BY Somoat
20 Jun 25 3:45 pm

รีวิว Tom Clancy’s Rainbow Six Siege X – แพทช์ใหญ่ฉลอง 10 ปี หน่วยพิฆาตระเบิดหน้าต่าง

446 Views

GamingDose รีวิว Siege X เวอร์ชันปรับปรุงใหญ่ของ Rainbow Six: Siege ในวาระครบรอบ 10 ปี ครอบคลุมทั้งภาพ เสียง ระบบเกม และโหมดใหม่ Dual Front

หลังจากประกาศเวอร์ชันยกเครื่องครั้งใหญ่มาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2025 ในที่สุด Rainbow Six: Siege X เวอร์ชันปรับปรุงของเกม PVP team-based tactical shooter ของ Ubisoft ที่อยู่มายืนยงถึง 10 ปีก็ได้ฤกษ์เปิดให้เล่นอย่างเป็นทางการ

GamingDose ขอใช้โอกาสสำคัญของเกมหมาในดวงใจ มารีวิวให้สมาชิกทีมเรนโบว์ทั้งหน้าเก่า หน้าใหม่ มาดูกันว่ามีอะไรเปลี่ยน อะไรเพิ่มเข้ามาใน Siege X บ้าง และความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น ส่งผลกับเกมการเล่นมากน้อยแค่ไหนอย่างไร

Visual Improvement – กราฟิกสวยขึ้นอย่างมีความหมาย

แน่นอนว่าสำหรับเกมอายุ 10 ปี ความเปลี่ยนแปลงหนึ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือคือกราฟิกที่ถูกยกระดับขึ้นอีกขั้น

ในซีซั่นล่าสุดของ Siege X กราฟิกที่ถูกปรับปรุงมาใหม่จะถูกนำเสนอผ่านแผนที่ได้รับการแก้ไขมาแล้ว 5 แผนที่ ได้แก่

  1. Clubhouse
  2. Cafe Dostoyevski
  3. Chalet
  4. Border
  5. Bank

เริ่มจากวิธีการให้แสง เงาสะท้อน และพื้นผิวของสิ่งก่อสร้าง แสงในอาคารถูกปรับให้มืดลง และนอกอาคารจะสว่างยิ่งขึ้น

ส่วนเงาสะท้อนบนพื้นผิวมันหรือพื้นผิวเปียกก็มีรายละเอียดยิ่งกว่าเก่า ส่งผลกับการตอบสนองด้วยสายตาของผู้เล่นอย่างมีนัยยะสำคัญ

เช่น ทั้งการโจมตีออกนอกอาคารของฝ่ายรับและการโจมตีจากนอกอาคารของฝ่ายบุกในช่วงต้นเกมจะด้อยประสิทธิภาพลงเพราะความต่างของสภาพแสง ทำให้การ Spawn Killing ทำได้ยากยิ่งขึ้น หรือการซุ่มโจมตีตามจุดต่าง ๆ จะต้องใช้ความระมัดระวังกว่าเดิมเพราะพื้นผิวบางอย่างสะท้อนเงาให้เห็นก่อนจะเข้าปะทะ

นอกจากงานภาพที่ดูสมจริงยิ่งขึ้นแล้ว เกมยังปรับปรุงระบบการสแกนศัตรูผ่านกล้อง จากเดิมที่การสแกนจะระบุตำแหน่งปัจจุบันของศัตรูเป็น pin สีแดงอย่างเดียว อัปเดตนี้ยังเพิ่ม outline หรือเส้นขอบของตัวละครที่จะแสดงผลชัดยิ่งขึ้นเมื่อถูกสแกน ทำให้กล้องยิ่งมีความสำคัญต่อการเตรียมเข้าปะทะมากขึ้น

Audio Overhaul – ระบบเสียงที่กลายเป็นอีกหนึ่งอาวุธสำคัญ

สิ่งหนึ่งที่มักถูกบ่นอยู่เสมอ เพราะมีผลกระทบกับการเล่นอย่างมากใน Siege เวอร์ชันเก่าก็คือ การแสดงผลของเสียง ไม่ว่าจะเป็นทิศทาง ความต่างของเสียงบนพื้นผิว น้ำหนัก และเสียงของ gadget ต่าง ๆ ที่ไม่ละเอียดเท่าที่ควร

ใน Siege X เสียงเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ได้รับพัฒนาขึ้นอย่างมาก จุดที่เห็นได้ชัดคือการกระจายเสียง (Audio Propagation) ผ่านพื้นและผนังรูปแบบต่าง ๆ เช่น เสียงที่ดังผ่านผนังหรือพื้นแข็งจะฟังดูทึบกว่าเสียงที่ดังผ่านผนังเบา (soft wall) ทำให้พอตัดสินใจได้ว่าจะตอบโต้กับข้อมูลเสียงที่ได้มาอย่างไร

เมื่อการแสดงเสียงละเอียดขึ้น ความโกลาหลก็ยิ่งเพิ่มขึ้นตามไปด้วยในกรณีที่ฝ่ายบุกพร้อมใจกันใช้ gadget ส่งเสียงดัง ทำให้องค์ประกอบที่มองไม่เห็นนี้ส่งผลอย่างมากกับทั้งทีมบุกในช่วงเซตเกมและทีมรับในจังหวะโต้กลับ และเบื้องต้นพบว่า เกมยังคงมีปัญหาการแสดงผลเมื่อมีเสียงจากหลายแหล่งเกิดขึ้นพร้อมกันจน sound queue ของเกมเกิดอาการรวน ถือเป็นจุดที่เกมยังต้องปรับปรุงเพิ่มเติมต่อ ๆ ไปนอกจากนี้เกมยังเพิ่มระบบสื่อสารใหม่ (ที่หลายเกมมีมานานแล้ว) อย่าง Communication Wheel ทำให้รูปแบบการสื่อสารกว้างขวางยิ่งขึ้น

Momentum Movement – การเคลื่อนไหวที่เปลี่ยนเกมให้ลื่นไหลและสมจริง

ถ้าคุณเป็นคนที่เบื่อจังหวะปาฏิหาริย์ที่จู่ ๆ ทีมรับก็กระโดดออกมายิงทีมบุกขณะโรยตัวอยู่ข้างตึก หรือเซ็งเต็มทีกับการโหนขึ้นลงเพื่อเปลี่ยนมุมโรยตัวนอกอาคาร สิ่งเหล่านี้ได้ถูกแก้ไขหมดสิ้นแล้วใน Siege X ด้วยการปรับปรุงการเคลื่อนที่ใหม่ ในเวอร์ชั่นใหม่นี้การเคลื่อนที่ส่วนใหญ่จะลื่นไหลยิ่งกว่าเดิม ผู้เล่นจะไม่ต้องปีนขึ้นลงเพื่อเปลี่ยนฝั่งกำแพงอาคารระหว่างโรยตัว แต่สามารถวิ่งข้ามมุมตึกได้เลยทันที ลดจังหวะดีเลย์เมื่อวิ่งข้ามสิ่งกีดขวาง และปัญหากระโดดหน้าต่างออกมายิงก็ถูกแก้ไขโดยบังคับให้หลุดจากการประทับศูนย์เล็ง (aim down sight) ระหว่างกระโดดลงจากที่สูง ทำให้โฟลว์การเล่นโดยรวมสมจริงและลื่นไหลกว่าเดิม การสลับตำแหน่ง (rotation) ก็ใช้เวลาน้อยลงด้วย

Destruction Instrument – วัตถุในฉากที่มีผลต่อเกมจริงจังขึ้น

อีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญในเกมคือ ในแผนที่ที่ได้รัการปรับปรุงมาใหม่จะมีวัตถุตามฉากที่ตอบสนองกับการเล่นของโอเปอเรเตอร์ทั้งสองฝั่ง คือถังดับเพลิงกับท่อแก๊ส การยิงถังดับเพลิงตามฉากจะให้ผลเหมือนกับการใช้ระเบิดควัน ส่วนท่อแก๊สนั้นจะมีไฟพุ่งออกมาเมื่อได้รับความเสียหาย ก่อนจะระเบิดเป็นไฟกระจายตามพื้นเมื่อถึงเวลาที่กำหนด วัตถุทั้ง 2 อย่างนี้ถือว่ามีความสำคัญในฐานะเครื่องมือชะลอการเคลื่อนไหวของทั้ง 2 ฝ่ายหากใช้ได้ถูกเวลา

ส่วนวัตถุอีกอย่างที่ได้รับการแก้ไขจากเวอร์ชันเก่าก็คือเครื่องตรวจจับโลหะ (metal detector) ที่เราจะพบเห็นได้ในแผนที่ Bank และ Border จากเดิมที่ไม่สามารถทำใหมันหยุดร้องเวลาที่มีโอเปอเรเตอร์เดินผ่านได้ ในตอนนี้เราสามารถหยุดการทำงานของมันด้วย EMP และระเบิดมือได้แล้ว ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ที่มีผลกับเกมมากจนชวนให้สงสัยว่าทำไมเขาเพิ่งจะแก้กันนะ

โล่ไฟฟ้า CCE ของ Clash ถูกปรับมาให้วางตั้งกับพื้นและตัวผู้เล่นสามารถสั่งให้โล่ปล่อยกระแสไฟฟ้าผ่านรีโมตได้ ทำให้กลยุทธ์การใช้โอเปอเรเตอร์ตัวนี้ยืดหยุ่นยิ่งขึ้น

Operator Rework – Operator ที่ได้รับการปรับให้ใช้ได้จริงในเมต้าใหม่

โอเปอเรเตอร์หลายคนได้รับการปรับปรุงสมดุลและเพิ่มจำนวน gadget ที่ใช้ได้

แต่โอเปอเรเตอร์ที่ได้รับการยกเครื่องใหม่ในแพทช์ใหญ่นี้คือ Clash ตัวละครฝ่ายตั้งรับที่มี gadget ประจำตัวเป็นโล่ไฟฟ้าแบบปิดเต็มตัว ในการรีเวิร์กครั้งนี้ โล่ไฟฟ้า CCE ถูกปรับมาให้วางตั้งกับพื้นและตัวผู้เล่นสามารถสั่งให้โล่ปล่อยกระแสไฟฟ้าผ่านรีโมตได้ ทำให้กลยุทธ์การใช้โอเปอเรเตอร์ตัวนี้ยืดหยุ่นยิ่งขึ้น จะใช้โล่เป็นสิ่งกีดขวางในทางเดินแคบ หรือใช้เป็นที่กำบังเพื่อยิ่งโต้ตอบกับทีมบุกก็ได้ บีบให้ผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามต้องพกระเบิดมือ หรือไม่ก็ต้องยอมสละกระสุนระเบิดของ Ash หรือ Sofia ที่ควรจะใช้กับผนังเบา มาทำลายโล่เจ้าปัญหาแทน

ถือเป็นการปิดจุดอ่อนร้ายแรงของ Clash ที่ไม่สามารถต่อสู้ในระยะกลาง-ไกล หรือล้มศัตรูที่เข้ามาใกล้ได้ ทำให้ประโยชน์การใช้งานหลากหลายมากขึ้น

Per Round Pick/Ban – ระบบ Pick/Ban ต่อรอบ

บอกลาโหมด Tactical Standard ของเดิม แล้วมาต้อนรับการกลับมาของ Unranked Mode ซึ่งถูกเอากลับมาให้เล่นใหม่กันเถอะ ก่อนเริ่มเกมทุกรอบในโหมดนี้จะมี Ban Phase 15 วินาที ให้ผู้เล่นแต่ละฝ่ายโหวตกันว่าจะแบนโอเปเรเตอร์ตัวไหนออกจากเกม ผลการแบนจะสะสมไปทุกรอบจนกว่าจะเปลี่ยนฝั่ง และกลับมามีผลอีกครั้งในรอบ Overtime ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งเสริมให้ผู้เล่นสาย Casual ได้ฝึกฝนกลยุทธ์การเล่นและปรับใช้โอเปอเรเตอร์ได้หลากหลายยิ่งขึ้น และแน่นอนว่าระบบแบนนี้ก็ถูกนำไปใช้ใน Ranked Match ด้วยเช่นกัน ซึ่งนั่นแปลว่า ในแง่ของเกมเพลย์แล้วโหมด Ranked และ Unranked จะต่างกันแค่ช่วง Map Ban เท่านั้น

ส่วนระบบ Pick/Ban ใน Pro League จะซับซ้อนกว่าเดิมหน่อยตรงที่ทั้ง 2 ฝ่ายจะได้แบนโอเปอเรเตอร์ 2 ตัวในรอบแรก และแบนเพิ่มฝ่ายละตัวในรอบที่ 4 โดยไม่มีการรีเซ็ตแบน

ส่วนผู้เล่นใหม่และสายฟรีที่สนใจเกมนี้ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกโยนลงไปกลางดงเสือสิงห์ทันที เพราะเกมยังอนุญาตให้หน้าใหม่ได้เข้าไปลองทุกฟีเจอร์ รวมถึง Enlisted (ปะทะทีม AI ปรับปรุงใหม่ – เล่นได้ถึงเลเวล 18) Field Training (ปะทะทีม AI แบบปรับแต่งได้ทุกอย่าง – เล่นได้หลังเลเวล 18) Deathmatch (ยิงกันให้ยับและมีการ respawn) และทุกโหมดในเกมยกเว้น Ranked Match และ Pro League

Dual Front – โหมดใหม่ 6v6 ที่พลิกโครงสร้าง Siege อย่างแท้จริง

โหมดใหม่เอี่ยมที่เปิดตัวมาพร้อมการประกาศ Siege X ในงาน Siege Showcase เมื่อเดือนมีนาคม Dual Front คือโหมดที่เปลี่ยน Core Gameplay ไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง ในโหมดนี้ผู้เล่นจะต้องแบ่งฝ่ายทีมละ 6 คนแข่งกันเข้ายึดฐานของศัตรูให้ได้ 3 จุดก่อนฝ่ายตรงข้าม และมีภารกิจเสริมเป็นการช่วยตัวประกันเพื่อทำคะแนนช่วงชิงความได้เปรียบ หรืออธิบายแบบหยาบ ๆ ก็คือ โหมด Moba ของ Siege X นั่นเอง

เบื้องต้นโอเปอเรเตอร์ที่เปิดให้ใช้ในโหมดนี้จะมีทั้งหมด 35 ตัว (จากทั้งหมด 75 ตัว รวม Recruit) และไม่มีการแบ่งฝ่ายบุก-ตั้งรับ ผู้เล่นต้องแบ่งและจัดสรรกันเองว่าใน 6 คนนี้ใครจะบุกไซต์ฝ่ายตรงข้าม ใครจะป้องกันไซต์ฝ่ายตัวเอง ผู้เล่นสามารถปรับกลยุทธ์และเปลี่ยนโอเปอเรเตอร์ตามสถานการณ์ได้ก่อนทำการ respawn

และเช่นเดียวกับช่วงเริ่มต้นโหมดใหม่ของทุกเกม Dual Front ยังถือว่าอยู่ในช่วงทดลองและมีความสับสนอลหม่านอยู่มาก ไม่ว่าจะกับผู้เล่นระดับโปรหรือผู้เล่นทั่วไป เพราะนอกจากสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาแล้ว ในเกมยังเต็มไปด้วยภาพที่ค้านกับธรรมชาติเกมดั้งเดิม เช่น เราสามารถพบเห็น Doc โรยตัวลงมาโจมตีผ่านหน้าต่าง หรือสไนเปอร์ทีมบุกอย่าง Kali ดึงกำแพงเหล็กปิดผนังเบาเพื่อป้องกันไซต์ การติดตามสถานการณ์ก็เป็นไปได้อย่างทุลักทุกเล เมื่อทั้งทีมต้องทำ 2 Objective ไปพร้อม ๆ กัน แต่โดยรวมก็ถือเป็นรสชาติที่แปลกใหม่ และเป็นสัญญาณที่ดีว่าทีมงานยังคงมีความสร้างสรรค์ ไม่หยุดนิ่งง่าย ๆ แน่นอน

Final Thought – Siege X การรื้อสร้างใหม่ที่ยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่เป็นสัญญาณว่าทีมงานยังเดินหน้าประคับประคองเกมนี้ต่อไป

โดยรวมแล้วการพลิกโฉมใหญ่ครั้งนี้ของ Rainbow Six: Siege X ถือว่าเป็นอัปเดตที่ส่งผลกระทบกับทั้งเกมเพลย์และผู้เล่นในหลาย ๆ ด้านอย่างน่าสนใจ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่ยังไม่ใช่การปรับปรุงตัวเกมให้ใกล้เคียงกับความสมบูรณ์แบบ

ทีมงานยังมีอีกหลายโจทย์ให้แก้ไขกันหลังจากที่เวอร์ชันใหม่เปิดให้เล่นอย่างเป็นทางการ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเดิม ๆ เช่น ผู้เล่นบางคนไม่สามารถ reconnect กลับเข้าเกมได้โดยไม่ทราบสาเหตุ, ปัญหา grifter ปั๊มเลเวล, การเล่นทริค quick peek ที่ลดทอนความสร้างสรรค์ในจังหวะ gun fight อย่างยาวนาน, แม้กระทั่งการรับมือกับคนโกงเกมด้วย Shieldguard ระบบต้านโกงฉบับปรับปรุงที่ยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร (ในช่วงสัปดาห์แรกแรกผมเจอ waller มองทะลุกำแพง กับ auto-aim อย่างโจ่งแจ้งหลายครั้ง) รวมไปถึงปัญหาใหม่ ๆ อย่าง sound queue ที่พังทุกครั้งในช่วงชุลมุน, ความไม่ลงตัวหลายด้านในโหมด Dual Front ทั้งในแง่ไอเดียและความพิถีพิถันในการออกแบบ หรือแม้กระทั่งสมดุลที่แกว่งไปเมื่อทีมงานปรับลดความเสียหายจากการยิงขา ทำให้ทีมบุกเน้นเลือกโอเปอเรเตอร์ถือโล่อัดเข้ามาในไซต์แทนที่จะใช้กลยุทธ์ให้หลากหลายอย่างที่ทีมงานตั้งใจ

🟢 ข้อดี 🔴 ข้อเสีย
กราฟิกปรับปรุงชัดเจน ส่งผลกับการเล่นจริง ปัญหาเสียงรวนในสถานการณ์ชุลมุนยังไม่ถูกแก้
เสียงสมจริงมากขึ้น ตอบสนองต่อสภาพแวดล้อม ระบบกันโกง Shieldguard ยังไม่เสถียร
ระบบเคลื่อนไหวลื่นขึ้น ลดจังหวะติดขัด การ balance บางจุดยังไม่นิ่ง (เช่น ความเสียหายจากการยิงขา)
วัตถุในฉากมีผลกับกลยุทธ์มากกว่าเดิม Dual Front ยังต้องการการขัดเกลามากกว่านี้
โหมดใหม่ Dual Front เพิ่มความสดใหม่ บั๊กเดิม เช่น reconnect หรือ grifter ยังไม่หายไปไหน
Operator รีเวิร์ก เช่น Clash กลับมาใช้งานได้จริง
ระบบ Pick/Ban ทำให้กลยุทธ์ในโหมด Unranked น่าสนใจขึ้น

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สำหรับคนที่มีเกมนี้อยู่ในบัญชีเกมหมาในดวงใจอย่างผมก็ยังอยากแนะนำให้คนที่ยังไม่เคยเล่นได้เข้ามาทดลองกันและตัดสินด้วยตัวเองว่า Siege X จะมอบประสบการณ์ที่น่าสนใจแแบบไหนให้กับคุณได้บ้าง และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เกม PVP Tactical Shooter ที่หาคู่เทียบได้ยากนี้จะยังคงเดินหน้า ปรับปรุงแก้ไข ให้เกมออกมาสมบูรณ์ยิ่งขึ้น สมกับความไว้วางใจที่แฟน ๆ ได้มอบให้มาตลอด 10 ปี

Sittichai Pleantongdee

สิทธิชัย เปลี่ยนทองดี (สมโอ็ต) - Freelance writer เล่นเกมแบบไม่จริงจังมากว่า 30 ปี ชอบใช้จอยเล่นเกมยิง เอ็นจอยการซื้อเกมอินดี้ลดราคา และเป็นนักตกกุ้งมือสมัครเล่น

Related posts

Read More
Back to top