GamingDose รีวิว Siege X เวอร์ชันปรับปรุงใหญ่ของ Rainbow Six: Siege ในวาระครบรอบ 10 ปี ครอบคลุมทั้งภาพ เสียง ระบบเกม และโหมดใหม่ Dual Front
หลังจากประกาศเวอร์ชันยกเครื่องครั้งใหญ่มาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2025 ในที่สุด Rainbow Six: Siege X เวอร์ชันปรับปรุงของเกม PVP team-based tactical shooter ของ Ubisoft ที่อยู่มายืนยงถึง 10 ปีก็ได้ฤกษ์เปิดให้เล่นอย่างเป็นทางการ
GamingDose ขอใช้โอกาสสำคัญของเกมหมาในดวงใจ มารีวิวให้สมาชิกทีมเรนโบว์ทั้งหน้าเก่า หน้าใหม่ มาดูกันว่ามีอะไรเปลี่ยน อะไรเพิ่มเข้ามาใน Siege X บ้าง และความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น ส่งผลกับเกมการเล่นมากน้อยแค่ไหนอย่างไร
Visual Improvement – กราฟิกสวยขึ้นอย่างมีความหมาย
แน่นอนว่าสำหรับเกมอายุ 10 ปี ความเปลี่ยนแปลงหนึ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือคือกราฟิกที่ถูกยกระดับขึ้นอีกขั้น
ในซีซั่นล่าสุดของ Siege X กราฟิกที่ถูกปรับปรุงมาใหม่จะถูกนำเสนอผ่านแผนที่ได้รับการแก้ไขมาแล้ว 5 แผนที่ ได้แก่
- Clubhouse
- Cafe Dostoyevski
- Chalet
- Border
- Bank
เริ่มจากวิธีการให้แสง เงาสะท้อน และพื้นผิวของสิ่งก่อสร้าง แสงในอาคารถูกปรับให้มืดลง และนอกอาคารจะสว่างยิ่งขึ้น
ส่วนเงาสะท้อนบนพื้นผิวมันหรือพื้นผิวเปียกก็มีรายละเอียดยิ่งกว่าเก่า ส่งผลกับการตอบสนองด้วยสายตาของผู้เล่นอย่างมีนัยยะสำคัญ
เช่น ทั้งการโจมตีออกนอกอาคารของฝ่ายรับและการโจมตีจากนอกอาคารของฝ่ายบุกในช่วงต้นเกมจะด้อยประสิทธิภาพลงเพราะความต่างของสภาพแสง ทำให้การ Spawn Killing ทำได้ยากยิ่งขึ้น หรือการซุ่มโจมตีตามจุดต่าง ๆ จะต้องใช้ความระมัดระวังกว่าเดิมเพราะพื้นผิวบางอย่างสะท้อนเงาให้เห็นก่อนจะเข้าปะทะ
นอกจากงานภาพที่ดูสมจริงยิ่งขึ้นแล้ว เกมยังปรับปรุงระบบการสแกนศัตรูผ่านกล้อง จากเดิมที่การสแกนจะระบุตำแหน่งปัจจุบันของศัตรูเป็น pin สีแดงอย่างเดียว อัปเดตนี้ยังเพิ่ม outline หรือเส้นขอบของตัวละครที่จะแสดงผลชัดยิ่งขึ้นเมื่อถูกสแกน ทำให้กล้องยิ่งมีความสำคัญต่อการเตรียมเข้าปะทะมากขึ้น
Audio Overhaul – ระบบเสียงที่กลายเป็นอีกหนึ่งอาวุธสำคัญ
สิ่งหนึ่งที่มักถูกบ่นอยู่เสมอ เพราะมีผลกระทบกับการเล่นอย่างมากใน Siege เวอร์ชันเก่าก็คือ การแสดงผลของเสียง ไม่ว่าจะเป็นทิศทาง ความต่างของเสียงบนพื้นผิว น้ำหนัก และเสียงของ gadget ต่าง ๆ ที่ไม่ละเอียดเท่าที่ควร
ใน Siege X เสียงเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ได้รับพัฒนาขึ้นอย่างมาก จุดที่เห็นได้ชัดคือการกระจายเสียง (Audio Propagation) ผ่านพื้นและผนังรูปแบบต่าง ๆ เช่น เสียงที่ดังผ่านผนังหรือพื้นแข็งจะฟังดูทึบกว่าเสียงที่ดังผ่านผนังเบา (soft wall) ทำให้พอตัดสินใจได้ว่าจะตอบโต้กับข้อมูลเสียงที่ได้มาอย่างไร
เมื่อการแสดงเสียงละเอียดขึ้น ความโกลาหลก็ยิ่งเพิ่มขึ้นตามไปด้วยในกรณีที่ฝ่ายบุกพร้อมใจกันใช้ gadget ส่งเสียงดัง ทำให้องค์ประกอบที่มองไม่เห็นนี้ส่งผลอย่างมากกับทั้งทีมบุกในช่วงเซตเกมและทีมรับในจังหวะโต้กลับ และเบื้องต้นพบว่า เกมยังคงมีปัญหาการแสดงผลเมื่อมีเสียงจากหลายแหล่งเกิดขึ้นพร้อมกันจน sound queue ของเกมเกิดอาการรวน ถือเป็นจุดที่เกมยังต้องปรับปรุงเพิ่มเติมต่อ ๆ ไปนอกจากนี้เกมยังเพิ่มระบบสื่อสารใหม่ (ที่หลายเกมมีมานานแล้ว) อย่าง Communication Wheel ทำให้รูปแบบการสื่อสารกว้างขวางยิ่งขึ้น
Momentum Movement – การเคลื่อนไหวที่เปลี่ยนเกมให้ลื่นไหลและสมจริง
ถ้าคุณเป็นคนที่เบื่อจังหวะปาฏิหาริย์ที่จู่ ๆ ทีมรับก็กระโดดออกมายิงทีมบุกขณะโรยตัวอยู่ข้างตึก หรือเซ็งเต็มทีกับการโหนขึ้นลงเพื่อเปลี่ยนมุมโรยตัวนอกอาคาร สิ่งเหล่านี้ได้ถูกแก้ไขหมดสิ้นแล้วใน Siege X ด้วยการปรับปรุงการเคลื่อนที่ใหม่ ในเวอร์ชั่นใหม่นี้การเคลื่อนที่ส่วนใหญ่จะลื่นไหลยิ่งกว่าเดิม ผู้เล่นจะไม่ต้องปีนขึ้นลงเพื่อเปลี่ยนฝั่งกำแพงอาคารระหว่างโรยตัว แต่สามารถวิ่งข้ามมุมตึกได้เลยทันที ลดจังหวะดีเลย์เมื่อวิ่งข้ามสิ่งกีดขวาง และปัญหากระโดดหน้าต่างออกมายิงก็ถูกแก้ไขโดยบังคับให้หลุดจากการประทับศูนย์เล็ง (aim down sight) ระหว่างกระโดดลงจากที่สูง ทำให้โฟลว์การเล่นโดยรวมสมจริงและลื่นไหลกว่าเดิม การสลับตำแหน่ง (rotation) ก็ใช้เวลาน้อยลงด้วย
Destruction Instrument – วัตถุในฉากที่มีผลต่อเกมจริงจังขึ้น
อีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญในเกมคือ ในแผนที่ที่ได้รัการปรับปรุงมาใหม่จะมีวัตถุตามฉากที่ตอบสนองกับการเล่นของโอเปอเรเตอร์ทั้งสองฝั่ง คือถังดับเพลิงกับท่อแก๊ส การยิงถังดับเพลิงตามฉากจะให้ผลเหมือนกับการใช้ระเบิดควัน ส่วนท่อแก๊สนั้นจะมีไฟพุ่งออกมาเมื่อได้รับความเสียหาย ก่อนจะระเบิดเป็นไฟกระจายตามพื้นเมื่อถึงเวลาที่กำหนด วัตถุทั้ง 2 อย่างนี้ถือว่ามีความสำคัญในฐานะเครื่องมือชะลอการเคลื่อนไหวของทั้ง 2 ฝ่ายหากใช้ได้ถูกเวลา
ส่วนวัตถุอีกอย่างที่ได้รับการแก้ไขจากเวอร์ชันเก่าก็คือเครื่องตรวจจับโลหะ (metal detector) ที่เราจะพบเห็นได้ในแผนที่ Bank และ Border จากเดิมที่ไม่สามารถทำใหมันหยุดร้องเวลาที่มีโอเปอเรเตอร์เดินผ่านได้ ในตอนนี้เราสามารถหยุดการทำงานของมันด้วย EMP และระเบิดมือได้แล้ว ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ที่มีผลกับเกมมากจนชวนให้สงสัยว่าทำไมเขาเพิ่งจะแก้กันนะ
โล่ไฟฟ้า CCE ของ Clash ถูกปรับมาให้วางตั้งกับพื้นและตัวผู้เล่นสามารถสั่งให้โล่ปล่อยกระแสไฟฟ้าผ่านรีโมตได้ ทำให้กลยุทธ์การใช้โอเปอเรเตอร์ตัวนี้ยืดหยุ่นยิ่งขึ้น
Operator Rework – Operator ที่ได้รับการปรับให้ใช้ได้จริงในเมต้าใหม่
โอเปอเรเตอร์หลายคนได้รับการปรับปรุงสมดุลและเพิ่มจำนวน gadget ที่ใช้ได้
แต่โอเปอเรเตอร์ที่ได้รับการยกเครื่องใหม่ในแพทช์ใหญ่นี้คือ Clash ตัวละครฝ่ายตั้งรับที่มี gadget ประจำตัวเป็นโล่ไฟฟ้าแบบปิดเต็มตัว ในการรีเวิร์กครั้งนี้ โล่ไฟฟ้า CCE ถูกปรับมาให้วางตั้งกับพื้นและตัวผู้เล่นสามารถสั่งให้โล่ปล่อยกระแสไฟฟ้าผ่านรีโมตได้ ทำให้กลยุทธ์การใช้โอเปอเรเตอร์ตัวนี้ยืดหยุ่นยิ่งขึ้น จะใช้โล่เป็นสิ่งกีดขวางในทางเดินแคบ หรือใช้เป็นที่กำบังเพื่อยิ่งโต้ตอบกับทีมบุกก็ได้ บีบให้ผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามต้องพกระเบิดมือ หรือไม่ก็ต้องยอมสละกระสุนระเบิดของ Ash หรือ Sofia ที่ควรจะใช้กับผนังเบา มาทำลายโล่เจ้าปัญหาแทน
ถือเป็นการปิดจุดอ่อนร้ายแรงของ Clash ที่ไม่สามารถต่อสู้ในระยะกลาง-ไกล หรือล้มศัตรูที่เข้ามาใกล้ได้ ทำให้ประโยชน์การใช้งานหลากหลายมากขึ้น
Per Round Pick/Ban – ระบบ Pick/Ban ต่อรอบ
บอกลาโหมด Tactical Standard ของเดิม แล้วมาต้อนรับการกลับมาของ Unranked Mode ซึ่งถูกเอากลับมาให้เล่นใหม่กันเถอะ ก่อนเริ่มเกมทุกรอบในโหมดนี้จะมี Ban Phase 15 วินาที ให้ผู้เล่นแต่ละฝ่ายโหวตกันว่าจะแบนโอเปเรเตอร์ตัวไหนออกจากเกม ผลการแบนจะสะสมไปทุกรอบจนกว่าจะเปลี่ยนฝั่ง และกลับมามีผลอีกครั้งในรอบ Overtime ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งเสริมให้ผู้เล่นสาย Casual ได้ฝึกฝนกลยุทธ์การเล่นและปรับใช้โอเปอเรเตอร์ได้หลากหลายยิ่งขึ้น และแน่นอนว่าระบบแบนนี้ก็ถูกนำไปใช้ใน Ranked Match ด้วยเช่นกัน ซึ่งนั่นแปลว่า ในแง่ของเกมเพลย์แล้วโหมด Ranked และ Unranked จะต่างกันแค่ช่วง Map Ban เท่านั้น
ส่วนระบบ Pick/Ban ใน Pro League จะซับซ้อนกว่าเดิมหน่อยตรงที่ทั้ง 2 ฝ่ายจะได้แบนโอเปอเรเตอร์ 2 ตัวในรอบแรก และแบนเพิ่มฝ่ายละตัวในรอบที่ 4 โดยไม่มีการรีเซ็ตแบน
ส่วนผู้เล่นใหม่และสายฟรีที่สนใจเกมนี้ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกโยนลงไปกลางดงเสือสิงห์ทันที เพราะเกมยังอนุญาตให้หน้าใหม่ได้เข้าไปลองทุกฟีเจอร์ รวมถึง Enlisted (ปะทะทีม AI ปรับปรุงใหม่ – เล่นได้ถึงเลเวล 18) Field Training (ปะทะทีม AI แบบปรับแต่งได้ทุกอย่าง – เล่นได้หลังเลเวล 18) Deathmatch (ยิงกันให้ยับและมีการ respawn) และทุกโหมดในเกมยกเว้น Ranked Match และ Pro League
Dual Front – โหมดใหม่ 6v6 ที่พลิกโครงสร้าง Siege อย่างแท้จริง
โหมดใหม่เอี่ยมที่เปิดตัวมาพร้อมการประกาศ Siege X ในงาน Siege Showcase เมื่อเดือนมีนาคม Dual Front คือโหมดที่เปลี่ยน Core Gameplay ไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง ในโหมดนี้ผู้เล่นจะต้องแบ่งฝ่ายทีมละ 6 คนแข่งกันเข้ายึดฐานของศัตรูให้ได้ 3 จุดก่อนฝ่ายตรงข้าม และมีภารกิจเสริมเป็นการช่วยตัวประกันเพื่อทำคะแนนช่วงชิงความได้เปรียบ หรืออธิบายแบบหยาบ ๆ ก็คือ โหมด Moba ของ Siege X นั่นเอง
เบื้องต้นโอเปอเรเตอร์ที่เปิดให้ใช้ในโหมดนี้จะมีทั้งหมด 35 ตัว (จากทั้งหมด 75 ตัว รวม Recruit) และไม่มีการแบ่งฝ่ายบุก-ตั้งรับ ผู้เล่นต้องแบ่งและจัดสรรกันเองว่าใน 6 คนนี้ใครจะบุกไซต์ฝ่ายตรงข้าม ใครจะป้องกันไซต์ฝ่ายตัวเอง ผู้เล่นสามารถปรับกลยุทธ์และเปลี่ยนโอเปอเรเตอร์ตามสถานการณ์ได้ก่อนทำการ respawn
และเช่นเดียวกับช่วงเริ่มต้นโหมดใหม่ของทุกเกม Dual Front ยังถือว่าอยู่ในช่วงทดลองและมีความสับสนอลหม่านอยู่มาก ไม่ว่าจะกับผู้เล่นระดับโปรหรือผู้เล่นทั่วไป เพราะนอกจากสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาแล้ว ในเกมยังเต็มไปด้วยภาพที่ค้านกับธรรมชาติเกมดั้งเดิม เช่น เราสามารถพบเห็น Doc โรยตัวลงมาโจมตีผ่านหน้าต่าง หรือสไนเปอร์ทีมบุกอย่าง Kali ดึงกำแพงเหล็กปิดผนังเบาเพื่อป้องกันไซต์ การติดตามสถานการณ์ก็เป็นไปได้อย่างทุลักทุกเล เมื่อทั้งทีมต้องทำ 2 Objective ไปพร้อม ๆ กัน แต่โดยรวมก็ถือเป็นรสชาติที่แปลกใหม่ และเป็นสัญญาณที่ดีว่าทีมงานยังคงมีความสร้างสรรค์ ไม่หยุดนิ่งง่าย ๆ แน่นอน
Final Thought – Siege X การรื้อสร้างใหม่ที่ยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่เป็นสัญญาณว่าทีมงานยังเดินหน้าประคับประคองเกมนี้ต่อไป
โดยรวมแล้วการพลิกโฉมใหญ่ครั้งนี้ของ Rainbow Six: Siege X ถือว่าเป็นอัปเดตที่ส่งผลกระทบกับทั้งเกมเพลย์และผู้เล่นในหลาย ๆ ด้านอย่างน่าสนใจ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่ยังไม่ใช่การปรับปรุงตัวเกมให้ใกล้เคียงกับความสมบูรณ์แบบ
ทีมงานยังมีอีกหลายโจทย์ให้แก้ไขกันหลังจากที่เวอร์ชันใหม่เปิดให้เล่นอย่างเป็นทางการ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเดิม ๆ เช่น ผู้เล่นบางคนไม่สามารถ reconnect กลับเข้าเกมได้โดยไม่ทราบสาเหตุ, ปัญหา grifter ปั๊มเลเวล, การเล่นทริค quick peek ที่ลดทอนความสร้างสรรค์ในจังหวะ gun fight อย่างยาวนาน, แม้กระทั่งการรับมือกับคนโกงเกมด้วย Shieldguard ระบบต้านโกงฉบับปรับปรุงที่ยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร (ในช่วงสัปดาห์แรกแรกผมเจอ waller มองทะลุกำแพง กับ auto-aim อย่างโจ่งแจ้งหลายครั้ง) รวมไปถึงปัญหาใหม่ ๆ อย่าง sound queue ที่พังทุกครั้งในช่วงชุลมุน, ความไม่ลงตัวหลายด้านในโหมด Dual Front ทั้งในแง่ไอเดียและความพิถีพิถันในการออกแบบ หรือแม้กระทั่งสมดุลที่แกว่งไปเมื่อทีมงานปรับลดความเสียหายจากการยิงขา ทำให้ทีมบุกเน้นเลือกโอเปอเรเตอร์ถือโล่อัดเข้ามาในไซต์แทนที่จะใช้กลยุทธ์ให้หลากหลายอย่างที่ทีมงานตั้งใจ
🟢 ข้อดี | 🔴 ข้อเสีย |
กราฟิกปรับปรุงชัดเจน ส่งผลกับการเล่นจริง | ปัญหาเสียงรวนในสถานการณ์ชุลมุนยังไม่ถูกแก้ |
เสียงสมจริงมากขึ้น ตอบสนองต่อสภาพแวดล้อม | ระบบกันโกง Shieldguard ยังไม่เสถียร |
ระบบเคลื่อนไหวลื่นขึ้น ลดจังหวะติดขัด | การ balance บางจุดยังไม่นิ่ง (เช่น ความเสียหายจากการยิงขา) |
วัตถุในฉากมีผลกับกลยุทธ์มากกว่าเดิม | Dual Front ยังต้องการการขัดเกลามากกว่านี้ |
โหมดใหม่ Dual Front เพิ่มความสดใหม่ | บั๊กเดิม เช่น reconnect หรือ grifter ยังไม่หายไปไหน |
Operator รีเวิร์ก เช่น Clash กลับมาใช้งานได้จริง | |
ระบบ Pick/Ban ทำให้กลยุทธ์ในโหมด Unranked น่าสนใจขึ้น |
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สำหรับคนที่มีเกมนี้อยู่ในบัญชีเกมหมาในดวงใจอย่างผมก็ยังอยากแนะนำให้คนที่ยังไม่เคยเล่นได้เข้ามาทดลองกันและตัดสินด้วยตัวเองว่า Siege X จะมอบประสบการณ์ที่น่าสนใจแแบบไหนให้กับคุณได้บ้าง และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เกม PVP Tactical Shooter ที่หาคู่เทียบได้ยากนี้จะยังคงเดินหน้า ปรับปรุงแก้ไข ให้เกมออกมาสมบูรณ์ยิ่งขึ้น สมกับความไว้วางใจที่แฟน ๆ ได้มอบให้มาตลอด 10 ปี