BY BabeElena
9 Nov 18 11:20 am

“Innocent Life : A Futuristic Moon” ใช้ชีวิตแบบชาวไร่ ณ โลกเทคโนโลยีแห่งยุคอนาคต

131 Views

คุณเคยสงสัยไหมว่า หากวันนึงการทำเกษตรแบบเดิม ๆ นั้นกำลังจะถูกแทนที่ด้วยเหล่าเครื่องจักรที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพที่สูง โลกของเกษตรกรรมในยุคนั้นจะออกมาเป็นรูปแบบไหน ??

นี่เป็นคำถามที่ทางผู้เขียนได้ตั้งขึ้นมา หลังจากที่ผู้เล่นได้สร้างระบบจัดการไอเทมอัตโนมัติต่าง ๆ ในเกมอินดี้ชื่อดังอย่าง “Terraria” คือถึงแม้เกมดังกล่าวมันจะไม่ใช่เกมทำฟาร์มอะไร แต่ก็นั้นแหละบางทีคำถามที่มามันไม่จำเป็นต้องสมเหตุสมผลก็ได้ (แบบนี้ก็ได้เหรอ) ซึ่งนั้นเป็นคำถามที่น่าสนใจมากสำหรับผู้เขียน เพราะเรื่องของเกษตรกรรมนัันมักจะมีค่านิยมว่า “เกษตรกรรมเป็นของประเทศที่ไม่มีความเจริญ” และประเทศที่เจริญจะต้องเน้นอุตสาหกรรมเป็นหลัก เพราะฉะนั้นเรื่องของอนาคตเวลาคนจะทำนายหรือคิดกัน เขาจะไปทำนายในเชิงอุตสาหกรรมซะมากกว่า

ไม่รู้เพราะเหตุผลอะไรก็ตาม แต่หลังจากที่ผู้เขียนนึกถึง “คำตอบ” ของคำถามนี้ได้ซักพัก อยู่ดี ๆ ตัวผู้เขียนก็กลับไประลึกถึงสมัยตอนยุคที่ผู้เขียนยังเด็ก ๆ ตอนนั้นบ้านผมมีเครื่อง “Playstation 2” และผมชอบดูน้าของผู้เขียนเล่นซีรี่ส์เกม “Harvest Moon” ซึ่งนั้นถือว่าเป็นซีรี่ส์เกมโปรดของน้าผู้เขียนเลยก็ว่าได้ และพอนึกถึง “การเกษตรกรรมในอนาคต” แล้ว ทางผู้เขียนก็นึกถึง “Spin-Off” ตัวนึงของซีรี่ส์เกม Harvest Moon และเป็นหนึ่งในเกมที่น้าผู้เขียนติดงอมแงมมากในช่วงนั้น และเกม ๆ นั้นมีนามว่า “Innocent Life : A Futuristic Harvest Moon”

ความทรงจำอันอบอุ่นที่มิอาจเลือนลาง

เท่าที่ตัวผู้เขียนจำได้ “Innocent Life” น่าจะเป็น Harvest Moon ลำดับที่ 5 ที่น้าของผู้เขียนได้เล่น (ถัดจาก A Wonderful Life, Save the Homeland, Back to Nature และ Freind of Mineral Town) โดยในยุคนั้นตัวผู้เขียนจะชอบ “ดู” มากกว่า “เล่นเอง” ทำให้ตัวผู้เขียนไม่ค่อยมีโอกาสได้เล่น Playstation 2 ด้วยตัวเองเท่าไหร่นัก และถึงแม้จะมีโอกาสได้เล่น แต่ตัวผู้เขียนก็รอให้น้ากลับจากที่ทำงานเพื่อมาเล่นเจ้าเกมปลูกผักที่ว่า

ตัวผู้เขียนนี่แหละจะเป็นคนที่ชอบถามไถ่ว่า “นุ่นทำไรได้” “นี่คืออะไร” คือชอบถามแทบจะตลอดการเล่นของน้าเค้า พอย้อนไปดูแล้วก็แอบขำนิดหน่อยว่า “น้าไม่รำคาญผู้เขียนเลยเรอะ ??” แต่น้าผมอาจจะรำคาญก็ได้แค่ไม่พูดออกมา (ฮา) และบางทีตัวผู้เขียนก็รับบทเป็นบทสรุปฉบับพูดได้ โดยการถือ “หนังสือบทสรุป” ไว้ในมือ ว่าเอ้ยติดตรงนี้จะต้องทำไรต่อ หากผู้เขียนหาไม่เจอน้าก็จะหยิบไปค้นหาด้วยตัวเอง ซึ่งเท่าที่จำความได้ เหมือนบ้านของผู้เขียน “เคย” มีหนังสือบทสรุปเกมของ Harvest Moon ค่อนข้างจะหลายภาคมาก และ “Innocent Life” ก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่สุดท้ายก็นำไปชั่งกิโลขายหมด นึกแล้วก็แอบเสียดายเหมือนกันที่ไม่ได้เก็บเอาไว้ เพราะยุคนี้มันกลายเป็นว่าเจ้าหนังสือบทสรุปนั้นเป็นที่มี Demand ที่สูงมาก แม้สภาพจะเก่าหรือขาดแค่ไหนก็ตาม

ด้วยที่ความที่ Innocent Life นั้นไม่ค่อยเหมือนภาคอื่น ๆ ของซีรี่ส์ Harvest Moon ทำให้ตัวผู้เขียนค่อนข้างที่จะชอบดูตอนน้าผู้เขียนเล่นเป็นพิเศษกว่าภาคอื่น ๆ บางทีหากอดทนไม่ได้ ทางผู้เขียนจะเอาเซฟน้าไปเซฟไว้อีกช่อง และลองทำในสิ่งที่น้ายังไม่ได้ทำ โดยเฉพาะกับเรื่องของการวางเจ้าหิน “Jewel หลากสี” ที่เป็นหนึ่งในเกมเพลย์สำคัญของภาคนีั คือเราก็ซนและลองทำการวางแบบ “ผสมสี” ดู ปรากฏว่ามันทำได้เฉยเลย แต่พอจะเอาวิธีนี้ไปแนะนำให้น้าใช้ น้าผมก็มีหิน Jewel สีที่เขาต้องการซะแล้ว (ฮา)

ตัวผู้เขียนค่อนข้างทึ่งกับการที่ได้เห็นโลกของ Innocent Life ที่ภาคนี้ถือว่าทำออกมาใหญ่มากหากเทียบกับภาคอื่น ๆ ดันเจี้ยนที่ไม่เป็นชั้น ๆ ซ้ำ ๆ เพื่มแค่ขนาดกับชนิดแร่ แต่มันเป็นดันเจี้ยนจริง ๆ เลย แถมมีให้สำรวจเยอะมาก ๆ พร้อมกับของป่าตามทางที่มีให้เก็บกันเพียบ เรียกได้ว่าแค่เดินชิล ๆ ไปเก็บของป่า ขุดเหมืองก็ถือว่าเพลินมากแล้ว ยิ่งภาคนี้มียานพาหนะอย่าง “รถบัคกี้” ด้วย ซึ่งเปรียบได้ว่าเป็น “ม้า” ของ Harvest Moon ภาคนี้ ทำให้การสำรวจของเกมนี้ยิ่งเพลิดเพลินเขาไปใหญ่

ที่แน่ ๆ ทางผู้เขียนจำได้ว่าน้าของผู้เขียนเล่นเกมนี้ไม่จบ เหมือนเล่นไปได้ปีนึงแล้วเบื่อ ๆ เลยไปหาเล่น Harvest Moon ภาคอื่นแทน ซึ่งตัวผู้เขียนก็ยังคงตื้อไปดูอยู่ดี ถึงแม้ตัวผู้เขียนจะไม่ได้เล่นเกมนี้ด้วยตัวเอง แต่การได้เห็นน้าของผู้เขียนเล่นเกมให้ดูในตอนนั้น ได้พูดคุยกัน ได้แนะนำกัน ได้ใช้เวลาร่วมกัน ทำให้ช่วงเวลานั้นกลายเป็นหนึ่งในช่วงเวลาแห่งความทรงจำที่ล้ำค่าที่สุดสำหรับตัวผู้เขียน ที่ทางผู้เขียนโหยหาอยากจะให้กลับมาในยุคนี้อีกครัั้งมาโดยตลอด

รายละเอียดและเกมการเล่นของ Innocent Life : A Futuristic Harvest Moon

เดี๋ยวจะเป็นการเล่าความทรงจำมากเกินไป จนผู้ที่ตั้งใจจะมาอ่านเก็บข้อมูลจะไม่ปลื้มเอา เพราะฉะนั้นในส่วนนี้เราจะมาอธิบายส่วน “รายละเอียดและเกมการเล่น” ของเจ้าภาคแยกของซีรี่ส์เกม Harvest Moon อย่าง “Innocent Life” นี้หน่อย ว่าตัวเกมมันเป็นยังไง มีอะไรเด่น และมีอะไรแตกต่างจาก Harvest Moon ภาคอื่น ๆ บ้าง

ในภาคนี้อย่างแรกสิ่งที่แตกต่างจากภาคอื่น ๆ เลยก็คือ โลกของภาคนี้จะเป็นยุคปี 2022 และตัวละครที่เราได้ควบคุมนั้นจะเป็น “แอนดรอยด์” หรือ “หุ่นยนต์” นามว่า “Innocent Life” ที่ถูกสร้างโดยฝีมือของมนุษย์นักวิทยาศาสตร์คนนึงนามว่า “Dr.Hope” ที่เขาเปรียบตัวเองว่าเป็น “พ่อ” ของตัวละครเรา โดยตัวเรามีภารกิจที่ยิ่งใหญ่ที่ต้องแบกรับนั้นก็คือ “การนำพาชีวิตกลับสู่เกาะ”

ตามธรรมเนียมของ Harvest Moon ปกติ ที่ในตอนเริ่มเกมเราก็จะได้เดินออกไปพบปะชาวเมือง ซึ่งในภาคนี้ก็มีโมเมนต์แบบนี้เช่นกัน โดยเราจะได้พบปะกับ “ครอบครัวชาวไร่” โดยที่จะมีลุงชาวไร่คนนึงนามว่า “Gayak” มาสอนการทำเกษตรกรรมพื้นฐานให้กับเรา และนี่น่าจะเป็นหนึ่งในไม่กี่ภาคที่ตัวเกมมี Tutorial ให้ได้ฝึกเล่น ถึงแม้มันจะสั้นมากก็ตาม โดยหลังจากที่เราได้ฝึกการทำเกษตรกรรมแล้ว เราก็จะได้พบกับชายคนนึงนามว่า “Moonlight” โดยตัวเขาจะพาตัวละครเราเดินทางไปที่ “Easter Ruin” สถานที่ที่เปรียบได้ว่า “เป็นจุดเริ่มต้น” ของชีวิตชาวไร่ในยุคอนาคต

ในขณะที่ Harvest Moon ภาคอื่น ๆ เราจะได้ฟาร์มหรือพื้นที่ที่มาจากบุคคลที่เกี่ยวข้องของตัวเรา แต่ในภาคนี้เราจะได้ “โบราณสถานขนาดใหญ่” โดยสถานที่แห่งนี้้เป็นดั่ง “บ้าน” “ฟาร์ม” หรือแม้กระทั่ง “ดันเจี้ยน” ก็มีให้สำรวจในโบราณสถานนี้เช่นกัน โดยเกมเพลย์การทำเกษตรกรรมของภาคนี้จะไม่ต่างอะไรจาก Harvest Moon ภาคอื่น ๆ มากนัก อาจจะมีหลาย ๆ ส่วนที่แตกต่างเช่นระบบกสิกรรม (เลี้ยงปุศสัตว์) ทีในภาคนี้จะค่อนข้างดูแปลก ๆ จากภาคเก่า ๆ เพราะเราจะไม่สามารถเก็บผลผลิตได้ และแน่นอนเนื่องจากภาคนี้มีเซตติ้งเป็นโลกอนาคต ดังนั้นมันต้องมีอะไรแปลกใหม่ โดยสิ่งที่ภาคนี้ได้นำเสนอก็คือ “ระบบขนส่ง” ที่เราสามารถวางระบบขนส่งไว้ในตัวฟาร์ม ทำให้กลายเป็นโรงงานขนาดย่อม ๆ ที่เราสามารถขนย้ายผลผลิตของเราไปได้อย่างสะดวกสบาย และประหยัดเวลาในการเดินเก็บผลผลิตอีกด้วย แต่ภาคนี้เราจะไม่สามารถอัพเกรดอุปกรณ์ได้ โดยอุปกรณ์ระดับที่สูงกว่าจะต้องหาจากตามดันเจี้ยนเท่านั้น และตัวละครเราจะต้องมีทักษะที่มากพอเพื่อให้สามารถใช้งานได้ และยังมีเจ้าหุ่นยนต์ช่วยเหลือที่เราจะได้มาตามเนื้อเรื่องอย่าง “Forte” (ที่ไม่ได้มาจาก Rockman) โดยตัวของมันจะช่วยเราในการทำงานเพื่อถนอมพลังงานของเราอีกด้วย

อีกจุดเด่นของภาคนี้ที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือ “โลกภายในเกม” ที่ค่อนข้างมีขนาดใหญ่และหลากหลายกว่าภาคก่อน ๆ ที่ผ่านมา แต่ตัวโลกก็จะไม่เชิงว่าเป็น Open World ซะทีเดียว เพราะมีหลาย ๆ จุดที่ถูกล็อคไว้ด้วย  “ประตูสี” ที่คุณต้องปลดล็อคโดยการวางวัตถุที่เรียกว่า “Jewel” ไว้บนแท่นในฟารฺ์มของเรา ซึ่งเจ้า Jewel นั้นสามารถหาได้จากดันเจี้ยนต่าง ๆ และมีหลากหลายสี โดยเราจะต้องใช้ถึง 4 ก้อนเพื่อนำไปวางบนแท่นในฟาร์ม หากวางครบก็จะเป็นการปลดล็อคประตูตามสีที่เราได้วางเจ้า Jewel นั้น โดยเราไม่จำเป็นต้องใช้ Jewel สีเดียวกัน 4 ก้อนในการปลดล็อค คุณสามารถใช้เทคนิคการ “ผสมสี” ในการปลดล็อคประตูที่มีสีแปลก ๆ ได้ เช่น “ประตูสีส้ม” ก็จะใช้ Jewel สีแดงและสีเหลืองอย่างละสอง แต่อย่างไรก็ดีตัวเกมก็มี Jewel สีส้มให้เก็บตามฉากและตามเนื้อเรื่องอยู่แล้ว ซึ่งก็ขี้นอยู่กับการเล่นของแต่ละคนว่าจะเล่นไปในทิศทางไหน อย่างไรก็ดีการวาง Jewel ก็เป็นพาร์ทสำคัญและเป็น “ภาคบังคับ” ที่มีผลต่อเนื้อเรื่องและเกมการเล่น เพราะในบางช่วงตัวเกมจะให้เราต้องทำเพื่อที่เราจะลุยเนื้อเรื่องต่อได้และมีพื้นที่ในการเกษตรกรรมที่เพื่มขึ้นอีกด้วย

ส่วนในฝั่งของดันเจี้ยนนั้น ในภาคนี้จะไม่เป็นห้องใหญ่ ๆ มีหลาย ๆ ชั้น แบบในภาคก่อน ๆ แต่ในภาคนี้เราจะได้เห็นดันเจี้ยนที่หลากหลาย แยกกันเป็นโซน ๆ และกระจัดกระจายอยู่ไปทั่วโลก ซึ่งนั้นทำให้โลกของ Innocent Life นั้นได้กลิ่นอายของ “การผจญภัย” มากกว่าภาคที่ผ่านมาเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากดันเจี้ยนที่หลากหลายแล้ว การออกแบบโลกและสถานที่ก็ถือว่าเล่นใหญ่กว่าภาคก่อน ๆ เป็นอย่างมากทั้งในแง่ของความหลากหลายและขนาดของโลกตลอดจนสิ่งต่าง ๆ ที่ได้พบเจอระหว่างการเล่น เรียกได้ว่าโลกของ Innocent Life นั้นใหญ่ระดับเกมผจญภัยกันเลยทีเดียว

ส่วนในด้านของเพลงประกอบหรือ “Soundtrack” ที่ส่วนตัวผู้เขียนคิดว่า Soundtrack ของวีดีโอเกมที่ดีนั้น ไม่เกี่ยวกับว่าจะต้องเพลงที่บรรเลงออกมายิ่งใหญ่ทรงพลัง และจะต้องใช้วงมหาเทพในการบรรเลง แต่ต้องเป็นเพลงที่สามารถชูสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ในขณะนั้นให้เราอินไปกับโลกจนทำให้เราจมดิ่งไปสู่โลกของเกมได้ ซึ่ง Innocent Life ก็ทำออกมาได้ดีงามและเข้ากับบรรยากาศเป็นอย่างยิ่ง โดยที่สำคัญที่สุดก็คือ แม้ครั้งล่าสุดที่ผู้เขียนได้ฟังเพลงนี้คือประมาณ 10 กว่าปีที่แล้ว แต่เพลงหลาย ๆ เพลงจาก Innocent Life ก็ยังคงติดหูผู้เขียนจนถึงทุกวันนี้

ในภาคนี้ตัวเกมจะจบภายในเวลาหนึ่งปี โดยจะเน้นการดำเนินเนื้อเรื่องเป็นแบบ RPG สไตล์ Rune Factory (ที่ไม่มีระบบต่อสู้) ซึ่งส่วนตัวแล้วผมค่อนข้างชอบระบบเนื้อเรื่องของภาคนี้มาก เพราะมันมาในรูปแบบภารกิจที่ตายตัวที่คุณต้องทำเพื่อปลดล็อคสิ่งใหม่ ๆ ที่คุณจะได้ใช้งาน ได้สำรวจ และได้รับรู้ นอกจากนี้เนื้อเรื่องของเกมนี้จะเป็นการเพื่มค่าสถานะที่จะทำให้ตัวละครหลักของเรามีความเป็น “มนุษย์” ที่มากขึ้น และที่สำคัญ คุณต้องใส่ใจเนื้อเรื่องและเป้าหมายของเกมนี้ให้มาก ๆ โอเคคุณอาจจะไม่จำเป็นต้องอ่านหมด แต่คุณต้องไม่พลาดที่จะเก็บให้หมด เพราะหากคุณพลาดแม้กระทั่งเหตุการณ์เดียว หากไม่โหลดเซฟใหม่คุณก็ต้องรอให้วนถึงปีหน้า

โดยหากเราเล่นตามเนื้อเรื่องและทำตามเป้าหมายสำเร็จ ตัวเกมก็จะทำการปลดล็อคฉากจบ “Happy Ending” ซึ่งแม้จะขึ้นชื่อว่าแฮปปี้ แต่หากคุณรู้สึกผูกพันกับโลกและตัวละครมาโดยตลอด ฉาก ๆ นี้ก็อาจจะทำให้คุณถึงกับน้ำตาแตกได้เลย นอกจากนี้แล้วในภาคนี้ได้นำเสนอคอนเทนต์ “Endgame” โดยจะเป็นคอนเทนต์หลังจากที่คุณได้จบเกมปีแรกแบบ Happy Ending และคุณจะได้รับคำท้าจาก “บางอย่าง” ซึ่งคุณจะต้องทำให้สำเร็จเพื่อให้ได้มาซึ่งการจบเกมที่สวยงาม

Innocent Life : A Futuristic Harvest Moon ได้ถูกลงให้กับเครื่องเกมสองแพลตฟอร์ม โดยประกอบไปด้วย Playstation Portable ในปี 2005-2006 และ Playstation 2 ในปี 2007-2008 โดยได้คะแนนเฉลี่ยจากนักวิจารณ์ไป 67/100 บนเครื่อง Playstation Portable และ 63/100 บน Playstation 2 ซึ่งตอนที่ผู้เขียนมารู้ว่าภาคนี้ได้คะแนนแค่นี้ก็ถึงกับช็อคใช่เล่นเหมือนกัน แต่พอมาดูดี ๆ แล้วจะพบว่าคะแนนของเกมนี้เฉลี่ยจะให้ประมาณ 6-7 กัน ซึ่งถือว่าเป็นคะแนนที่โอเคแล้วสำหรับซีรี่ส์เกม Harvest Moon แถมภาคนี้ถือว่าเป็นภาคที่จัดว่า “Underrated” ทำให้มีสำนักรีวิวไม่ถึง 10 สำนักที่มาให้คะแนนเกม ๆ นี้

ส่วนในฝั่งของยอดขายบนนั้นสามารถทำยอดได้เพียง 130,000 ชุดเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็น 1 ในภาคที่ขายได้ไม่ดีนักของซีรี่ส์เกม Harvest Moon แต่อย่างไรก็ดี นี่คือยอดขายจาก Playstation Portable เท่านั้น ซึ่งยอดขายจาก Playstation 2 นั้นไม่มีการบันทึกเอาไว้ครับ

Innocent Life : A Futuristic Harvest Moon ถือว่าเป็นหนึ่งในวีดีโอเกมที่มอบความทรงจำอันล้ำค่าให้กับตัวผู้เขียน ถึงแม้ตัวเกมจะไม่ได้มีคะแนนรีวิวที่สวยหรูหรือยอดขายที่มากมายอะไร แต่ด้วยการนำเสนอโลกและการผจญภัย บวกกับความทรงจำอันวัยเด็กที่มีต่อเกมนี้อันลืมไม่ลง ทำให้ทางผู้เขียนขอยกให้ภาคนี้ให้เป็น 1 ในภาคที่ดีที่สุดของซีรี่ส์ Harvest Moon แบบไม่ต้องคิดอะไรให้วุ่นวายเลย

BabeElena

Back to top