BY StolenHeart
3 Sep 19 9:45 am

เกม Open World ควรให้อิสระแก่ผู้เล่นมากแค่ไหน?

23 Views

หากพูดถึงจุดเด่นใหญ่หลวงที่อยู่ในเกม Open World ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของความอิสระที่เปิดโอกาสให้ผู้เล่นทำอะไรก็ได้อย่างอิสระ จะไปทำเนื้อเรื่องหลักก่อน หรือรับเควสเสริมที่มีอยู่อย่างมากมาย หรือจะไปทำกิจกรรมที่เกมเตรียมไว้ก็ได้เหมือนกัน เรียกว่าไม่มีกรอบในเรื่องเวลาหรืออย่างอื่นมาบังคับให้เราต้องเล่นไปตามที่กำหนดแต่อย่างใด

แน่นอนว่าด้วยการที่เกมมอบอิสระให้มากขนาดนี้ มันจึงกลายเป็นสิ่งที่ผู้เล่นหลายคนชอบไปโดยปริยายรวมไปถึงตัวของผู้เขียนเอง เกมอย่าง Fallout, GTA หรือ The Elder Scrolls ก็ล้วนเป็นเกมโปรดทั้งสิ้น เพราะความอิสระเปิดกว้างของมันที่ไม่จำกัดในสิ่งที่เราอยากทำ สร้างตัวละครในรูปแบบที่อยากเล่น อยากเป็นคนดี คนชั่ว หรือไม่ยุ่งวุ่นวายกับใครเลยก็ได้อีก ทำให้เราเบื่อเกมแบบนี้ได้ยาก แค่เปลี่ยนไปเล่นสายอื่นหรือแนวทางที่เกมเปิดให้เล่นก็เพียงพอแล้ว

แต่เพราะอิสระที่มากเกินไปนี้เองที่อาจทำให้เป็นข้อเสียได้

เชื่อหรือไม่ว่าเกม Open World บางเกมแทบไม่บอกอะไรกับเราเลย โยนผู้เล่นให้เผชิญหน้ากับความโหดร้ายในเกมแบบจัดเต็มแทบจะในทันที ยกตัวอย่างง่าย ๆ คือ Fallout: New Vegas ที่หลายคนชื่นชอบ เกมบอกคุณแค่ว่าให้เราไปตามหาคนที่ยิงหัวของเรา ข้อมูลที่หาได้ก็มาแบบกว้าง ๆ เดินสะเปะสะปะตั้งแต่เลเวลแรก ๆ มีได้ไปเจอศัตรูสุดอันตรายอย่าง Cazador, แมงป่องยักษ์หรือ Deathclaw ตั้งแต่ต้นเกมแน่นอน แถมเบาะแสหรืออะไรก็ไม่ได้เจอกันง่าย ๆ การนำทางอะไรต่าง ๆ แทบไม่มีบอก ต้องค้นหาเองแทบจะทั้งหมด

ด้วยการที่เกมแทบไม่บอกอะไรเรา ทำให้การสำรวจโลกของ Fallout: New Vegas เต็มไปด้วยอันตรายที่หลายคนอาจไม่อยากเจอ

เรียกว่าน่าจะเป็นจุดที่ผู้เล่นหลายคนที่ยังไม่คุ้นชินกับโลก Open World ในยุคก่อนต้องมีมึนกันบ้างแน่นอน อารมณ์ประมาณว่าเล่นเกมแนวอื่นมานาน แต่พอเจอเกมบอกแค่ว่า คุณไปที่นี่สิ แล้วจบเลย ต้องไปไหนก็ไม่รู้ ปกติมีแค่คนจูงมือไปที่นู่นที่นี่ ไม่ก็เส้นที่ไปได้มันมีแค่ไม่กี่อย่าง หรือเป็นผู้เล่นที่ดี ไม่เคยออกนอกลู่นอกทางมาก่อน เจอแบบนี้เข้าไปมึนตึ๊บ และอาจจะเลิกเล่นไปทำอย่างอื่นจนลืมเกมนั้นไปเลย

ซึ่งถ้าเปรียบเสมือนการใช้ชีวิต ก็คล้ายกับการที่เราต้องออกไปชีวิตด้วยตัวเอง

เกมแนวอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ Open World นั้นก็เปรียบเสมือนกับการที่มีผู้พัฒนาเกมคอยจูงมือเราสู่จุดหมาย แต่ก็ยังให้ผู้เล่นต้องจัดการปัญหาที่อยู่ตรงหน้าเอง กลับกันเกม Open World นั้นก็เหมือนกับเราเดินทางออกไปข้างนอก โดยมีผู้ปกครองอยู่ประจำที่ เมื่ออยู่ไกลหูไกลตาพวกเขาก็ไม่สามารถแนะนำหรือช่วยเราได้(ยกเว้นบางเกมที่มาพร้อมกับกล่องข้อความแนะนำวิธีการเล่นในบางครั้ง) ปล่อยให้เราไปเจอกับสิ่งที่ไม่รู้จักด้วยตัวเอง

บางครั้งการได้เดินสำรวจเมืองใน Yakuza Kiwami 2 ก็ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของเนื้อเรื่องได้เป็นอย่างดี

หรืออย่างเกมแนว Sand Box เอาชีวิตรอดที่เราต้องหาของหรืออุปกรณ์มาประทังชีวิตเช่น Minecraft หรือ Ark Survival เชื่อเถอะว่าพอเราได้เล่นเป็นครั้งแรกนี่งงกันเกือบทุกคน เพราะเราแทบไม่รู้เลยว่าต้องทำอะไรก่อน ถ้าไม่เปิดหน้าเมนูออกมาเราก็แทบไม่รู้เลยว่าจะหาสูตรมาสร้างของที่ต้องการนั้นต้องทำอย่างไร และตัวเกมเองก็เน้นไปที่การเอาตัวรอดไปเรื่อย ๆ ไม่มีเนื้อเรื่องหรือจุดจบของเกม แบบนี้ก็ทำให้เรารู้สึกเหมือนโดดนทอดทิ้งได้เหมือนกัน

ด้วยความรู้สึกเคว้งคว้างนี้ ทำให้ผู้เขียนรู้สึกว่าบางครั้งเกมให้อิสระกับเรามากเกินพอดีหรือเปล่า และขอบเขตของการให้อิสระของเกม Open World ควรอยู่ที่ตรงไหน

คำตอบนี้ตอบได้ง่าย ๆ สิ่งนั้นคือ Presentation หรือการนำเสนอนั่นเอง

เพราะการนำเสนอนั้นคือสิ่งที่ผู้พัฒนาใช้ในการบอกเล่าเนื้อหาของเกม ใส่สิ่งที่ช่วยให้ผู้เล่นไม่รู้สึกว่าเคว้งลงไป อย่างเช่นระบบการช่วยเหลือหรือนำทางผู้เล่น การมีผู้ร่วมทางที่หลากหลาย หรือระบบการพัฒนาตัวละครให้เราไม่จำเป็นต้องพึ่งพาผู้ช่วย หากผู้พัฒนาสามารถนำเสนอสิ่งที่อยู่ในเกมได้เก่ง ก็จะช่วยให้ผู้เล่นจดจ่อกับสิ่งที่เล่นได้อย่างเพลิดเพลินโดยที่ไม่รู้สึกว่างเปล่าแต่อย่างใด

จดหมายจาก Dark Brotherhood คือหนึ่งในการนำเสนอที่กระตุ้นผู้เล่นให้อยากรู้เรื่องราวต่อไปในเกมที่ดีอย่างหนึ่ง

การไล่ลำดับการนำเสนอนี่เองจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้สร้างเกมแนว Open World ควรให้ความสำคัญ เพราะถ้าหากมีการแนะนำระบบของเกมในช่วงเริ่มต้นที่ดี คราวนี้ก็สามารถเปิดช่องว่างให้ผู้เล่นได้ลองศึกษาด้วยตัวเองเข้าไปได้ง่ายขึ้น และในบางเกมก็อาจจะแอบให้ผู้เล่นได้เข้าถึงพื้นที่ระดับที่ยากกว่าปกติได้ด้วย อย่างเช่น Dark Souls ที่ถ้าผู้เล่นเชี่ยวชาญมากพอ ก็จะสามารถไปลุยในพื้นที่ ๆ ศัตรูมีระดับที่สูงกว่าหลายเท่าได้ เพื่อรับอาวุธระดับสูงในช่วงต้นเกม เป็นต้น

หากการไล่ลำดับการนำเสนอทำได้ดี คราวนี้เราก็แทบไม่มีข้อจำกัดใด ๆ แล้วสำหรับผู้เล่น

เพราะเราจะรู้สึกสนุกทุกครั้งที่ได้รับพลังหรือความสามารถใหม่เข้ามา มันทำให้เราอยากออกค้นหา เพื่อรับรางวัลที่ทำให้เราเก่งขึ้นหรือสนุกกับเกมได้นานขึ้น ยิ่งถ้าหากทำ Gameplay ออกมาได้ดี การได้รับรางวัลจากการเล่นเกมเหล่านี้มันก็คุ้มค่าน่าลองไม่น้อย ทีนี้ก็อยู่ที่ตัวผู้พัฒนาแล้วว่าจะใส่อะไรเข้ามาในเกม ให้ผู้เล่นได้สนุกกับมันและรับประสบการณ์ในเกม Open World ดังกล่าวนี้ได้มากน้อยแค่ไหน

การกำหนดเป้าหมายของตัวเองในเกมอย่าง Minecraft ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจ

สรุปอย่างง่าย ๆ ในประเด็นนี้ก็คือ เกม Open World สามารถให้อิสระกับผู้เล่นได้เท่าที่ต้องการ ตราบที่ผู้พัฒนาสามารถนำเสนอเนื้อหาในเกมได้อย่างชาญฉลาดและเหมาะสม ไม่ทำให้ผู้เล่นรู้สึกเคว้งคว้างไร้จุดหมาย และไม่บังคับกันมากจนเกินไป หรือหากทำได้ดีตั้งแต่แรก ก็อาจจะมอบอิสระแบบเต็มพิกัดให้กับผู้เล่นได้ตั้งแต่ต้นเกม เหมือนอย่างที่ GTA V เคยทำเอาไว้(เปิดให้ผู้เล่นได้เดินทางไปได้ทุกที่ตั้งแต่เริ่มเกม)

เพราะบางครั้งแม้โลกจะกว้างใหญ่ แต่หากไร้ซึ่งจุดหมายที่จะไป ก็ทำให้จิตใจของผู้เล่นว่างเปล่าได้มากขึ้นเท่านั้นครับ

SHARE

Putinart Wongprajan

เค้ก - Content Writer

Back to top