Atelier Series ซีรีส์สาวปรุงยาที่อยู่คู่กับแฟนเกมมาเป็นเวลาช้านาน จะย้อนกลับไปเริ่มเล่นตอนนี้ก็น่าจะงงกันหนักเลยทีเดียว เพราะมีหลายภาค หลายชุดมาก แต่ข่าวดีก็คือ หากคุณสนใจจริง ๆ จะมาเริ่มต้นกันที่ภาคนี้เลยก็ได้ เพราะนี่คือภาคใหม่ล่าสุด ที่เล่าเรื่องราวของโลกใบใหม่ ตัวละครใหม่ นับหนึ่งไปพร้อมกัน ขอเชิญพบกับ Atelier Yumia: The Alchemist of Memories & the Envisioned Land
Story – เบื้องหลังการล่มสลายของอาณาจักรและวิชาเล่นแร่แปรธาตุ
เนื้อเรื่องของภาคนี้จะเล่าถึงตัวละครหลักอย่าง Yumia Liessfeldt นักเล่นแร่แปรธาตุที่เข้าร่วมคณะสำรวจ เพื่อช่วยเหลือในการออกสำรวจดินแดน Aladiss ที่ล่มสลาย อาณาจักร Aladiss ที่ครั้งหนึ่งเคยรุ่งเรืองถึงขีดสุด แต่อยู่ดี ๆ ก็ล่มสลายในพริบตา ว่ากันว่าสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดภัยพิบัตินี้ คือการเล่นแร่แปรธาตุ ทำให้ผู้ใช้วิชาเล่นแร่แปรธาตุนั้น แม้จะไม่ถูกจับตายหรือโดนโทษประหาร แต่ใครที่ใช้มันก็จะถูกเหยียดหยามดูถูกอย่างมาก
Yumia เองที่เป็นผู้ใช้วิชาเล่นแร่แปรธาตุที่สืบสายเลือดมาจากตระกูล และยังได้เข้าร่วมทีมสำรวจอาณาจักร Aladiss ด้วย ทำให้ถูกจับตามองและเฝ้าระวัง เพื่อพิสูจน์ว่าวิชาเล่นแร่แปรธาตุที่แม่เธอสอนมาให้นั้น ไม่ใช่สิ่งที่เลวร้าย และเพื่อตามหาเรื่องราวเบื้องหลังครอบครัวของเธอ รวมไปถึงค้นหาต้นตอที่เกิดขึ้นกับอาณาจักร Aladiss ด้วยว่า สรุปแล้ว มันล่มสลายลงเพราะวิชาเล่นแร่แปรธาตุจริงหรือไม่ การเดินทางของ Yumia และคณะสำรวจจึงเริ่มต้นขึ้น
ด้วยความที่เล่าเรื่องใหม่ ตัวละครใหม่ สถานที่ใหม่ ดังนั้นผู้เล่นแทบไม่ต้องทำการบ้านใด ๆ จากภาคก่อนมาเลย แต่สิ่งสำคัญที่ผมอยากแนะนำคือ การไปหาอ่านรายละเอียดและ Lore จากหน้าเว็บไซต์ Official ของตัวเกม จะได้ไม่งงคำศัพท์หรือเหตุการณ์ในช่วงต้น เพราะมันแทบไม่บอกอะไรเราเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้นในดินแดน Aladiss คือมันเล่าแน่นอน ถ้าคุณอ่านจนครบ แต่มันตกหล่นได้ง่ายมาก ๆ ถ้าให้แนะนำก็อ่านพวกคำโปรยหรือเรื่องย่อจากหน้า Official เอาก็เพียงพอแล้ว
แต่ส่วนใหญ่การดำเนินเรื่องของเกมนี้ มันก็ยังคงตามขนบธรรมเนียมเดิมของความเป็นเกมญี่ปุ่น คือทุกอย่างจะดูเรียบง่าย เป็นเส้นตรงไปซะหมด บทสนทนาที่ไม่ได้เข้าใจยากหรือซับซ้อนอะไร และสอดแทรกด้วยปมของเหล่าตัวละครร่วมทาง ฉากคัทซีนสไตล์การ์ตูนญี่ปุ่น และการที่เกมเปิดโอกาสให้เราเข้าไปพูดคุย สอบถาม หรือเผชิญหน้ากันร่วมไปกับเส้นเรื่องหลักด้วยก็มี และด้วยความที่กลุ่มตัวละครหลักมันมีอายุไล่ ๆ กัน เราจะได้เห็นฉากที่ค่อย ๆ พัฒนาความสัมพันธ์ จากคนแปลกหน้าไปสู่เพื่อนสนิท ตรงนี้ผมว่าเขาเล่าเรื่องได้ค่อนข้างดี และน่าติดตามมาก
แต่ก็ยังปฏิเสธไม่ได้ว่าบางช่วง บางจุดมันแปลก ๆ อยู่เหมือนกัน เช่นการปรากฎตัวของบางตัวละครที่สูตรสำเร็จแบบสุด ๆ รวมไปถึงอยู่ดี ๆ ก็มีการเทคแคร์ เป็นห่วงเป็นใยกันขึ้นมา ทั้งที่เพิ่งเจอหน้ากัน ซึ่งก็น่าจะเป็นเรื่องปกติของพล็อตแนว ๆ นี้จากญี่ปุ่นอยู่แล้ว ดังนั้นจะไปมองหรือตัดสินว่ามันเป็นข้อเสียก็คงไม่ได้เช่นกัน เพราะมันก็มีบางตัวที่เล่าเรื่องได้ดี และสนุกมาก เหมือนดูอนิเมะสักเรื่องที่ไม่ได้เข้าใจยากอะไร
จุดที่ Atelier Yumia ทำได้ค่อนข้างดี คือการไล่สเกลเนื้อเรื่องจากความพยายามในการพิสูจน์ตัวเองของ Yumia ที่แสดงออกมาทั้งการกระทำ คำพูด รวมไปถึงแอนิเมชันตัวละคร ที่ทำให้เราเอาใจช่วยไปตลอดรอดฝั่ง ว่าเธอจะได้รับการยอมรับเสียที ไปจนถึงการค่อย ๆ มีเพื่อน เปิดใจยอมรับ เล่าเรื่องราวต่าง ๆ ให้ฟัง ผสมกลิ่นอายของความเป็น Coming of Age เล็กน้อยพอหอมปากหอมคอ ทำให้แม้มันจะเป็นสูตรสำเร็จ แต่ระหว่างทางก็ยังคงสวยงาม และคุ้มค่ากับการเดินทางตลอดทั้งเกม
นอกจากนั้นเกมนี้ยังมีเนื้อหาค่อนข้างยาวใช้ได้ เอาแค่กลุ่มตัวละครที่เราเห็นบนปกเกมหรือตัวอย่างเกม กว่าจะรวมตัวกันครบทีมก็ใช้เวลาเกิน 10 ชั่วโมงไปแล้ว ดังนั้นใครชอบเกมที่มีความยาวมากกว่าเกมทั่วไปก็อาจจะติดอยู่กับเกมนี้ได้นานมาก แต่จะชอบหรือไม่ชอบ นั่นคือสิ่งที่ผู้เล่นอาจจะต้องตัดสินกันเอาเอง
Presentation – Open World สูตรสำเร็จที่ยังคงสนุกตามมาตรฐาน
ฉากหลังของเกมนี้คือดินแดนที่ถูกเรียกว่า Forbidden Land เดิมทีมันคือพื้นที่ของอาณาจักร Aladiss ที่เกิดการระเบิดของมานา ด้วยวิธี ทำให้การเปิดแผนที่ของเกมนี้จะให้อารมณ์ของเกม Ubisoft อยู่พอสมควร ในช่วงแรกพื้นที่ส่วนใหญ่จะถููกกลิ่นไอมานาปกคลุมเอาไว้
ถ้าเราเข้าไปเดินผจญภัยหรือสำรวจ ค่าพลังงานจะลดลงไปเรื่อย ๆ เราต้องไปทำการขจัดกลิ่นไอมานาที่แท่นโบราณก่อน ก็จะเปิดพื้นที่ตรงนั้น และสำรวจได้อย่างอิสระ ก็เหมือนกับการปีนเสาเปิดจุดวาร์ป และหลังจากเราออกสำรวจได้เต็มที่ ในพื้นที่นั้นก็จะเต็มไปด้วยกิจกรรมต่าง ๆ ให้เราทำมากมาย ตั้งแต่การต่อสู้กับมอนสเตอร์ การทำเควส เมื่อเก็บพื้นที่จนครบถึงเปอร์เซนที่กำหนดก็จะสามารถรับของรางวัลเสริมได้ด้วย
พูดตรง ๆ เลย ระบบนี้ใครชอบเกม Ubisoft นี่ คุณจะเพลินกับมันมาก ดีไม่ดีหนักกว่าด้วย เพราะเกมนี้คุณเปิดแผนที่ขึ้นมาที่ ไอ้เครื่องหมาย ? นี่จะละลานตาไปหมด ใครชอบก็ชอบ ใครไม่ชอบก็เกลียดไปเลย
แต่เราจะไม่สามารถสำรวจได้แบบเต็มที่ตั้งแต่แรก ในบางพื้นที่คุณจะเจอกับสิ่งกีดขวางที่จำเป็นจะต้องเล่นไปตามเนื้อเรื่อง เพื่อปลดล็อคพลังหรือไอเทมบางอย่างมาเพื่อใช้ในการปลดล็อคมันในภายหลัง ใครเป็นพวกรักความเพอร์เฟค ต้องเก็บให้ครบก่อนย้ายโซน อาจจะหงุดหงิดในใจนิดหน่อย แต่ก็ดีกว่าเราวนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหนเลย ไปทำเนื้อเรื่องก่อน ได้ของที่ใช้งานได้แล้วค่อยย้อนกลับมาเก็บก็ได้
และด้วยความที่บทบาทของ Yumia คือนักเล่นแร่แปรธาตุ ไอเทมทุกอย่างรอบตัวสามารถหยิบจับมาใช้สร้างเป็นส่วนผสมในการคราฟท์ต่าง ๆ ได้หมด ต้นไม้ ใบหญ้า แม่น้ำ ลำธาร สิ่งของที่ดรอปจากมอนสเตอร์ ล้วนเป็นวัตถุดิบชั้นดีในการเล่นแร่แปรธาตุ เมื่อผสมรวมเข้ากับการสำรวจโลกอันกว้างใหญ่ คราวนี้กว่าคุณจะวิ่งไปจุดภารกิจได้ รับรองว่าแวะกันจนเหนื่อย และเพื่อเพิ่มความสนุกในการสำรวจ สาวปรุงยาในภาคนี้จะมีมอเตอร์ไซค์ไว้ขี่เท่ ๆ ด้วย แถมมันยังกดกระโดดได้อีก แม้ว่ากว่าจะได้มาก็ต้องเกือบครึ่งเกมเข้าไปแล้ว แต่หลังจากได้มา บอกเลยว่าการสำรวจโลกภายในเกมนี้จะยิ่งสนุกมากขึ้นไปอีก
แต่อย่างไรก็ตาม การสำรวจในเกมนี้มักจะมีอุปสรรคที่ขัดแย้งในตัวมันเองอยู่บ่อยครั้ง เอาอย่างแรกเลยคือความซ้ำซากของมันในการออกสำรวจ เกือบทุกเครื่องหมาย ? ในแผนที่ แรก ๆ เราอาจจะสนุก เพลิดเพลิน ติดพัน แต่มันไม่ค่อยหลากหลาย ส่วนใหญ่เป็นแค่เปิดเสาหินทั่วไป หรือเสาวาร์ป บางที่ก็เป็นแหล่งฟาร์มไอเทมพิเศษเฉย ๆ ทำให้พอสำรวจไปมา มันจะกลายเป็นน่าเบื่อเอา และมุ่งไปทำเนื้อเรื่องมันยังจะสนุกซะกว่า
มีส่วนหนึ่งที่ผมค่อนข้างชอบเลย และมันเป็นรายละเอียดเล็กน้อยที่หลายคนอาจจะไม่ได้สังเกต คือเวลาที่เราอยู่ในหน้าอินโทรเข้าเกม ฉากจะเปลี่ยนไปเสมอ เช่นในช่วงเริ่มเกม จะเป็นฉากของ Yumia แต่พอเข้าองก์ที่ 2 ก็จะเปลี่ยนเป็นสองพี่น้องไอลาและวิคเตอร์ และพอเข้าองก์ 3 ก็จะเป็นนีน่า โดยที่แต่ละองก์นั้น ตัวละครจะโดดเด่น และมีบทบาทหลักเป็นของตัวเองด้วย อันนี้เป็นดีเทลเล็ก ๆ ที่ผมค่อนข้างชอบ
วกมาที่เรื่องน่ารำคาญอย่างยิ่งเลยคือฝูงมอนสเตอร์ คือเกมนี้มันมีมอนสเตอร์เกิดในแผนที่เยอะแบบเยอะมาก ๆ ไม่รู้คนสร้างเขากลัวแผนที่มันรกร้างหรือยังไง ไปไหนเจอมอนสเตอร์เป็นฝูงเสมอ แต่ที่น่ารำคาญยิ่งกว่านั้นคือ มันไม่ได้เกาะกลุ่มรวมกันให้เราสู้ทีเดียว สมมติว่าในโซนนั้น แม้เราจะเห็นมันยืนอยู่ใกล้กัน 2-3 ตัว แต่พอถึงจังหวะเข้าสู้จริง มันคือการสู้กับแค่ 1 ตัวเท่านั้น ทำให้มีหลายครั้งที่พอเราสู้เสร็จ นึกว่ามอนสเตอร์จะหมด สำรวจต่อได้ กลับต้องเจออีกฝูงวิ่งเข้าชนใส่ และต้องหวดกันต่อ ณ ตรงนั้น คือการต่อสู้มันไม่ได้น่าเบื่อ แต่อยากให้มันสู้ทีเดียวไปเลยให้มันเสร็จ เพราะเกมนี้มันไม่ใช้การต่อสู้กับ Action RPG Open World ทั่วไป แต่มันคือการตัดเข้าสู่การต่อสู้เมื่อเราปะทะกับมอนสเตอร์คล้าย ๆ เกม Pokemon ทำให้เล่นไปเล่นมา เจอไอ้ระบบแบบนี้บ่อย ๆ มันชวนเบื่อเร็วซะยิ่งกว่าออกสำรวจซะอีก โชคดีที่มันยังหาทางหลีกเลี่ยงได้ง่ายหน่อย ไม่งั้นสู้กันจนอ้วกแตกตายไปข้าง
Progression ของเกมจะค่อย ๆ ไหลไปตามเนื้อเรื่อง และมีรางวัลให้สำหรับคนชอบสำรวจ ที่เราอาจจะได้อาวุธ เครื่องป้องกันที่เหนือกว่าเนื้อหาในตอนนั้น ทำให้เกมการเล่นง่ายขึ้น สะดวกขึ้น ก็ขึ้นอยู่กับผู้เล่นจะบริหารจัดการเวลาจะฟาร์มอะไรยังไง จะมุ่งตรงเนื้อเรื่องมากน้อยแค่ไหน แต่ถ้าจะเอาเกมนี้ให้จบ แบบทางสายกลาง ทั้งฟาร์ม ทั้งสำรวจ ทั้งเนื้อเรื่อง ยืนพื้นไปเลยที่ 20 ชั่วโมง
ปัญหาของเกมนี้เลยน่าจะเป็นอย่างที่คุณรู้กันดี ราคา เกมนี้มีราคายืนพื้นสูงถึง 70$ สโตร์ไทยก็ 2100 บาท ไม่รักไม่ชอบจริง ๆ ก็คงไม่มีใครซื้อมาเล่นกัน แถมค่ายเกมญี่ปุ่นนี่คือขายคอสเมติกโหดมาก อยากได้ชุดสวย ๆ ชุดพิเศษ ก็ต้องจ่ายแพงขึ้นอีก มันมีขายแยกก็จริง แต่กดแบบเหมาจะถูกกว่า แต่ผมไม่อะ ซื้อชุดว่ายน้ำให้สาว ๆ ใส่ก็เพียงพอแล้ว
กล่าวสรุป มันคือเกมราคา 70 เหรียญที่ยังใช้เกณฑ์และมาตรฐานความสนุกแบบเดิมอยู่ ถ้าคุณชื่นชอบเรื่องราวของสาวปรุงยา ชอบการออกสำรวจโลก Open World ชอบเถลไถลแวะโน่นแวะนี่ ยังไงจำนวนชั่วโมงที่เล่นก็คงคุ้มราคาที่จ่าย แต่ถ้าไม่ ผมก็แนะนำให้ผ่านไปที่เกมอื่นแทน
Gameplay – เหล้าเก่าในขวดใหม่ โดดเด่นในด้านระบบ Synthesis
เกมเพลย์การเล่นของ Atelier Yumia นั้น เรียกได้ว่าผสมผสานและเอาหลายเกมมา Mix & Match กันใหม่ในหลาย ๆ ระบบ อย่างระบบการต่อสู้ มันจะแอ็คชันเพียวก็ไม่ใช่ จะเทิร์นเบสก็ไม่เชิง เปรียบเทียบแบบให้เห็นภาพที่สุด มันคือระบบ ATB ในแบบที่ Final Fantasy VI Remake ทำนั่นแหละ คือมันไม่ใช่เทิร์นเบสก็จริง แต่ทุกการแอ็คชันของเราจะมีคูลดาวน์ ทำให้สแปมกดต่อเนื่องไม่ได้
เกมนี้จะมีระบบระยะการต่อสู้คือ Inner Range และ Outer Range อินเนอร์จะเป็นระยะประชิด ส่วนเอาเทอร์จะเป็นระยะกลางถึงไกลออกมา และตัวละครจะปรับไปใช้สกิลประจำระยะนั้น ๆ ซึ่งตัวละครแต่ละตัวจะมีสกิลหลากหลายรูปแบบ บางตัวมีทั้ง Inner และ Outer บางตัวก็เป็น Inner เพียว หรือ Outer เพียวไปเลยเหมือนกัน ทำให้ตัวละครแต่ละตัวมีความสำคัญพอ ๆ กัน
เนื่องจากตัวละครทั้งหมดในเกมนี้มีด้วยกัน 6 ตัว ทำให้ผู้เล่นเลือกจัดทีมได้แค่สองทีม ทีมหนึ่งคือฟรอนท์แอทแทค อีกทีมคือแบคแอทแทค ทำให้เราสามารถเลือกได้ว่า ตอนเข้าสู่การต่อสู้ อยากจะเล่นเป็นตัวละครไหน และจะให้ใครคอยสนับสนุน อันนี้จัดตามความถนัดผู้เล่นได้เลย แถมเรายังตั้งค่าให้ลึกกว่านั้นได้ เช่น เมื่อเข้าสนามแล้ว จะอยู่ระยะ Inner หรือ Outer หรือสลอทต่อสู้จะเป็นเลือกใช้ไอเทมก่อนหรือสกิลตัวละครก่อนได้ ปรับตามความถนัดได้ทั้งหมด
ส่วนของความลึกในระบบ RPG บอกเลยว่า ถ้าคุณเป็นคนที่เล่นความยากระดับ Normal ก็แทบจะไม่ต้องสนใจค่าอื่นนอกจากค่าพื้นฐานอย่าง ATK, HP, DEF เพราะแค่นี้มันก็เพียงพอจะให้คุณต่อสู้กับศัตรูตั้งแต่ลูกกระจีอกไปยันบอสได้แล้ว แต่หากคุณเล่นในความยากระดับ Hard ขึ้นไป สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญเลยก็คือระบบสร้างและผลิตสิ่งของที่ถือเป็นหัวใจหลักของซีรีส์ Atelier ซึ่งคราวนี้ไม่ใช่แค่ปรุงยา แต่ต้องทำของทุกอย่างให้สมาชิกทุกคน
ในโลกอันกว้างใหญ่นั้น Yumia จะพบเจอทั้งมอนสเตอร์ ทั้งวัตถุดิบต่าง ๆ และเธอจะสามารถนำมันไปสังเคราะห์เป็นไอเทมต่าง ๆ ได้ ตั้งแต่อาวุธ ชุดเกราะ เครื่องประดับเสริมพลัง และน้องยูเมียก็จะกลายเป็นเดอะแบกของทีม เพราะเป็นคนเดียวที่ใช้วิชาแปรธาตุสร้างสิ่งของได้ นั่นคือถ้าเราอยากให้ตัวละครอื่นเก่งขึ้น เราก็ต้องให้น้องยูเมียนี่แหละคราฟท์ของ โดยการคราฟท์ก็จะมีลูกเล่นต่าง ๆ ตั้งแต่การเลือกเกรดวัตถุดิบ การผสมธาตุ การปลดล็อคสูตรคราฟท์ในขั้นที่สูงขึ้น
หรือถ้าใครอยากถอดสมอง ไม่ไหวกับการเจออะไรละลานตา เราสามารถ Auto-Add วัตถุดิบ โดยเลือกได้เลยว่า จะเน้นไปที่ประสิทธิภาพไอเทม ออปชันเสริม หรืออื่น ๆ เพื่อให้ไอเทมที่ยูเมียคราฟท์ออกมา มีค่าสเตตัสที่โดดเด่นไปในทางนั้น แต่ใครเชี่ยวชาญ อยากเน้นสเตตัสดี ๆ เอง ก็เลือกคราฟท์เองได้เพื่อให้มาตรฐานไอเทมสูงขึ้นได้ เพราะงี้แหละ เวลาเล่นไปไกล ๆ เราก็มักจะวิ่งแวะโน่นนี่ เพื่อหาของอัปเกรดตัวละครทั้งทีม และมันจะมีกิมมิคเล็ก ๆ ด้วยคือ เมื่อเราสร้างอาวุธให้ใคร ตัวละครนั้นจะพูดขอบคุณเราด้วย
นอกจากอาวุธและเครื่องป้องกันทั่วไปแล้ว ตัวละครของเรายังสามารถติดตั้งไอเทมประเภทใช้งานได้ ซึ่งมีหลากหลายประเภทและธาตุให้เลือกใช้ และมีลูกเล่นที่เราและเพื่อนร่วมทีมจะใช้พร้อมกันเพื่อเสริมพลังได้ ทำให้การต่อสู้ของเกมนี้ไม่น่าเบื่อ ยิ่งถ้าเกิดว่าคุณเล่นภารกิจของ 5 ตัวละครร่วมทีม เรียนรู้และรู้จักพวกเขาให้มากขึ้นก็จะยิ่งอิน แต่อย่างไรก็ตาม เควสท์ย่อยของเกมนี้มันน่าเบื่อมาก แถมของรางวัลก็ได้ไม่ค่อยจะคุ้มเท่าไร ถ้าเกิดคุณไม่อยากเก่ง อยากปลดล็อคสกิลเร็ว ๆ ก็ไม่จำเป็นต้องทำ เพราะการเล่นไถแต่เนื้อเรื่องมันก็ให้สกิลเรามากพอท่ีจะเล่นจนจบได้ จะเล่นจบแล้วค่อยย้อนมาตามเก็บทีหลังก็ไม่เสียหาย
และระบบที่ผมไม่คิดว่ามันจะทำให้ผมติดพันได้เลยก็คือระบบสร้างบ้าน ใน Atelier ภาคนี้ เราจะได้สร้างบ้านของตัวเอง โดยใช้วัตถุดิบที่เราเก็บมาจากการสำรวจโลก เราสามารถสร้างได้แบบ Free Form คือเราสร้างและออกแบบเองแบบชิ้นต่อชิ้นได้เลย ซึ่งเกมก็มีระบบ Assist ช่วยวางออปเจกต์ให้ หรือใครขี้เกียจ เขาก็มีแปลนบ้านแบบสำเร็จรูปมาให้เลยเหมือนกัน ซึ่งการสร้างบ้านของเกมนี้ จะเพิ่มค่าความสุขสบาย และมีโบนัสสเตตัสเสริมให้ด้วย บอกเลยว่า ระบบนี้คือทีเด็ดของภาคนี้ มันอาจไม่ได้ดี หรือสมบูรณ์แบบมาก ถ้าเทียบกับระบบสร้างบ้านของเกมอื่น ๆ แต่เท่านี้ก็ถือว่าดีพอแล้ว
แต่ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ใครที่เคยเล่นเกมมาเยอะ ๆ จะเห็นได้ว่า มันไม่ใช่ของใหม่เลย ส่วนตัวผมมองว่าระบบ Synthesis หรือสังเคราะห์ไอเทมนั่นแหละ ที่ทำออกมาได้ดี มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองมาก แต่นอกนั้น เหมือนที่บอกไว้ในหัวข้อที่แล้ว มันมีความเป็นเกม Open World เปิดแมป หาของ หาแต้มอัปเกรดสกิลทั่วไป ต่างแค่เราไม่ได้ไอเทมตรง ๆ แต่มานั่งสังเคราะห์เองอีกที แล้วยิ่งขยันฟาร์มคุณก็ยิ่งมีโอกาสได้ของดี เพราะมันส่งผลกับประสิทธิภาพไอเทมที่ผลิตออกมาได้โดยตรงด้วย
เอาเป็นว่าถ้าคุณไม่เบื่อเกมแนวนี้ หรือชอบตัวละครสไตล์อนิเมะญี่ปุ่นจ๋า ๆ หรือเป็นแฟนสาวปรุงยา ภาคนี้มันจะเล่นง่าย เข้าถึงง่ายกว่ามาก แต่มันจะไม่ค่อยมีอะไรที่เป็นการ Innovative มากนักก็เท่านั้น จะชอบหรือไม่ชอบ คุณคือผู้ตัดสิน ส่วนตัวผมก็เพลิน ๆ ดีครับ เล่นไป 40-50 ชั่วโมง ลากยาวมากกว่าจะจบ
Performance – ราบรื่น ไม่กินสเปค แต่อาจปรับแต่งอะไรได้น้อย
สำหรับเกมที่ไม่ได้กินเครื่องหนักหนา หรือใช้สเปคเวอร์วังอลังการอะไรนัก Atelier Yumia ถือเป็นเกมที่มีปัญหาด้าน Performance น้อยที่สุดแล้ว และมันก็ยังคงออกแบบหน้าตั้งค่ามาได้ตามสไตล์เกมญี่ปุ่น คือมีแต่ Text มีแต่ตัวหนังสือ ปรับอะไรออกมาเป็นแบบไหน ไปเรียนรู้หรือลองเล่นกันเอาเอง
การตั้งค่าของเกมนี้ส่วนใหญ่แล้วเป็น Standard มาตรฐานที่แต่ละเกมทำได้ เช่นการปรับ Invert Control หรือการปรับกล้องสั่น ซึ่งเกมนี้ไม่ค่อยมีผลมากขนาดนั้น เอาแบบ Default ก็เพียงพอต่อการเล่นแล้ว ส่วนเกมเพลย์ก็จะมีความสะดวกสบายในเรื่องของระบบ Autosave และการเก็บไอเทมอัตโนมัติ หรือถ้าใครอยากเล่นแบบง่าย ๆ ก็จะมีระบบช่วยเหลืออย่าง Auto-Guard หรือ Easy Precision Counter ด้วย
ในส่วนของเกมการเล่น ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรมากนัก หลายฉากคิดว่าเกมโหลด Texture ไม่ทัน แต่ที่จริงแล้ว งานภาพบางส่วนมันแทบจะเผามาเสิร์ฟเราอยู่แล้ว เฟรมเรทก็ปรับได้สูงสุดถึงตามจอเราได้เลย ทำให้ประสบการณ์การเล่นเกมของผมในรูปแบบ 4K และได้เฟรมเรทเกิน 165 จากจอที่ผมใช้งาน ก็เลยไม่รู้จะติปัญหาเรื่องของ Performance ตรงไหนเลย ยกเว้นเรื่องของการดีไซน์ UX UI ที่มันก็ยังคงเอกลักษณ์ของความเป็นเกมญี่ปุ่นเหมือนเดิม
สรุป: Atelier Yumia อาจไม่ใช่เกมใหม่หรือมาสเตอร์พีซที่ห้ามพลาดอะไรขนาดนั้น แต่ถ้าคุณอยากลองสัมผัสเกมซีรีส์ Atelier ในภาคที่เข้าถึงได้ง่ายที่สุด (ไม่นับราคา) นี่คือภาคที่เหมาะจะเป็นจุดเริ่มต้น แล้วคุณจะหลงรักตัวละคร Yumia ได้ไม่ยาก