ภาคต่อของเกมสุดแปลกแห่งยุคมาถึงแล้ว มันจะสมการรอคอยหรือไม่หาคำตอบกันได้ในรีวิวนี้
Story
11 เดือน หลังเหตุการณ์ในภาคแรก Sam (แซม) หนีออกจากองค์กร Bridges (บริดจิทส์) พร้อมกับ Lou (ลู) ทารก Bridge baby หรือ BB ที่ร่วมเดินทางกับเขาตลอดภารกิจเชื่อมโยงอเมริกา ณ ตอนนี้ Lou ไม่ได้อยู่ใน Pod จำลองครรถ์มารดาอีกแล้ว ซึ่งโดยปกติ BB จะไม่สามารถมีชีวิตอยู่นอก Pod แต่ Lou สามารถเติบโตขึ้นตามพัฒนาการของเด็กปกติ Sam หนีมาตั้งที่อยู่อย่างลับ ๆ ในเขตชายแดนใกล้ เม็กซิโก เพื่อใช้ชีวิตอยู่กับ Lou อย่างสงบสุข จนวันหนึ่ง Fragile (แฟรไจล์) มิตรสหายคนสำคัญ หนึ่งในบุคคลที่ช่วยเขาฟันฝ่าอุปสรรคในอเมริกาได้ตามมาเจอเขา เธอเสนองานใหม่ที่เป็นการขยายเครือค่ายจากอเมริกาลงสู่เม็กซิโก โดยมีปลายทางอยู่ที่ศูนย์วิจัย ที่ Deadman (เดดแมน) สหายเก่าของ Sam กำลังค้นคว้าบางอย่างอยู่ที่นั่น Sam รับงานนี้ และมันก็เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวมากมาย ภายใต้วิกฤติกาล ‘Death Stranding’ ที่ยังไม่มีท่าทีว่ามันจะจบ
ความเห็นของผู้เขียนนับตั้งแต่เห็นการเปิดตัวภาคสอง คือรู้สึกว่ามันเป็นเกมที่ไม่ต้องมีภาคต่อก็ได้ Death Stranding ภาคแรก เป็นเกมที่จบได้อย่างเต็มอิ่มสวยงาม ใจผู้เขียนเลยอยากปล่อยให้ประสบการณ์นั้นยังอยู่แบบเดิมตลอดไป แต่เมื่อได้เล่นภาคนี้ ความน่าสนใจก็เริ่มพุ่งขึ้นทันที โลกของ Death Stranding ยังเป็นจักรวาลที่มีอะไรอีกมากมายยังไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจน แม้ว่าเราจะได้รู้ที่มาของตัวเอก Sam ไปแล้ว แต่ Lou ที่จับพลัดจับผลูมาเจอกัน ก็ยังไม่ชัดเจนว่ามีที่มาอย่างไร โลกภายนอกอเมริกามีสภาพเป็นอย่างไรบ้าง ได้รับผลกระทบจาก Death Stranding มากน้อยเพียงใด และนับจากนี้มนุษยชาติจะมีทางออกจากวิกฤติกาลนี้ได้อย่างไร หลายอย่างคุณจะได้คำตอบมันในภาคนี้
มันอาจจะเป็นเกมที่เข้าใจยากพอตัวแถมผู้สร้างก็น่าจะรู้สึกได้ ทำให้จังหวะที่มีการพูดถึงอะไรบางอย่างที่เป็นประเด็นใหม่หรือสิ่งใหม่ เกมจะขึ้นเตือนเสมอว่า ‘Corpus’ หรือบันทึกข้อความได้รับการอัปเดต ที่นอกจากการรับรู้ผ่านคัทซีนเล่าเรื่อง คุณยังสามารถเข้าไปทำความเข้าใจเพิ่มเติมได้จากไฟล์ข้อมูลที่จะอธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุด โดยเรื่องเดียวกันก็อาจจะมีการอัปเดตเพิ่มคำอธิบายไปเรื่อย ๆ ตามการเล่นของเรา แต่ถ้าคุณตามเรื่องใด ๆ ไม่ทัน การเขียนเรื่องใน Corpus ก็ช่วยผู้เล่นได้ดีมาก (ติดแค่ว่าคุณต้องคล่องภาษาพอตัวเนื่องจากไม่มีแปลไทย)
การสานต่อในภาคนี้ จะทำให้เราได้เข้าใจอะไรหลายอย่างมากขึ้น ใครที่ยังค้างคาและติดใจกับภาคแรก ในภาคนี้จะมีหลายจังหวะที่คุณต้องร้อง อ๋อ จากการเฉลยปมต่าง ๆ ที่ค้างคามานาน แถมมันเป็นการขยายจักรวาลเพิ่มความเป็นไปได้ที่ยิ่งเหมาะแก่การสานต่อไปอีก แม้ว่าภาคนี้จะเป็นการจบเรื่องราวบางอย่างที่ลงตัว แต่ถ้ามันจะยังไม่จบก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่
แต่ก็ตามสไตล์ของเกมจาก ‘เทพโค’ ฮิเดโอะ โคจิม่า ถ้าเป็นเกมภาคต่ออย่างนี้ คุณจะเข้าไม่ถึงเลยถ้าคุณไม่ได้เล่นภาคที่ผ่านมา นี่คือปัญหาเดียวกันตั้งแต่สมัยเกม Metal Gear Solid ที่ผู้เล่นใหม่มักจะไม่สามารถเข้าถึงเนื้อเรื่อง แม้ว่าเกมจะพยายามอธิบายเหตุการณ์ที่ผ่านมาในช่วงต้น แถมมี Recap เหตุการณ์จากภาคที่แล้ว ความลึกซึ้ง ความกินใจ ก็ไม่มีทางเทียบได้เท่ากับคนที่ผ่านภาคแรกมาเองกับมือ
และการเล่าเรื่องที่หลายคนอาจจะรู้สึกว่ามันลากยาวเกินไปนิด กว่าจะเฉลยปมเรื่องก็ช่วงท้ายที่มาแบบตูมเดียว แถมบางคนก็อาจจะพอคาดเดาได้บ้าง ทำให้ความประทับใจที่ได้อาจจะไม่ตราตรึงเท่ากับที่เราเคยสัมผัสในภาคแรก
Presentation
เอาแค่ฉากเริ่มมันก็จะทำให้คุณตราตรึงกับความสวยงาม นับตั้งแต่ภาคแรกที่ฝ่ายศิลป์ของทีมนี้ได้โชว์เทพเอาไว้อย่างเต็มสูบ มาคราวนี้พวกเขาก็ทำมันอีกครั้งนึง สภาพแวดล้อมของ Death Stranding 2 จะเต็มไปด้วยรายละเอียดที่อัดแน่นยิ่งกว่าเดิม อาจจะเพราะความต่างจากในภาคแรกที่ยังต้องทำลง PlayStation 4 อยู่ มาคราวนี้บน PlayStation เหมือนกับว่าพวกเขาไม่ต้องยั้งมือกันเลย ยิ่งในภาคนี้คุณจะได้เห็นสภาพแวดล้อมที่หลากหลายมากขึ้นอีก ทั้งป่าเขา ทะเลทราย ลานหิน แม่น้ำ ที่น่าจะได้แรงบันดาลใจมาจากสถานที่ท่องเที่ยวดัง ๆ แต่ละฉากก็ถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างงดงาม
แต่ในความงดงามนั้นก็สอดแทรกด้วยภัยร้ายของวิกฤติกาล Death Stranding เหล่าคนตายที่ไม่ไปไหนคอยหาทางเอาชีวิตคนเป็น สัตว์ประหลาดจากโลกความตายที่แพร่กระจายไปทั่ว แถมมีสัตว์ชนิดใหม่ที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้มันเป็นโลกสวยงามที่เต็มไปด้วยความอันตราย
และก็เหมือนกับว่าทีมงานนี้จะทิ้งสไตล์ของความเป็น ‘Metal Gear Solid’ ไม่ได้จริง ๆ แม้ว่าพื้นที่ต่าง ๆ จะดูเป็นธรรมชาติเพียงใด งานศิลป์สไตล์จักรกลไฮเทค พื้นผิวเหล็กลวดลายสวยงาม หรือเครื่องแต่งกายที่ผสมผสานกันระหว่างโลหะและยางนิ่ม นี่คือสไตล์งานศิลป์ที่เราเห็นกันมาตั้งแต่ MGS1 แม้ว่ากราฟิกในสมัยก่อนจะยังไม่สมจริงเท่ายุคนี้ แต่ตัวละคร, อาวุธ, ยานพาหนะ หรือแม้แต่อาคารสถานที่ ก็ยังให้บรรยากาศในแบบเดียวกัน สมกับที่เป็นผลงานของผู้กำกับงานศิลป์ โยจิ ชินคาวะ ที่อยู่คู่บุญกับ ฮิเดโอะ โคจิม่า มาทุกโปรเจค
ถ้าเทียบกันกับภาคแรก จำนวนคอนเท้นต์และเวลาในการเล่นจะมากกว่าประมาณ 50% ถ้าคุณอยากได้เกมที่เล่นกันไปยาว ๆ ไม่จบง่าย ๆ เกมนี้ตอบโจทย์คุณแน่นอน จุดออร์เดอร์ที่ให้คุณได้รับ-ส่งของ จะมากกว่าภาคแรกแบบ 2 เท่าตัว และทุกที่จะมีของปลดที่ถ้าคุณอยากได้ คุณก็ต้องปั่นออร์เดอร์จนเหนื่อย ซึ่งเกมไม่บังคับ อยากจะตรงไปหาเนื้อเรื่องหลักตลอดเวลาก็ได้เช่นกัน แต่ถ้าทำอย่างนั้น คุณจะพลาดไอเทมหลายอย่างที่ทำให้ Sam เก่งกาจขึ้นอย่างมาก แต่กว่าจะไปถึงขั้นนั้นได้ก็ต้องใช้เวลาสร้างเนื้อสร้างตัวหนักหนาสาหัส
ซึ่งนี่คือข้อเสียอย่างแรกของเกมนี้ คือเกมไม่มีการบอกล่วงหน้าว่าจุดรับ-ส่งของนั้น ๆ จะให้รางวัลอะไรกับคุณ ทำให้คุณต้องปั่นภารกิจไปอย่างมืดบอดโดยไม่รู้ว่าของรางวัลที่จุดนั้นจะให้มันมีประโยชน์กับเราหรือเปล่า กว่าจะรู้ว่าจุดนั้นให้เพียงแค่สีตกแต่งของ ก็เสียเวลากับการทำออร์เดอร์จุดนั้นไปร่วมชั่วโมงกว่า แต่ในอีกด้าน การที่เกมไม่เผยรางวัลก่อนหน้า ก็ทำให้เราไม่อยากมองข้ามจุดส่งของไหน ๆ อยากเก็บให้ครบทุกที่ เพราะเราไม่รู้เลยว่าจุดไหนจะให้ของสุดเจ๋ง ถ้ามีการเผยรางวัลก่อนก็อาจจะทำให้ผู้เล่นเลือกที่รักมักที่ชัง แต่ในมุมของผู้เขียน มันทำให้เกิดความรู้สึกเสียดายทั้งเวลาและแรงที่ลงไป
Gameplay
‘เกมจำลองส่งของ’ ดูจะเป็นฉายาที่ Death Stranding ได้รับมาตั้งแต่ภาคแรก ซึ่งก็เถียงไม่ได้นี่คือเกมที่สร้างมาแบบนั้นจริง ๆ แต่การส่งของเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งในการเชื่อมโยงผู้คนที่ตัดขาดเข้าหากัน เราในฐานะ Sam จะได้ทำอะไรมากกว่านั้นแน่นอน
สำหรับเวลาเล่นเกมน้อย คุณอาจจะเล่นไม่ไหวตั้งแต่ภาคแรก เพราะนี่คือเกมแห่งการ ‘Grinding’ หรือเรียกภาษาไทยง่าย ๆ ว่าการ’ปั่น’ คุณจะต้องก่อร่างสร้างตัว ส่งของตามออร์เดอร์ในแต่ละจุด วางสิ่งก่อสร้าง หาทางผ่านไปยังพื้นที่ใหม่ โดยมีความช่วยเหลือจากผู้เล่นอื่น ที่ก็กำลังตรากตรำในสิ่งเดียวกันกับเรา ดังนั้น การไปให้ถึงเนื้อเรื่องหลักไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเริ่มจากจุด A ไปถึงจุด B อย่างเดียว แต่คุณต้องวางรากฐานของการอยู่ในพื้นที่นั้น ๆ ก่อน อย่างเช่น คุณอาจจะต้องการยานพาหนะเพื่อขนของ แต่ระหว่างทางไม่มีจุดชาร์จไฟเลย ซึ่งการจะสร้างจุดชาร์จไฟมันก็ต้องเป็นพื้นที่ในระบบเครือข่าย หรือถนนหนทางมันลำบากเหลือเกิน คุณก็สามารถสร้างถนนด้วยการเอาทรัพยากรมาใส่ตามจุด และในหลายพื้นที่ก็จะมีศัตรูทั้งในรูปแบบของเหล่า BT ต่างมิติและผู้ก่อการร้าย ซึ่งนี่คือรูปแบบของเกมตั้งแต่ภาคแรก แต่ในภาคนี้มันจะทั้งใหญ่ขึ้นและเล่นสนุกขึ้น
การ co-op โดยที่ผู้เล่นไม่เห็นกัน ยังคงเป็นแนวทางของ Death Stranding ถ้าเรายังอยู่ในพื้นที่ของระบบเครือข่าย เราจะได้เห็นสิ่งของ, ยานพาหานะ หรือสิ่งปลูกสร้าง อันเป็นฝีมือจากผู้เล่นคนอื่น ในขณะเดียวกันผู้เล่นอื่น ๆ ก็จะเห็นผลงานของเราในเกมของเขาด้วย นี่คือระบบที่ให้ผู้เล่นได้ช่วยเหลือกันคนละไม้คนละมือ การสร้างถนนที่ต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล แต่ถ้าผู้เล่นหลายคนช่วยกันเอามาใส่มันก็จะง่ายกว่าปกติมาก การสร้างสะพาน สร้างสิ่งของที่ช่วยผ่านอุปสรรค นอกจากเราผู้สร้างจะได้ประโยชน์เองแล้ว มันยังเป็นประโยชน์ให้กับผู้เล่นอื่น ๆ ที่เห็นสิ่งของของเรา
และถ้าคุณยิ่งเชื่อมต่อกับผู้เล่นอื่นด้วยการช่วยเหลือตามคำขอที่ผู้เล่นนั้นปักเอาไว้ หรือหยิบคาร์โก้ของเขาที่ฝากไว้ในแต่ละจุดไปส่งให้ ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับผู้เล่นคนนั้นก็จะยิ่งสูงขึ้น ยิ่งทำให้เราและเขาเห็นสิ่งของจากเกมของกันและกัน ซึ่งบางครั้งในจังหวะที่คุณไปถึงพื้นที่ใหม่ คุณอาจจะไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะมีผู้เล่นอื่นกรุยทางไว้ให้แล้ว หรืออาจจะเป็นคุณนี่เองที่ได้ช่วยเหลือคนอื่น ๆ ด้วยไอเดียการแก้ปัญหาของคุณเอง อย่างเช่น มันมีจุดที่ต้องหยิบคาร์โก้จากพื้นที่ที่เข้าถึงยาก คุณอาจจะสร้างเครื่องดีดตัว ยิงตัวเองพุ่งไปโดดร่มลงตรงจุด จากนั้นค่อยปักเชือกเอาไว้ให้คนอื่น ๆ ได้ไต่ขึ้นมาง่าย ๆ นี่ถือเป็นดีไซน์เกมที่สร้างสรรค์มาก
แม้ว่าการส่งของอาจจะเป็นภารกิจที่สำคัญที่สุดในเกม แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งเดียวที่คุณจะได้ทำ บางครั้งคุณจะถูกไหว้วานให้ไป’บู๊’ อาจจะเป็นการลุยฐานของพวกโจร จัดการศัตรูในรูปแบบที่กำหนด(เช่นการ ลอบโจมตี) หรือจัดการกับสัตว์ประหลาด BT ตามจุดต่าง ๆ ซื่งใช่แล้ว ในภาคนี้จะมีความเป็นเกม Action มากกว่าภาคแรกอยู่พอตัวเลยทีเดียว แต่ในขณะเดียวกัน ดีไซน์ภารกิจส่งของหลายอย่างก็มีความท้าทายในตัวมันเอง อย่างเช่นข้าวของแต่ละชนิด ที่จะมีความเปราะบางหลายรูปแบบกว่าในภาคแรก ที่ถ้าเราเตรียมตัวไม่ดีก็โหลดเซฟเล่นใหม่จะคุ้มกว่า
ระบบต่อสู้ของภาคนี้ยังคงหลักการเดิมจากภาคแรก แต่เราก็มีอุปกรณ์หลายอย่างที่มาพร้อมกับลูกเล่นใหม่ ที่ทำให้การต่อสู้รวดเร็วขึ้น มีสีสันมากกว่าเดิม ถ้าคุณยังใช้อาวุธมาตรฐานและเล่นแบบที่เคยเล่นจากภาคแรก คุณอาจจะรู้สึกว่าเกมมันไม่ได้ต่างมากจากเดิมมาก แต่ถ้าคุณได้ลองใช้อุปกรณ์ใหม่ของภาคนี้ คุณจะรู้สึกเลยว่ามันใหม่จริง ๆ อย่างเช่น ‘Coffin board’ โฮเวอร์บอร์ดโลงศพ ที่ผู้เขียนอยากจะกราบงาม ๆ กับทีมสร้างที่ใส่มา เพราะมันทำให้คุณแล่นไปได้ทุกที่อย่างรวดเร็ว คล่องตัว แถมใช้อาวุธปืนระหว่างขี่ได้ด้วย หรือในช่วงนึง คุณสามารถ’จับ’ BT ขนาดใหญ่เอาไว้เป็นพลังอัญเชิญ ในจังหวะที่คุณสู้กับ BT ตัวใหญ่อีกตัว คุณก็สามารถเรียก BT ที่คุณเคยจับไว้มาช่วยสู้ในเวลาจำกัด ดังนั้น การต่อสู้ในภาคนี้จะโลดโผนแค่ไหน ก็อยู่ที่ว่าคุณใช้ทางเลือกอะไรบ้างที่เกมมีให้
ซึ่งในขณะเดียวกันก็ไม่มีทางเลือกไหนที่ชนะทุกอย่างในเกมนี้ อย่างเช่น Coffin board ที่สุดแสนจะสนุก ก็ใช้งานได้เฉพาะในพื้นที่เครือข่าย ถ้าเป็นจุดที่ยังไม่ได้เชื่อมต่อมันก็จะใช้งานไม่ได้ ทำให้คุณต้องลากมันไป แถมมันติด Mod หรือซ่อมแซมในยามสึกหรอเหมือนพาหนะทั่วไปไม่ได้ ต้องรีไซเคิลแล้วสร้างใหม่เท่านั้น นั่นรวมถึงอาวุธหรืออุปกรณ์แต่ละชนิดก็มีขีดจำกัดของตัวเอง ซึ่งนี่คือเสน่ห์อีกอย่างของเกมนี้ เพราะมันขึ้นอยู่กับการหาทางแก้ปัญหาแต่ละแบบของผู้เล่นเอง
แต่ความท้าทายบางอย่างจากภาคแรกก็หายไปบ้าง การออกแบบแผนที่และภารกิจส่งของในภาคนี้จะไม่มีครั้งไหนหรือจุดไหนเลยที่คุณใช้รถแก้ปัญหาไม่ได้ ยกตัวอย่างในภาคแรกที่คุณจะเจอออร์เดอร์ที่ต้องถือของในมือเท่านั้น หรือต้องขึ้นเขาสุดชันพร้อมออร์เดอร์ของเป็นร้อยกิโล ภารกิจแบบนั้นมันทำให้ผู้เล่นต้องคิดหาทางแก้ปัญหาโดยใช้แนวทางเดิม ๆ ไม่ได้ แต่มาภาคนี้ บางทีผู้เขียนอยากจะลองติดลากเลื่อนแล้วเดินขึ้นเขา เพราะคิดว่าน่าจะเป็นวิธีที่ที่ปลอดภัยที่สุด แต่ทำเมื่อไหร่ก็ต้องโหลดเซฟใหม่เพราะพบว่าผมเองคิดผิด ใช้รถยังไงก็แก้ปัญหาได้ทุกออร์เดอร์
กับอีกเรื่องที่ถือว่าพัฒนาขึ้นจากภาคแรกแล้ว แต่ก็ยังไม่ดีเท่าที่ควรนั่นคือ AI ของศัตรูที่เป็นคน พวกมันก็ยังช้าอืดอาด แถมเลือกเส้นทางไปหาเป้าหมายได้ประหลาดมาก จนถึงขั้นเดินเป็นวงกลมกันเลย แม้ว่าการออกศัตรูและการโจมตีผู้เล่นจะดุเดือดท้าทายกว่าเดิม แต่ถ้าเทียบกับ AI ของเกม Action ทั่วไป เกมนี้จะยังดูต่ำกว่ามารตรฐาน
Performance
เรียกได้ว่าไม่ต้องพูดอะไรกันเยอะ ด้านประสิทธิภาพของ Death Stranding 2 อยู่ในระดับที่ไร้ที่ติ แม้จะเป็นช่วงก่อนเกมออกยังไม่มี Patch day 1 เกมนี้ก็เล่นได้อย่างลื่นไหลไม่มีปัญหาบั๊คใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งผู้เขียนเล่นบน PlayStation 5 Pro โหมดเน้นเฟรมเรต ภาพที่ออกมาก็ดูคมชัดบนเฟรมเรตลื่นไหล อาจจะมีเป้นบางฉากที่มีอาการเฟรมตกบ้าง แต่ก็ถือว่าน้อยมาก ๆ แม้ว่าเกมนี้อาจจะไม่ได้ใช้เทคโนโลยีสุดหรูอย่าง Ray tracing แต่ระบบแสงเงาก็ดูสมจริงทุกจังหวะ ยิ่งในฉากอาคารทั้งในและนอกคัทซีน คุณจะรู้สึกว่ามันดูสมจริงอย่างที่สุด (อนิสงค์ร่วมกันทั้งในด้านเทคโนโลยีและงานศิลป์)
เรียกได้ว่าไม่ต้องรอเวอร์ชั่น Remastered หรือรอเล่นบน PC กันเลย เวอร์ชั่น PS5 ที่ปล่อยมาตอนนี้ก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้ว
Verdict
มันคือเกมภาคต่อที่ยอดเยี่ยมกว่าเดิมทุกทาง มันอาจจะไม่ใช่แนวเกมที่ถูกใจทุกคน แต่ถ้าคุณชอบภาคแรกอยู่แล้วคุณจะยิ่งชอบภาคนี้มากยิ่งกว่า