BY StolenHeart
26 Oct 18 11:33 am

Castlevania: Symphony of The Night ภาคที่ดีที่สุด ของตำนานนักปราบจอมปีศาจดูดเลือด

267 Views

บนโลกนี้มีหลายเกมที่เป็นต้นกำเนิดของเกมแนวใหม่ขึ้นมา แม้จะไม่ใช่แนวหลัก ๆ อย่าง Action, RPG หรืออื่น ๆ แต่เป็นแนวย่อย Sub-Genre ที่ทำให้เราค้นพบถึงความสนุกแบบใหม่ที่ถูกนิยามขึ้นมา อย่างเช่นใน Dark Soul ที่เรานำเอาชื่อของมันมานิยามเกมแนว Action RPG ที่มีความยากระดับพ่อคุณตัวเย็นที่ผู้เล่นต้องตายแล้วตายอีก แต่มีอยู่แนวหนึ่งที่พิเศษ เพราะมันถือกำเนิดขึ้นมาจากเกมระดับตำนานเกมหนึ่ง ที่วางรากฐานให้กับเกม Action สไตล์เดียวกันที่กำเนิดขึ้นมาในภายหลังมากมาย ซึ่งจะเป็นเกมใดไปไม่ได้นอกจาก Castlevania: Symphony of The Night นั่นเองครับ

บางคนอาจจะสงสัยกันว่า “อ้าว วันนี้ไม่ใช่เกมผีหรือสยองขวัญหรอกหรือ ?” ซึ่งอันที่จริงแล้วเกมอย่าง Castlevania แม้จะไม่ใช่เกมที่เน้นความสยองเป็นหลัก แต่ธีมของเกมที่เกี่ยวข้องกับภูตผีปีศาจในความเห็นของผู้เขียนนั้นถือว่าเหมาะเจาะมากที่จะนำมาพูดถึงในเทศกาลปล่อยผีแบบนี้ รวมไปถึงมีแง่มุมที่น่าสนใจอยู่หลายอย่างด้วยกัน แม้เพื่อน ๆ ผู้อ่านจะไม่เคยได้สัมผัสเกมซีรีส์นี้มาก่อนครับ

เรื่องราวของ Castlevania: Symphony of The Night เริ่มต้นต่อจากภาค Rondo of Blood โดยเป็นเรื่องราวหลังจากที่ Dracula ได้ถูก Richter Belmont สังหารลง (ซึ่งตัวเกมช่วงแรกจะให้เราได้เล่นเป็น Richter ปราบ Dracula จริง ๆ ) สี่ปีต่อมา Alucard ลูกชายของ Count Dracula ได้เดินทางมายังปราสาทของพ่อเขาเพื่อทำลายมันทิ้ง แต่ก็ถูกขัดขวางโดย Death สมุนเอกที่โผล่มายึดของทั้งหมด และการผจญภัยที่เกี่ยวพันกับความขัดแย้งระหว่าง Dracula และตระกูล Belmont ก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

สิ่งที่ทำให้ Symphony of the Night แตกต่างจาก Castlevania ภาคอื่น ๆ ตั้งแต่แรกเล่นก็คือระบบการเล่นที่ถูกออกแบบมาใหม่ ด้วยการผสมผสานระบบแบบเกม RPG ที่ผู้เล่นจะต้องสะสมค่า EXP เพื่ออัพเลเวลให้ตัวเอง ออกค้นหาไอเท็มอาวุธ ชุดเกราะ เวทย์มนต์ต่าง ๆ ซึ่งในภาคนี้ Alucard เป็นลูกครึ่งแวมไพร์ ที่มีความสามารถมากกว่ามนุษย์ตระกูล Belmont อยู่มากมาย เช่นแปลงร่างเป็นหมอกหรือสัตว์ต่าง ๆ ได้ และมีบริวารคอยช่วยโจมตีหรือเพิ่มความสามารถให้ จากที่แต่เดิมตัวเอกจากตระกูล Belmont จะมีแส้และอาวุธขว้างหลากหลายแบบให้ใช้งาน รวมไปถึงตัว Alucard เองก็สามารถเคลื่อนที่ได้หลากหลายแบบ สร้างความตื่นตาตื่นใจแก่ผู้เล่นในสมัยนั้นเป็นอย่างมาก (และที่สำคัญคือรูปลักษณ์ของตัว Alucard เองที่เท่บาดใจ เป็นตัวละครขวัญใจทั้งพ่อยกแม่ยกในวงการเกมช่วงก่อนปี 2000 แบบสุด ๆ อีกคนไม่แพ้ Cloud และ Sepheroth จาก Final Fantasy VII เลย)

และแน่นอนว่าพอตัวเอกของเรามีความสามารถมากขึ้น ศัตรูในเกมก็มีความท้าทายมากขึ้นเช่นกัน รวมไปถึงการออกแบบฉากที่ยอดเยี่ยมเต็มไปด้วยรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ จุดซ่อนของต่าง ๆ อาวุธทุกอย่างในเกมมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันชัดเจน พวกบอสที่ออกแบบมาได้ดีและเท่มาก และเนื้อเรื่องที่สามารถจบได้หลายแบบ ทำให้เราสามารถสนุกกับมันได้นานเป็นเดือนเลยทีเดียว ซึ่งที่ผู้เขียนทึ่งมากก็คือการใช้มุกปราสาทกลับหัวของเกมที่แม้จะเป็นฉากเดิม แต่การแก้ปริศนาในหลายจุดเปลี่ยนไป รวมไปถึงบอสที่แกร่งขึ้น เรียกว่าเป็นอะไรที่เหนือความคาดหมายอย่างมากทีเดียว

และที่โดดเด่นที่สุดและเป็นที่กล่าวถึงจนทุกวันนี้ก็คือ ความลับของเกมที่ถูกซ่อนเอาไว้ ทุกวันนี้ยังมีผู้เล่นพบเจอความลับของเกมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งเทคนิคลับหลากหลาย เช่นการ Dash กลับหลังที่เร็วกว่าการ Dash ปกติ การเก็บความคืบหน้าของเกมที่ยังแข่งกันเก็บจนเกิน 200% กันเข้าไปแล้ว มีการแข่งขันกันเล่นแบบ Speedrun และรูปแบบแปลก ๆ มากมาย และที่สำคัญที่สุดคือนี่คือเกมที่ให้กำเนิดเกมแนวที่เรียกว่า Metroidvania เพราะเกมนี้ได้นำจุดเด่นของเกม Super Metroid เกมแอคชั่นแนว Platform ระดับสุดยอดของ Nintendo ที่มีการสำรวจฉากในเกมที่ใหญ่โต ต้องหาไอเท็มหรือความาสามารถใหม่มาเพื่อเข้าสู่พื้นที่ใหม่ในเกม ผสมรวมกับการเก็บ EXP หรือระบบอื่น ๆ ที่ทำให้ตัวละครของเราแข็งแกร่งขึ้น ซึ่ง Symphony of The Night เป็นเกมที่นำเสนอสิ่งเหล่านี้เป็นเกมแรก ๆ จนทำให้คำนี้กลายเป็น Sub-Genre ที่ผู้เล่นเอาไว้ใช้เรียกเกมในลักษณะเดียวกันมาจนทุกวันนี้

แม้ตัวเกมจะมีข้อดีอยู่มากมาย แต่ในช่วงแรกของการวางจำหน่ายนั้นทำไปได้ไม่ดีนัก แต่ด้วยกระแสปากต่อปากและคำวิจารณ์ในแง่บวกมากมายจากผู้เล่น ทำให้ตัวเกมได้รับการนำกลับมาขายใหม่อีกครั้งในแบบ Greatest Hit ในฝั่งตะวันตก รวมไปถึงมีภาคปรับปรุงใหม่ที่วางจำหน่ายให้กับเครื่อง Sega Saturn ในเวลาต่อมาที่มี maria Belmont และ Richter Belmont ให้เลือกเล่นกันด้วย และยังเพิ่มพื้นที่ใหม่ให้ผู้เล่นได้สำรวจเพิ่มอีก โดยทั่วโลกทำยอดขายไปได้ที่ 1.27 ล้านชุด แม้จะไม่มากนัก แต่ก็เพียงพอที่แฟน ๆ หลายคนยกย่องให้เป็นเกมระดับ Cult Classic ที่ยังมีคนพูดถึงจนทุกวันนี้

ปัจจุบันนี้หลังจากที่ Castlevania ออกภาคล่าสุดอย่าง Lord of Shadow 2 ก็ไม่มีเกมภาคต่อออกมาอีกเลย ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายเพราะภาคใหม่นี้ก็ทำได้ดีไม่แพ้ภาคอื่น แต่ถ้าหากจะยกให้ภาคไหนเป็นตำนาน ก็คงหนีไม่พ้น Symphony of The Night ภาคนี้อย่างแน่นอน สำหรับคอเกมคลาสสิก นี่เป็นอีกเกมที่ไม่ว่ายิบมาเล่นครั้งใดก็สร้างความบันเทิงใจได้ทุกครั้ง จะเลือกเล่นแบบที่เคยชิน หรือลองวิธีการใหม่ ๆ ก็ล้วนเป็นความสนุกที่ประทับใจทั้งสิ้น และสำหรับคนที่คิดถึงเกมนี้เราก็กำลังจะเกมเวอร์ชั่น PS4 ที่นำกลับมาวางจำหน่ายใหม่อีกครั้ง(แต่น่าเสียดายที่เป็นภาคใหม่ที่มีการปรับปรุงระบบเกมและบทพูดไปแล้ว ทำให้เราไม่ได้เห็นบทพูดสุดคลาสสิกระหว่างท่านเคานท์และ Richter กันอีกแล้ว)

แม้แฟนเกมรุ่นใหม่อาจจะรู้สึกว่าตัวเกมนั้นเก่าเกินกว่าจะเล่นแล้วก็ตาม แต่ก็ทำให้เราได้หวนรำลึกว่า Symphony of the Night ได้มอบมรดกและแนวทางให้กับเกมอื่น ๆ ได้เดินตามรอยมาจนถึงทุกวันนี้ โดยเฉพาะเหล่าเกมอินดี้หลาย ๆ เกมที่ต่อยอดสร้างงานเกมแนว Metroidvania ชั้นเยี่ยมน่าจดจำอย่างเช่น Shovel Knight, Axiom Verge และอื่น ๆ อีกมากมาย และในตอนนี้ทางคุณ Koji Igarashi ผู้สร้างเกมภาคนี้ก็กำลังพัฒนาผลงานใหม่อย่าง Bloodstained: Ritual of The Night อย่างตั้งอกตั้งใจ และเป็นเกมที่เหล่าแฟน ๆ เชื่อว่าจะสามารถสืบทอดเจตนารมณ์ของ Castlevania ให้กลับมารุ่งโรจน์ได้อีกครั้ง เรามาดูกันว่าเจตนารมณ์ของ Symphony of The Night จะกลับมารุ่งโรจน์ได้อีกครั้งเหมือนกับในยุคก่อนได้หรือไม่ครับ

Putinart Wongprajan

เค้ก - Content Writer

Back to top