลาย ๆ ก็มีในบางฉาก แต่ถ้าเปิด Frame generation ระดับ X2 ช่วยไปด้วย ก็จะได้เฟรมเรตขึ้นมาอยู่ในช่วง 100+ ตลอดเช่นเดิม แลกกับการมี input lag เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้มีผลอะไรมาก
ดังนั้นถ้า PC ของใครเริ่มจะไม่ไหว ก็ต้องเปิด Frame generation ช่วยกันบ้าง
ส่วนปัญหาด้านเทคนิคก็ต้องบอกว่าน้อยกว่าภาค Eternal ช่วงแรก บั๊คที่มีผลกับเกมการเล่นแทบไม่มี แต่ด้วยความที่เวอร์ชั่นนี้ยังเป็นเวอร์ชั่นก่อน Day one patch ทำให้เราได้เจอบั๊ค UI อยู่บ้าง เช่นเปลี่ยนปุ่มแล้วแต่ยังขึ้นว่าใช้ปุ่มเดิม (แต่กดแล้วเป็นปุ่มใหม่) นอกนั้นก็ไม่มีปัญหาใด ๆ เว้นแต่ครั้งหนึ่งที่ผู้เขียนเจอจังหวะศัตรูไม่ยอมเกิด ทำให้ไปต่อไม่ได้ ซึ่งก็แก้ง่าย ๆ ด้วยการโหลด Checkpoint ซึ่งผมเจอครั้งเดียวตลอดเวลาที่เล่นจนจบรอบแรก แต่ก็พาให้หวาดเสียวเช่นกัน ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไงถ้าไปเจอในตอนเล่นโหมด Ultra-nightmare
แต่จุดที่เป็นปัญหาจริง ๆ เลยในเวอร์ชั่นนี้ นั่นคือบั๊คที่ทำให้จอคอมล็อคไปอยู่ 24hz โดยที่เฟรมเรตในเกมยังลื่นปกติ แต่มันก็แก้ได้ง่าย ๆ ด้วยการกด Load default ในหน้ากราฟิกหรือเปลี่ยน Resolution ให้ต่ำลงและปรับกลับไปเท่าที่ต้องการ ก็หวังว่าผู้เล่นทุกคนจะไม่ได้เจอในเกมเวอร์ชั่นจริงหลังเปิดให้เล่นอย่างเป็นทางการ
สรุป
มันคือความแปลกใหม่ภายใต้ความคลาสสิค อาจจะเป็นแนวทางที่ไม่ถูกใจทุกคน แต่รับประกันว่ามันสะใจแน่นอน