BY BabeElena
12 Oct 18 12:25 pm

เปิดตำนานเกม Star Fox สงครามยานยิงแห่งโลกต่างดาว กับเกมสามมิติเกมแรก ๆ จาก Nintendo

37 Views

ในช่วงปี 1990s  ถือว่าเป็นช่วงที่วงการเกมกำลังจะปลดล็อคเทคโนโลยีใหม่ที่จะกลายเป็นรากฐานของวงการเกมในยุคปัจจุบันนั้นก็คือ “เทคโนโลยีการแสดงผลภาพสามมิติ” ที่เริ่มมีการพัฒนาและเรื่มถูกใช้งานอย่างแพร่หลายบนคอนโซลยุคใหม่ในช่วงนั้นไม่ว่าจะเป็น Nintendo 64, Sony Playstation, Atari Jarguar และอื่น ๆ

ซึ่งหากลองย้อนไปดูสักนิดนึงแล้ว เราจะพบว่าเครื่องเกมของ Nintendo นั้นถือว่าเป็นเจ้าแรก ๆ ที่หยิบเทคโนโลยีการแสดงผลภาพสามมิติมาใช้งานกับเกมบนคอนโซลของพวกเขา โดยถูกหยิบมาใช้ตั้งแต่ยุคของเครื่องเกม Super Famicom แล้ว ด้วยเหตุผลนี้ทาง GamingDose จึงจะมาพูดถึงซีรี่ส์เกมซีรี่ส์แรก ๆ ของ Nintendo ที่มีการหยิบเทคโนโลยีการแสดงผลภาพสามมิติมาใช้งานอย่าง “Star Fox”

อะไรคือเกม Star Fox ??

Star Fox ถือว่าเป็นหนึ่งในซีรี่ส์เกมระดับตำนานของ Nintendo โดยคิดค้นและออกแบบโดยคุณ Shigeru Miyamoto นักออกแบบเกมระดับตำนานที่ยังคงมีชีวิตจนถึงปัจจุบัน โดยตัวเกมภาคแรกของ Star Fox ถูกวางจำหน่ายในปี 1993 ตัวเกมโดยหลัก ๆแล้วจะเป็นเกมรูปแบบ “Rail Shooter” ผสมกับ “Shoot’em up” หรือหากให้แปลไทยแบบสั้น ๆ เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ “เกมเดินหน้ายิงแบบไม่ยั้ง” ซึ่งรูปแบบเกมนี้มักจะถูกใช้ใน “เกมยานยิง” หากนึกภาพไม่ออกให้คุณนึกถึงเกม Space Invaders, Project Starfighter โดยจุดเด่นของเกมรูปแบบนี้ก็คือคุณจะมีความอิสระในการควบคุมทิศทางที่น้อยมาก โดยจะถูกจำกัดแค่ให้เคลื่อนที่ในแนวดิ่งหรือในแนวราบเท่านั้น ซึ่งตัวด่านมักจะเข้าหาเราด้วยตัวของมันเอง และรวมถึงมวลมหาศัตรูที่จะมาหาเราตลอดทั้งด่าน ส่วนเราก็แค่ควบคุมทิศทางที่สามารถควบคุมได้ และทำการกราดยิงเหล่าศัตรูเพื่อรักษาชีวิตของผู้เล่น ในขณะที่เกมที่มีรูปแบบของ Rail Shooter ในยุคนั้นมักจะเลือกใช้กราฟิกสองมิติและใช้มุมมองเลื่อนด้านข้าง (Side Scrolling) แต่กับ Star Fox จะมีความโดดเด่นตรงที่ตัวเกมเลือกใช้กราฟิก Polygon 3D และใช้มุมมองเป็นแบบ “มุมมองบุคคลที่สาม” ซึ่งในวงการเกมคอนโซลยุคนั้นถือว่าเป็นของใหม่มาก เพราะในยุคนั้นเกมบนคอนโซลมักจะไม่ค่อยมีการใช้กราฟิกสามมิติในการพัฒนาเกมซักเท่าไหร่ เนื่องจากยุคนั้นเป็นยุคของ Super Famicom และยุคนั้นคำว่า “Playstation” ยังไม่มีใครเคยได้ยิน

Star Fox

เปิดตำนานซีรี่ส์เกม Star Fox

ย้อนไปในยุคสมัยตั้งแต่ยุค Famicom จนถึง Super Famicom ในยุคนั้น Nintendo ได้ไปร่วมงานกับบริษัทเกมสัญชาติอังกฤษอย่าง “Argonaut Software” ในการพัฒนาเกมที่ใช้รูปแบบของ Rail Shooter โดยได้รับแรงบันดาลใจจากเกมก่อนหน้าของพวกเขาอย่าง “Starglider” และได้ตั้งชื่อชั่วคราวไว้ว่า “NESGlider” โดยโปรแกรมเมอร์ของบริษัท Argonaut Software คนนึงนามว่า “Jez San” ได้นำเรื่องนี้ไปนำเสนอให้กับ Nintendo โดยเขาได้ขอให้ทาง Nintendo พิจารณาในการให้พวกเขาได้ออกแบบฮาร์ดแวร์ของตัวเครื่อง Super Famicom เพื่อให้ตัวเครื่องสามารถรองรับการแสดงผลภาพสามมิติได้ดีกว่าเดิม

Nintendo ได้ตอบรับและอนุญาตในเรื่องดังกล่าว ด้วยเหตุนี้ Jez San จึงได้จ้างนักออกแบบชิปประมวลผลในการพัฒนาชิปประมวลผลกราฟิกให้กับ “ตลับเกม” ของ Super Famicom นามว่า “Super FX” ซึ่งถือว่าเป็นชิปประมวลภาพสามมิติตัวแรก ๆ ที่ทำเพื่อตลาดของผู้บริโภคทั่ว ๆ ไป โดยแน่นอนว่าขุมพลังของเจ้าชิปประมวลผล Super FX นั้นสูงกว่าชิปประมวลผลตัวเดิมเป็นอย่างมาก จนทีมพัฒนาชิปถึงกับต้องเล่นมุกตลกว่า “เจ้าตลับเกม Super Famicom เป็นแค่กล่องที่ไว้บรรจุชิปประมวลผลเท่านั้น” หรือพูดง่าย ๆ ว่า พอใส่เจ้า Super FX เข้าไปในตลับเกมแล้ว ตัวเกมก็จะมีขุมพลังในการแสดงผลกราฟิกที่มากกว่าเดิมหลายเท่าตัวกันเลย (เป็นความสามารถของตลับเกมในยุคนั้น ที่สามารถยัดฮาร์ดแวร์อื่น ๆ ลงไปในตลับเพื่อเสริมพลังได้) หลังจากนั้น Argonaut Software จึงได้ทำการพัฒนา Engine เพื่อใช้ในการพัฒนาเกมที่พวกเขากำลังจะพัฒนาอย่าง NESGlider ในขณะที่ฝั่งของ Nintendo จะทำการออกแบบตัวละครและงานศิลป์ โดยมีคุณ Shigeru Miyamoto (ผู้สร้าง Super Mario มาก่อนหน้า) และ Katsuya Eguchi (ผู้สร้าง Animal Crossing ในอนาคต) ได้รับผิดชอบในส่วนของการออกแบบตัวเกม ในขณะที่คุณ Takaya Imamura ทำหน้าที่ออกแบบตัวละคร และคุณ Hajime Hirasawa ทำหน้าที่แต่งเพลง โดย Nintendo ได้ให้คำแนะนำกับ Aragonaut ว่าอยากให้เกมนี้ได้กลิ่นอายของ “เกมยิงตามตู้ Arcade” ทางทีมงาน Aragonaut Software ก็นำไอเดียดังกล่าวไปใช้งาน โดยใช้ “ยานอวกาศ” เป็นโจทย์หลัก

คุณ Shigeru Miyamoto ได้เคยระบุไว้ว่า เขาต้องการให้เกมดังกล่าวมีตัวละครหลักเป็นเหล่าสัตว์ใกล้ตัวที่ได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ในอวกาศ เนื่องจากตัวเขาไม่ต้องการทำเกมที่มีเนื้อเรื่องโทน Sci-fi จ๋า ๆ และมีเนื้อหาเกี่ยวกับมนุษย์ หุ่นยนต์ สัตว์ประหลาด ซุปเปอร์ฮีโร่ ทำให้เขาตัดสินใจเลือก “สุนัขจิ้งจอก” เป็นไอเดียสำหรับการออกแบบตัวละครหลัก โดยเขาได้รับแรงบันดาลใจจาก “ศาลเจ้าฟุชิมิอินะริ” ในประเทศญี่ปุ่น ที่ตัวเขามักจะเดินผ่านไปมาเสมอระหว่างการเดินทางไปศุนย์บัญชาการใหญ่ของ Nintendo ซึ่ง Shigeru Miyamoto ได้คิดที่จะใช้คำศัพท์คำว่า “Fox” มาโดยตลอดอยู่แล้ว ในขณะที่ฝั่งของคุณ Takaya Imamura ที่รับผิดชอบในเรื่องของการออกแบบตัวละคร ก็ได้ใช้ “นิทานพื้นบ้านของประเทศญี่ปุ่น” ในการเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบตัวละครหลักเสริมอย่าง “Falco” นอกจากนี้ตัวเขาได้รับแรงบันดาลจากพนักงานของ Nintendo EAD คนนึงที่ใช้ “คางคก” เป็นมาสคอตเป็นของตัวเองจึงออกมาเป็น “Slippy Toad” นอกจากนี้เขาได้ออกแบบให้ในเนื้อเรื่องของเกมนั้นได้มีเหตุการณ์ที่พวกสุนัขและพวกลิงไม่ถูกกัน จึงเกิดเป็นตัวละครสำคัญสองตัวได้แก่นายพลของฝั่งสุนัขอย่าง “General Pepper” และตัวละครวายร้ายฝั่งลิงอย่าง “Andross” หลังจากนั้นคุณ Shigeru Miyamoto ก็ได้สร้างหุ่นจำลองเล็ก ๆ ขึ้นมาเพื่อถ่ายทำปกเกม และหันมาใช้ชื่อเกมว่า “Star Fox” โดยตัวเกมได้ถูกพัฒนาจนเสร็จสิ้น และทำการวางจำหน่ายทั่วโลกในปี 1993 บนเครื่อง Super Famicom / Super Nintendo Entertainment System

Star Fox

ประวัติศาสตร์ของเกม Star Fox

สำหรับซีรี่ส์เกม Star Fox นั้น ถือว่าเป็นซีรี่ส์ที่จัดว่าเก่าแก่เป็นอย่างมาก เพราะอย่างที่เราได้กล่าวไป ซีรี่ส์นี้ได้ถือกำหนดตั้งแต่ตอนปี 1993 หรือให้พูดง่าย ๆ ว่าซีรี่ส์เกม Star Fox มีอายุกว่าเกือบ 25 ปีเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตามด้วยเรื่องของกระแสและยอดขายของซีรี่ส์เกมนี้ทำให้ Nintendo ตัดสินใจเลือกที่จะให้ Star Fox กลายเป็นไตเติลรอง ไม่ใช่ไตเติลใหญ่ทำเงินแบบ Super Mario, The Legend of Zelda, Splatoon หรือ Animal Crossing อย่างไรก็ดีเราจะมาย้อนดูกันว่า Star Fox ได้ทำออกมากี่ภาคและแต่ละภาคประสบความสำเร็จในระดับไหน ตั้งแต่อดีตจนถีงปัจจุบัน ไปดูกันเลยครับ

Star Fox (Super Famicom / SNES – 1993)

ภาคแรกของซีรี่ส์เกมนี้ โดยตัวเกมได้ถูกวางจำหน่ายทั่วโลกในปี 1993 ซึ่งตัวเกมได้ใช้กราฟิกเป็นสามมิติล้ำยุค ในท่ามกลางเกมในยุคนั้นที่นิยมภาพสองมิติแบบ 16bit แต่การที่ตัวเกมสามารถแสดงผลภาพสามมิติได้นั้น นั้นก็เป็นเพราะว่าตัวตลับเกมของ Star Fox มีการฝังชิปประมวลผลสามมิติอย่าง “Super FX” เอาไว้ เพื่อทำให้ตัวเครื่องสามารถแสดงภาพที่มีความซับซ้อนได้ เนื้อเรื่องเกิดขึ้นที่ระบบดาวแห่งนึงนามว่า “Lylat System” โดยเราจะได้รับบทเป็น “Fox McCloud” มนุษย์สุนัขจิ้งจอกตนนึงที่ทำงานให้กับ “General Pepper” พร้อมกับเพื่อนร่วมทีมอย่าง Falco, Slippy Toad และ Peppy ในการออกตามล่า “Andross” ผู้เป็นวายร้ายหลักของเกมนี้ ซึ่งเราจะได้ขับยานรบลำหนึ่งที่ถูกเรียกว่า “Arwing” ในการปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้

เนื่องด้วยตัวเกมถูกแสดงผลเป็นภาพสามมิติ แต่ในยุคนั้นเทคโนโลยียังไปได้ไม่ไกลมาก ทำให้ตัวเกมนั้นแสดงผลภาพด้วยเฟรมเรตที่ไม่ถึง 30 FPS ด้วยซ้ำ ในขณะที่เกมอื่น ๆ ในเครื่องจะแสดงผลภาพได้มากกว่า 30 FPS แต่นั้นก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จของตัวเกมทั้งในยอดขายและคำวิจารณ์ โดยสามารถทำยอดขายไปได้กว่า 4 ล้านชุด พร้อมกับคะแนนรีวิวจากสำนักโดยเฉลี่ยสูงถึง 88 เปอร์เซนต์ (GameRankings)

Star Fox

Star Fox 64 (Nintendo 64 / Nintendo 3DS – 1997)

หลังจากประมาณห้าปีให้หลัง Nintendo ก็ได้ปล่อยภาคใหม่ของซีรี่ส์เกม Star Fox ออกมาอย่าง Star Fox 64 ซึ่งถือว่าเป็นภาค Reboot ของซีรี่ส์เกมนี้เพื่อให้ตัวเกมมีแก่นกราฟิกและเกมเพลย์ที่ดีมากขึ้นสำหรับนำไปสานต่อในภาคต่อ ๆ ไป โดย Star Fox 64 ได้วางจำหน่ายทั่วโลกในช่วงปี 1997 บนเครื่อง Nintendo 64 และได้มีการนำตัวเกมต้นฉบับไป Remaster โดยลงให้กับเครื่อง Nintendo 3DS ในชื่อว่า Star Fox 64 3D ซึ่งวางจำหน่ายในปี 2011 ในภาคนี้เนื้อเรื่องจะถูกปรับปรุงให้ดีมากขึ้นและมีอะไรลึกซึ้งมากขึ้นจากภาคแรก ส่วนทางฝั่งของเกมเพลย์ก็ได้มีการปรับปรุงพอสมควร เพราะเนื่องจาก Star Fox 64 ถูกลงให้กับเครื่อง Nintendo 64 ซึ่งรองรับการแสดงผลภาพสามมิติแบบเต็มรูปแบบแล้ว ทำให้สามารถใส่ของเล่นหรือลูกเล่นใหม่ ๆ ได้มากพอสมควร โดยในภาคนี้เราจะได้ควบคุมเจ้า “Landmaster” หรือรถถังอวกาศเพชรฆาต ในการตะลุยด่านที่ต้องต่อสู้ในภาคพื้นดินอีกด้วย ซึ่งจะให้พูดง่าย ๆ แล้ว Star Fox 64 ก็คือ Star Fox ภาคแรกในแบบที่ลงตัวและสมบูรณ์มากขึ้น

ด้วยความสมบูรณ์และความสนุกของตัวเกม ทำให้ Star Fox 64 ประสบความสำเร็จในแง่ของยอดขายและคำวิจารณ์เป็นอย่างมาก โดยสามารถทำยอดขายติดอันดับเกมขายดีที่สุดในช่วงปี 1997 โดยเป็นรองให้กับ Mario Kart 64 ส่วนฝั่งของคำวิจารณ์ก็สามารถทำคะแนนได้ไปอย่างสวยงาม โดยสามารถทำคะแนนเฉลี่ยไปได้ถึง 88/100 (Metacritic) เรียกได้ว่าต่อให้ตัวเครื่อง Nintendo 64 อาจจะขายได้ไม่ค่อยดีนักในช่วงนั้น แต่ฝั่งของซอฟต์แวร์ก็ยังคงทำผลงานได้เป็นที่หน้าประทับใจเป็นอย่างมาก

Star Fox

Star Fox Adventures (GameCube – 2002)

หลังจากที่ Star Fox 64 ได้ถูกวางจำหน่าย ซีรี่ส์เกมนี้ก็ได้หายหน้าหายตาไปอีกประมาณห้าปี (อีกแล้ว) และในที่สุด Star Fox ก็ได้กลับมาอีกครั้งในเครื่องคอนโซลรุ่นถัดจาก Nintendo 64 อย่าง Nintendo GameCube โดยใช้ชื่อว่า “Star Fox Adventures” ซึ่งภาคนี้ถือว่าเป็นภาคแรกที่ซีรี่ส์เกมนี้ได้ลองทำอะไรแปลก ๆ พิลึก ๆ และแหกโค้งจากสิ่งที่เคยเป็นดูบ้าง เพราะนี่คือครั้งแรกที่เกมซีรี่ส์นี้ถูกนำเสนอในรูปแบบของ “Action Adventure” หรือจะให้บอกว่าภาคนี้คือ “Zelda Clone by Nintendo” ก็ไม่น่าผิดอะไร โดยในภาคนี้ทาง Nintendo ได้จ้างทีมพัฒนาเกมภายนอกอย่าง “RARE” ในการรับผิดชอบเกม ๆ นี้ ซึ่ง RARE ถือว่าเป็น ทีมพัฒนาสัญชาติอังกฤษและพวกเขาก็ได้เคยฝากผลงานระดับตำนานไว้อย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็น GoldenEye 007, Battletoads, Donkey Kong Country, Perfect Dark, Banjo Kazooie และ Conker’s Bad Fur Day โดยตัวเกมได้วางจำหน่ายในปี 2002

ในภาคนี้ได้ถูกเปลี่ยนเกมเพลย์จนเรียกว่าแทบจะเป็นคนละซีรี่ส์กันเลย จากเดิมที่เป็นเกมแนว Shoot’em up ผสมผสานกับ Rail Shooter กลายมาเป็นเกมแนว Action Adventure ที่มีความเป็น The Legend of Zelda สูงเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นระบบการต่อสู้ ปริศนา หรือกลไกต่าง ๆ ภายในเกม ซึ่งในภาคนี้ก็ได้มีการเปิดตัวตัวละครใหม่ที่เป็นที่ตราตรึงใจของแฟนเกมในยุค ๆ นั้นอย่าง “Krystal” สาวสุนัขจิ้งจอกกายาสีฟ้าผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับพลังบางอย่าง และเราจะได้เดินเล่นในโลกที่เป็นไปด้วยสิ่งมีชีวิตแปลก ๆ แนว ๆ ก่อนยุคประวัติศาสตร์ โดยเหตุการณ์เนื้อเรื่องในภาคนีัได้เกิดขึ้นหลังจาก Star Fox 64 ถึง 8 ปีให้หลังด้วยกัน

Star Fox Adventures ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในด้านของคำวิจารณ์ โดยสามารถทำคะแนนไปได้ถึง 82/100 (Metacritic) และได้รับคำชมในเรื่องของระบบเกมและกราฟิกของเกมที่สวยงามและมีชีวิตชีวา แต่อย่างไรก็ดี หลาย ๆ สำนักรีวิวกลับให้ความเห็นว่า เนื้อหาของภาคนี้ค่อนข้างจะแตกต่างจากภาคก่อน ๆ จนแทบจะเป็นเกมคนละซีรี่ส์ แถมแฟน ๆ ก็กลับมีเสียงที่แตกกับ Star Fox ภาคนี้ เพราะบางคนก็ชอบภาคนี้มาก แต่บางคนกลับเกลียดไปเลย ซึ่งในฝั่งของยอดขายกลับทำได้ประมาณ 2 ล้านชุด โดยถือว่าเป็นยอดขายที่โอเคอยู่สำหรับเกมที่มีการเปลี่ยนแนวทางของตัวเอง แต่อย่างไรก็ดีแล้ว สุดท้ายตัวเกมของ Star Fox Adventure ก็ไม่มีการนำไปสานต่อ และภาคต่อไป Star Fox ก็ได้กลับไปใช้เกมเพลย์ในรูปแบบเดิมจนถึงทุกวันนี้

Star Fox Assault (GameCube – 2005)

เวลาผ่านไปประมาณ 3 ปี Star Fox ได้กลับมาอีกครั้งในเกมเพลย์รูปแบบดั้งเดิม แต่มีการเพื่มฟีเจอร์และระบบใหม่ ๆ ให้ตัวเกมดูสดใหม่มากขึ้น โดยใช้ชื่อว่า “Star Fox : Assault” ที่ลงให้กับเครื่อง Nintendo GameCube อีกเช่นเคย และวางจำหน่ายในปี 2005

ในด้านของเนื้อเรื่องนั้น Star Fox Assault จะเป็นเหตุการณ์ที่ดำเนินต่อจากภาค Star Fox Adventures โดยภาคนี้ Krystal ก็ยังคงอยู่และมาในฐานะสมาชิกทีมคนใหม่ของ Star Fox พร้อมกับศัตรูหน้าใหม่ที่ถูกเรียกว่าพวก “Aparoids” กลุ่มสิ่งมีชีวิตแมลงที่พยายามจะครอบงำจักรวาลให้อยู่ในเอื้อมมือของพวกมัน ส่วนทางฝั่งของเกมเพลย์นั้นได้มีการพัฒนามากขึ้น บางฉากเราสามารถควบคุมแบบอิสระได้ด้วยตนเองได้แล้ว ยานพาหนะอย่าง Arwing และ Landmaster กลับมาครบ และในภาคและในภาคและในภาคนี้มีของเล่นใหม่ก็คือจะมีฉากที่เราจะได้เล่นเป็น Fox ในสภาพที่ถือปืนพร้อมรบและไปยิงศัตรูในฉากด้วยตัวของ Fox เองอีกด้วย กลายเป็นเกม Third Person Shooting อย่างสมบูรณ์ไปเลย โดยภาคนี้มีการนำเสนอโหมด Multiplayer ให้เล่นกันด้วย

Star Fox Assault ถึงจะนำเสนอสิ่งใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ แต่ตัวเกมกลับไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร โดยในฝั่งของคะแนนรีวิวหรือคำวิจารร์กลับทำได้ประมาณ 72/100 (Metacritic) ซึ่งถือว่ายังเป็นคะแนนที่ดี แต่ก็ไม่ใช่คะแนนที่สวยงามนัก ส่วนใหญ่นักวิจารณ์จะให้ความเห็นว่า ตัวเกมยังคงดีแต่หลาย ๆ อย่างก็ยังคงเดิม ๆ บวกกับระบบ Multiplayer ที่ไม่ค่อยน่าสนใจ ส่วนทางฝั่งของยอดขายกลับไม่มีการรายงานตัวเลขกลม ๆ อย่างชัดเจน ทำให้เราพอสันนิษฐานได้ว่าภาคนี้อาจจะทำยอดขายได้ไม่สวยมากนัก แม้ตัวเกมอาจจะไปติดอันดับเกมดีของเครื่องก็ตาม

Star Fox Command (Nintendo DS – 2006)

ถัดจากภาคที่แล้วเพียงแค่ปีเดียว Star Fox ก็ได้กลับมาอีกครั้ง และในครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกของซีรี่ส์เกม Star Fox ที่ได้ลงให้กับเครื่องพกพาอย่าง Nintendo DS โดยได้ใช้ชื่อว่า “Star Fox Command” และถูกพัฒนาโดยค่ายเกมภายนอกอย่าง Q-Games รวมถึงฝั่งของ Nintendo EAD ซึ่งตัวเกมได้วางจำหน่ายในปี 2006

ตัวเกมในภาคนี้ยังคงรักษาเอกลักษณ์เดิม ๆ เพื่มเติมก็คือตัวเกมได้มีการนำระบบ “Turn Based Strategy” มาประยุกต์ใช้เข้ากับเกม Star Fox Command และทำให้ตัวเกมถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ ๆ ได้แก่ “ส่วนของการวางแผน” ที่เราจะต้องวางแผนนำยูนิตของเราบนกระดานแผนที่เข้าไปหาศัตรู เพื่อเข้าสู่ใน “ส่วนของการต่อสู”้ ที่เราจะได้ควบคุมยานยิงในรูปแบบของตัวเกมดั้งเดิม เพื่มเติมคือภาคนี้เราจะควบคุมได้อิสระมากขึ้น โดยในภาคนี้ได้มีตัวละครในเกมมากถึงประมาณ 40 ตัว ซึ่งถือว่าเยอะที่สุดในซีรี่ส์ Star Fox และตัวเกมยังรองรับระบบ Mutlplayer อีกด้วย โดยในเนื้อเรื่องของภาคนี้จะเกิดขึ้นหลังจากที่กองกำลังของ Andross อย่างเหล่า Venom ถูกทำลายจนไม่เหลือซากอีกต่อไป แต่นั้นก็มิได้นำพาความสงบสุขกลับมาเพราะได้มีกลุ่มก่อการร้ายใหม่อย่าง “Anglar” ที่พวกมันมีแผนที่จะทำลายล้างระบบดาว Lylat System ในภาคนี้ถือว่าเป็นการเปิดตัวและปิดฉากของตัวละครใหม่ ๆ และตัวละครเก่า ๆ ไม่ว่าจะเป็น Krystal ที่ได้ออกจากทีมและยุติความสัมพันธ์กับ Fox เพราะ Fox กลัวว่าเธอจะได้่รับอันตรายอีก ส่วน Falco ก็ได้ลาออกจากทีม Star Fox และไปทำภารกิจเดี่ยว  แต่ในฝั่งของ Slippy Toad กลับได้หวานใจคนใหม่นามว่า “Amanda” และตัวละครอื่น ๆ ที่ถูกเปิดตัวและเปลี่ยนแปลงในภาคนี้ ซึ่งตัวเกมในภาค Mission ได้นำเสนอฉากจบถึง 9 แบบด้วยกัน

Star Fox Mission ได้รับความวิจารณ์จากสำนักรีวิวในแง่บวกพอสมควร โดยสามารถทำคะแนนไปได้มากถึง 76/100 (Metacritic) แต่ในฝั่งของยอดขายภาคนี้กลับทำได้ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่นัก บวกกับกระแสของแฟน ๆ ที่ไม่สู้ดีเท่าไหร่ต่อเกมภาคนนี้ และนี่อาจจะเป็นสัญญาณที่ไม่ดีมากนักของซีรี่ส์เกม Star Fox ที่กลับเรื่มทำยอดขายได้น้อยลงเรื่อย ๆ ทำให้ Nintendo ตัดสินใจที่จะทำการพักซีรี่ส์นี้เอาไว้เป็นระยะเวลาที่ยาวนานระดับข้าม Generation กันเลยทีเดียว

Star Fox Zero (Wii U – 2016)

Star Fox ได้กลับมาอีกครั้งในรูปแบบของเกมภาคใหม่ แต่ในครั้งนึ้ถือว่าเป็นการกลับมาที่ทิ้งช่วงห่างจากภาคที่แล้วเป็นระยะเวลาที่ยาวนานเป็นอย่างมาก โดยทิ้งห่างจากภาค Command มากถึง 10 ปี (หากไม่นับ Star Fox 64 3D) โดยในภาคนี้ยังคงใช้เกมเพลย์ในรูปแบบเดิม เพื่มเติมคือมีการปรับปรุงกราฟิกให้ดีมากยิ่งขึ้นสมกับเป็นเกมที่ลงให้กับเครื่องที่รองรับกราฟิกความละเอียดสูงอย่าง Wii U โดยในภาคนี้ได้ถึงทีมงานคุณภาพเยี่ยมอย่าง Platnium Games มารับผิดชอบในการพัฒนาเกม Star Fox ภาคใหม่อย่าง “Star Fox Zero” ซึ่งภาคนีัถือว่าเป็นการ Reboot จักรวาล Star Fox เป็นครั้งที่ 2 และกลับไปสู่จุดเรื่มต้นแบบที่เคยทำตอนยุค Star Fox 64  โดยตัวเกมถูกวางจำหน่ายในปี 2016

เนื้อเรื่องของตัวเกมภาคนี้ถือว่าแทบจะตามสูตรของเนื้อเรื่องภาค Star Fox 64 กันเลย ส่วนทางด้านเกมเพลย์ก็ยังคงรักษาเอกลักษณ์ไว้เล่นเดิม โดยตัวเกมได้นำเสนอฟีเจอร์ใหม่อย่างการส่ง “โดรน” ไปสำรวจที่แคบ และเราจะต้องใช้ Wii U GamePad ในการควบคุมเจ้าโดรนอันนี้ ซึ่งส่วนตัวแล้วในตอนที่เกมนี้ถูกประกาศเปิดตัว ทางผู้เขียนกลับมองว่า Star Fox เอาแต่เล่นมุกเดิม ๆ ซ้ำ ๆ มากจนเกินไปแล้ว และนั้นอาจจะทำให้การกลับมาของ Star Fox ในครั้งนี้ไม่เป็นที่น่าประทับใจเท่าที่ควรจะเป็น ซึ่งในตอนนั้นทางผู้เขียนอาจจะคิดมากไปเองก็ได้ และพยายามรอดูตอนเกมวางขายจริง แต่สุดท้ายแล้วเมื่อตัวเกม Star Fox Zero ได้ถูกวางขาย ลางสังหรณ์ของผู้เขียนที่กังวลต่อเกมนี้นั้นกลับเกิดขึ้นจริง ๆ เสียแล้ว

Star Fox Zero ประสบความล้มเหลวเป็นอย่างมากทั้งในด้านของยอดขายและคำวิจารณ์ โดยในฝั่งของคำวิจารณ์กลับสามารถทำคะแนนเฉลี่ยไปได้เพียง 69/100 เท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นคะแนนที่แย่ที่สุดในซีรี่ส์ Star Fox และยอดขายของเกม ๆ นี้ถือว่าเข้าขั้นเจ๊ง เพราะ Star Fox Zero ได้ถูกรายงานว่าเป็น Star Fox ที่ทำยอดขายได้น้อยและแย่ที่สุดในซีรี่ส์ และนอกจากนี้แล้ว เหล่าแฟน ๆ เกมก็ “เกลียด” และไม่ชอบ Star Fox Zero เป็นอย่างมาก จนกลายเป็นว่า 10 ปีที่ทิ้งห่างและรอคอยนั้นแทบจะสุญเปล่าและเต็มไปด้วยความผิดหวังของแฟน ๆ และทำให้เกม ๆ นี้กลายเป็น 1 ในตราบาปของค่ายพัฒนาเกมคุณภาพอย่าง Platnium Games ไปโดยปริยาย ส่วนสาเหตุที่ตัวเกม Star Fox Zero ออกมาเละเทะขนาดนี้นั้น ได้มีการรายงานว่าเป็นเพราะคุณ Shigeru Miyamoto ได้เข้าไปก้าวก่ายและเข้าไปควบคุมการพัฒนาเกม Star Fox Zero ของ Platinum Games มากจนเกินไป จนทำให้ตัวเกม Star Fox Zero มีสภาพที่เละเทะและไม่น่าประทับใจอย่างที่เห็น ซึ่งหากเป็นไปตามรายงานนี้จริง ทางผู้เขียนก็คงรู้สึกใจหายที่ผลงานระดับตำนานของคุณ Shigeru Miyamoto กลับถูกทำลายด้วยน้ำมือของผู้ให้กำเนิด และฝั่งของ Platinum Games ก็ไม่มีโอกาสที่จะแสดงฝีมือในการพัฒนาเกมลงไปในตัวเกม Star Fox Zero เลย

Star Fox 2 (SNES Classic Edition – 2018)

หลาย ๆ คนอาจจะงงเมื่อเห็นชื่อเกม “Star Fox 2” ภาคนี้ ใช่แล้ว มันควรจะเป็นภาคสองของซีรี่ส์เกมนี้ที่ควรวางจำหน่ายหลังจาก Star Fox ภาคแรก ซึ่งตัวเกมภาคนี้ได้ถูกพัฒนาจนเสร็จและพร้อมวางจำหน่ายแล้ว แต่สุดท้ายตัวเกมกลับถูกยกเลิกการวางจำหน่ายซะงั้น โดยมีการพยายามนำมาจำหน่ายอีกครั้งบน Wii Store ในปี 2006 หรือจะเป็นใน Nintendo Eshop ของเครื่อง Nintendo 3DS ในปี 2015 แต่สุดท้ายก็ไม่ได้วางจำหน่ายทั้งคู่ จนกลับมาในฐานะ “เกมพิเศษ” ของเครื่อง “SNES Classic Edition” รุ่นพิเศษขนาดเล็กของ Super Nintendo Entertainment System ที่วางขายไปเมื่อต้นปี 2018 ที่ผ่านมานี่เอง

โดยรวมแล้วเกมเพลย์ไม่ต่างอะไรจากภาคแรกมากนัก แถมยังคงรักษาอาการ “เฟรมเรต” แบบภาคแรกไว้ไ้ด้อย่างดี (ซึ่งไม่ได้บอกว่ามันดีนะ) และเนื้อเรื่องกับเกมเพลย์ก็จัดว่าดีและสนุกใช้ได้อยู่ แต่อย่างว่าแหละเกมมันค่อนข้างมีอายุมายาวนานแล้ว มันก็จะมีอะไรที่ตกยุคและดูแปลก ๆ ไปบ้าง ส่วนในฝั่งของคำวิจารณ์นั้น เนื่องจากตัวเกม Star Fox 2 ที่ค่อนข้างมีอายุมาเกือบ 20 ปีแล้ว ทำให้ระบบเกมนั้นมีความเก่าและตกยุคพอสมควร โดยคะแนนรีวิวที่ได้ก็ถือว่ากลาง ๆ และมีเพียงไม่กี่สำนักเท่านั้นที่ได้ทำการรีวิวเกมนี้ ส่วนทางด้านของยอดขายนั้นคงไม่ต้องอธิบายให้มากความ ให้คุณคิดแบบง่าย ๆ เลยว่า “SNES Classic Edition ขายได้กี่เครื่องล่ะ” ก็นั้นแหละคือยอดขายของ Star Fox 2 ซึ่งถือว่าทำได้ดีมากเลยทีเดียว

Starlink : Battle for Atlas (Playstation 4 / Xbox One / Switch / PC – 2018)

ก่อนอื่นเราต้องขอบอกก่อนว่า “นี่ไม่ใช่ Star Fox” แต่ด้วยสเกลและความใส่ใจที่เราเห็นได้จากตัวอย่างของเกม ๆ นี้ ทำให้เราต้องพูดถึงเกมนี้กันซักหน่อย โดยเจ้าเกม “Starlink : Battle for Atlas” นั้นได้ถูกพัฒนาโดยทีมงานที่เกมเมอร์ไทยชอบล้อเลีบนกันว่า “ดาวน์เกรด ๆ” อย่าง Ubisoft ซึ่งตัวเกมได้มีการใช้รูปแบบเกมเพลย์ยานยิงแบบที่ Star Fox เป็น พร้อมกับชูจุดเด่นคือระบบการ “ประกอบยาน” ที่คุณสามารถซื้อ “ฟิกเกอร์” หรือชิ้นส่วนของยานมาประกอบกัน และนำมาสแกนเพื่อให้ได้มาซึ่งยานในเกม ใช่แล้วครับ มันคือเกมขายของเล่นดูดตังค์จากทาง Ubisoft นั้นแหละ โดยตัวเกม Starlink : Battle for Atlas นั้นได้ลงให้กับเครื่อง Playstation 4, Xbox One, PC และ Switch ซึ่งตัวเกมจะวางจำหน่ายในวันที่ 16 ตุลาคม 2018 หรืออีกเพียงแค่ประมาณ 4-5 วันเท่านั้นเอง

แต่สิ่งที่น่าสนใจของเกมนี้ก็คือ การจับมือร่วมงานกันอีกครั้งระหว่าง Ubisoft กับ Nintendo หลังจากที่ปีที่แล้วพวกเขาได้จับมือกันเพื่อพัฒนาเกม Mario + Rabbids : Kingdom Battle โดยในครั้งนี้พวกเขาได้นำคอนเทนต์ของ Star Fox ยัดใส่เข้าไปในตัวเกม Starlink : Battle for Atlas ในแพลตฟอร์มของ Nintendo Switch (หากเล่นบนเครื่องอื่นจะไม่มี Star Fox ให้เล่น) ไม่ว่าจะเป็นเนื้อเรื่อง ตัวละคร และยานพาหนะ เรียกได้ว่ามากันครบจนเรียกได้ว่านี่คือ Star Fox : Battle for Atlas กันเลย ซึ่งถึงแม้ตัวเกมจะยังไม่วางจำหน่าย แต่ดูจากเสียงตอบรับเนื้อเรื่องและเกมเพลย์ที่ถูกปล่อยออกมาแล้วของ Starlink : Battle for Atlas จากแฟน ๆ Star Fox แล้ว ดูเหมือนแฟน ๆ บางคนค่อนข้างจะชอบและรักเลย แถมบางคนบอกว่ามันทำมาได้ดีกว่า Star Fox Zero เสียอีก บางคนถึงขั้นอยากใหั Ubisoft ได้พัฒนา Star Fox ภาคต่อไปอย่างเต็มตัวด้วยซ้ำ (ก็ว่ากันไป)

ซึ่งหากนับจากปี 2016 จนถึงตอนนี้แล้ว Star Fox ภาคล่าสุดถือว่าเพึ่งออกมาไม่ถึงสามปีด้วยซ้ำไป แต่ด้วยความผิดหวังที่แฟนเกมมีให้กับ Star Fox Zero ที่ทิ้งห่างจากภาคที่แล้วเกือบ 10 ปี ทำให้ซีรี่ส์เกมนี้จึงต้องเงียบหายจากไป และได้รับกระแสด้านลบจากแฟนเดนตายของซีรี่ส์เกมนี้ โดยทางผู้เขียนหวังว่าเนื้อเรื่องและเกมเพลย์ของ Starlink : Battle for Atlas ที่มีการนำเสนอเนื้อหาของ Star Fox โดยฝีมือของ Ubisoft จะดีและประสบความสำเร็จไม่ซ้ำรอยเกมก่อนหน้านี้ เพื่อเป็นรากฐานใหม่ในการให้ Nintendo พิจารณาในการนำ Star Fox กลับมาโลดแล่นในวงการเกมอีกครั้งนึงครับ

SHARE

BabeElena

Back to top