BY Aisoon Srikum
9 Sep 21 6:17 pm

รีวิว: Bloodhunt สงคราม Battle Royale ของเหล่าแวมไพร์ที่ไอเดียดี แต่ขาดการขัดเกลาระบบหลายอย่าง

31 Views

วงการเกม Battle Royale แม้จะมีการเปิดตัวเกมแนวนี้น้อยลงไปมาก แต่ก็ไม่ถึงกับขาดแคลนไปซะทีเดียว Bloodhunt คืออีกหนึ่งเกมใหม่ที่ขอมาตีตลาดเกมแนวนี้ด้วย ด้วยการหยิบเอาจักรวาลที่น่าสนใจของ Vampire: The Masquerades มาเล่าเรื่องขยายความให้เป็นมหาสงคราม Battle Royale ของสามกลุ่มอิทธิพลใหญ่ แต่เกม Battle Royale ในโลกแวมไพร์นี้จะยังน่าเล่น น่าลอง น่าสนใจหรือไม่ เชิญพบกับบทความรีวิวตัวนี้กัน

Story

นี่คือเรื่องราวส่วนต่อขยายมาจาก Vampire: The Masquerade และมีหัวเรื่องใหญ่อย่าง World of Darkness ที่ดำเนินเรื่องราวมาตั้งแต่ปี 1990 อีกที แต่ให้มองว่ามันคือจักรวาล Vampire: The Masquerade ก็เพียงพอ ฉากหลังในโลกของเกมคือกรุงปรากที่กลายเป็นโลกแห่งความมืด สาเหตุเพราะการรวมตัวกันของดเหล่าแวมไพร์ในเมือง เพราะเกิดสงครามระหว่างนิกายแวมไพร์ได้ปะทุขึ้น จนหน่วยงานรัฐบาลได้ก่อตั้งทีมทหารที่จะมากำจัดแวมไพร์ให้สิ้นซาก

เนื้อเรื่องของเกมนี้ไม่ใ่ชจุดสลักสำคัญอะไรเหมือนกับเกม Battle Royale เกมอื่น แต่ถ้าใครอยากเสพเนื้อหา อยากอินไปกับจักรวาลนี้ ก็มีในส่วนของ Lore ต่าง ๆ แต่ความยุ่งยากของมันคือ คุณจำเป็นจะต้องเล่นเกมเพื่อปลดล็อคเนื้อเรื่อง เหมือนกับ NARAKA: Bladepoint ถ้าอยากรู้ประวัติตัวละครให้มากขึ้น ก็ต้องหยิบตัวละครนั้นไปเล่นบ่อย ๆ สำเร็จภารกิจให้เยอะ เล่นให้มาก เราถึงจะรู้ปูมหลัง หรือที่มาที่ไปของตัวละครได้ ใน Bloodhunt เอง ก็ใช้วิธีที่คล้ายกัน เนื้อเรื่องแต่ละส่วน ที่มาที่ไปของแต่ละเหตุการณ์หรือสถานที่ เราต้องไปพบเจอระหว่างเล่นเสียก่อน ถึงจะกลับมาปลดล็อคใน Hub ของผู้เล่นใน่ชวงหาห้องได้ รวมไปถึงข้อมูลอาวุธ เนื้อหาเสริมต่าง ๆ ก็จะใช้วิธีคล้ายกัน นั่นคือยิ่งเล่น ยิ่งเจอ ยิ่งรู้เรื่องราวมากขึ้นนั่นเอง

แต่สำหรับเกม Battle Royale มันคงไม่ใช่หัวใจหลักสักเท่าไร เพียงแต่ว่า นี่คือเกมที่ขยายจักรวาล Vampire: The Masquerade ถ้าคุณเป็นคนที่ติดตามเรื่องราวของจักรวาลชุดนี้อยู่แล้ว ก็อาจจะมีอะไรดี ๆ ให้คุณได้ไปตามหา ตามสืบเสาะ แต่ถ้าไม่ ก็ทำเป็นมองข้ามมันไปซะก็ได้ แล้วไปสนุกกับเกมเพลย์แทน

Presentation

Bloodhunt คือสงครามของเหล่าแวมไพร์ที่ปะทุขึ้นกลางกรุงปราก ดังนั้นฉากหลังของเกมนี้คือกรุงปราก สาธารณรัฐเช็ค และหากคุณลองเข้าเกมมาดูแล้วจะรู้สึกคุ้น ๆ เหมือนเคยเห็นฉากหรืออาคารแนว ๆ นี้จากเกมไหนมาก่อน ก็ไม่ต้องแปลกใจ เพราะบรรยากาศการเล่น การต่อสู้นั้น จะเหมือนกับเกม Hyper Scape ของทาง Ubisoft พอสมควร แตกต่างกันตรงที่เกมนี้จะเป็นความมืด ความอึดอัด กดดัน และบรรยากาศที่ค่อนข้างจะออกไปทางโกธิคหน่อย ๆ ด้วย

เมื่อเป็นโลกของเหล่าแวมไพร์ทำให้เกมนี้แทบจะไม่เห็นฉากโทนสว่าง หรือช่วงเวลากลางวัน เพราะโลกในเกมจะเป็นช่วงกลางคืนทั้งหมด ทำให้คนที่ไม่ค่อยชอบฉากมืด ๆ อาจจะไม่ชอบเกมนี้ไปเลยก็ได้ แต่อย่างไรก็ตาม กรุงปรากท่ามกลางค่ำคืนของมหาศึกแวมไพร์ยังคงมีแสงไฟจากร้านค้า หรือผู้คนที่ออกมาเดินเพ่นพ่าน พร้อมจะให้เราเข้าไปจับมาดูดเลือดจนจมเขี้ยวอยู่ ในตอนนี้ตัวเกมมีอยู่เพียงแค่แผนที่เดียวคือกรุงปรากเท่านั้น อนาคตอาจจะมีแผนที่อื่นตามมา

ส่วนของโหมดการเล่นก็มีเพียงแค่โหมด Battle Royale เท่านั้น และแบ่งเป็น Solo และ Group ซึ่ง Group คือการรวมทีม 3 คน แล้วไปลุยด้วยกัน โดยเราสามารถชวนเพื่อนผ่านระบบ Social ของเกมได้ด้วย ที่ต้องชื่นชมคือด้วยบรรยากาศอันอึมครึมของกรุงปราก และธีมแวมไพร์ของเกม เมื่อเล่นเกมนี้ด้วยโหมด Solo คุณจะได้สัมผัสรสชาติเกม Battle Royale ปน Horror นิด ๆ กันเลยทีเดียว แต่ถ้าเล่นกับเพื่อนหรือคนนอก จะไปอีกทางหนึ่งเลยคือหัวร้อน ด้วยความที่ระบบเกมเพลย์ของเกมนี้ดันทำออกมาขาด ๆ เกิน ๆ ทำให้ผ้เล่นหลายคนที่ดูเหมือนจะกด Skip Tutorial ทำผิดพลาดบ่อยครั้ง หรือไม่ก็เล่นแตกแยกจากเพื่อนฝูงจนไปตายคนเดียว แถมไม่รอเพื่อนชุบ กดออกเลยก็มี ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ มีปัญหามาจากการออกแบบเกมเพลย์ที่ไปไม่ค่อยจะสุดสักอย่าง และถ้าใครสงสัยว่ามันเป็นยังไง ก็รออ่านกันต่อในช่วง Gameplay

นอกเหนือจากนั้นแล้วเกมยังมีระบบที่เกมอื่น ๆ ก็มี อย่างเช่น Battle Pass ที่เราก็ต้องเสียเงินเติมซื้อเกมอีก 300 บาท แม้ว่าจะเป็นเกมฟรี มีร้านค้าสำหรับตกแต่งตัวละครด้วยชุดแฟชั่นที่ใช้เงินจริงซื้อ แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยว่า ดีไซน์การออกแบบตัวละครของเกมนี้ อาจจะขัดใจใครหลายคน ทั้งภาพลักษณ์ตัวละคร ไปจนถึงกราฟิกในเกมที่ดูแตก ๆ หยาบ ๆ จนดูไม่ค่อยสวย แถมปรับแต่งอะไรได้น้อยมาก อยากดาร์คก็ไม่สุด อยากแฟนตาซีหลุดโลกเกินไป ก็ไม่ได้ กลายเป็นเกมนี้เหมือนถูกบีบให้อยู่ตรงกลาง จนไปไม่สุดสักทางจริง ๆ

Gameplay

แม้จะเป็นเกม Battle Royale ที่เราจะได้หยิบจับอาวุธมาไล่ยิงกันแบบเกมอื่น ๆ แต่ก็ไม่อาจใช้หลักการเดียวกันกับเกมอื่นมาเริ่มเล่นเกมนี้ได้ ไม่อย่างนั้นคุณอาจจะเป็นแวมไพร์ไก่ วิ่งไปให้เขาเชือดและจับดูดเลือดเล่นจนหัวร้อนได้ อย่างแรกที่คุณต้องทำความเข้าใจก่อนเลยคือ เกมนี้มีเพียงมุมมอง TPS และฉากหลังโลกของเกมคือกรุงปรากที่เต็มไปด้วยถนนหนทางและตึกสูง ดังนั้นการต่อสู้อาจเกิดขึ้นได้ทั้งบนภาคพื้นดินและบนตึก รวมไปถึงตัวละครแต่ละตัวจะมีเผ่า และมีสกิลของตัวเองด้วย

ตัวละครในตอนนี้มีอยู่ทั้งหมด 6 ตัวด้วยกัน แบ่งออกเป็นเผ่าละ 2 คน ชายและหญิง ซึ่งทั้งสองเพศก็จะมีสกิลที่แตกต่างกันด้วย แต่จะมี Clan Skill หรือสกิลเผ่าที่จะมีเหมือนกัน ปัญหามันอยู่ที่สกิลของแต่ละตัวละครที่ออกแบบมาได้ไม่ค่อยจะสมดุลเท่าที่ควร อย่างเช่น Muse ของเผ่า Toreador ที่เน้นการซัพพอร์ทอย่างเต็มรูปแบบ จนไม่สามารถหยิบไปเล่นแบบ Solo ได้เลย หรือบางตัวก็มีความสามารถในการล่องหน ที่ได้เปรียบอย่างมากหากเล่นคนเดียว สมดุลตัวละครเลยเป็นสิ่งที่อาจจะต้องมีการปรับปรุงและแก้ไขในอนาคต

และด้วยความที่เกมนี้มีพลังชีวิตขั้นต่ำก็ปาเข้าไป 200 หน่วยแล้ว หากกดใส่เกราะอีกก็เพิ่มไปอีก 50 หน่วย นี่จึงเป็นเกม Battle Royale ที่มี TTK (Time To Kill) สูงมาก และใช้เวลานานมากกว่าจะยิงกันตาย (เว้นแต่ว่าคุณแม่นจริง หรือใช้วิธี Focus Fire ระดมยิงตัวเดียวกันหากเล่นเป็นทีม) บวกกับการออกแบบฉากที่เป็นเมืองและตึกสูงและสกิลตัวละครบางตัวที่สามารถวิ่ง สไลด์ กระโดด ไล่ล่ากันได้ ทำให้เกมนี้เป็นอีกเกมที่ใช้พลังงานเล่นต่อรอบค่อนข้างสูง ชนิดที่ว่าเล่นจบตานึงก็อยากจะพักผ่อนไปเลย

ระบบ Sense Vampire ที่เราสามารถกด X เพื่อสแกนพื้นที่โดยรอบจะทำให้เรามองเห็นจุดที่อาวุธดรอป เลือดภายในตัวมนุษย์คนต่าง ๆ และหากมีศัตรูอยู่ใกล้ ๆ จะถูกมาร์คตำแหน่งให้เราเห็นได้ด้วย ซึ่งเป็นอีกลูกเล่นที่เกมนี้ทำได้ดี แต่ปัญหาคือตอนสแกนมันจะทำการเปลี่ยนฉากรอบ ๆ ให้เป็นสีขาว-ดำ ทำให้มองยาก และปัญหาหลักเลยคือบางครั้งมันถึงขั้นทำให้เฟรมเรทตก เพราะการเปลี่ยนสีและรูปลักษณ์ของฉาก ยิ่งเปิดเกมเล่นต่อเนื่องนาน ๆ อาการนี้ยิ่งชัดเจน ทำให้มันเป็นอีกปัญหาใหญ่ในส่วนของ Performance ของเกมเลยทีเดียว

อาวุธในเกมนี้ก็มีหลากหลายรูปแบบ นอกจากอาวุธปืนทั่วไป แต่ถูกนำมาปรับรูปลักษณ์ให้เหมาะกับจักรวาลแวมไพร์มากขึ้น เช่นหน้าไม้หัวระเบิดที่สามารถถือคู่ได้ โดยอาวุธในเกมนี้จะแบ่งเกรดออกเป็นสี ๆ ใครที่เล่นเกม Battle Royale มาเยอะ ๆ ก็จะเข้าใจได้ แต่ความง่ายของเกมนี้เลยคือคุณไม่จำเป็นต้องไปวิ่งหาอุปกรณ์หรือของแต่งปืนใด ๆ เลย อาวุธของเราจะพร้อมใช้งานแบบจัดเต็มตั้งแต่ตอนที่เจอและเก็บมาใช้ ที่เราต้องกังวลก็คือเกรดสีของอาวุธเท่านั้น ทำให้เกมนี้ไม่ค่อยจะเสียเวลาวิ่งฟาร์มสักเท่าไร เพราะฟาร์มไม่นานก็ได้ของที่ต้องการแล้ว

และนอกเหนือไปจากผู้เล่นคนอื่นแล้ว สิ่งที่ผู้เล่นต้องระวังก็คือ เหล่าหน่วยรบล่าแวมไพร์ โดยหน่วยรบนี้จะเป็นสัญลักษณ์รูปกางเขนสีแดงอยู่ใน Minimap หากเฉียดไปใกล้ เราจะโดนทหารหน่วยนี้จู่โจมทันที เพราะมันมองว่าเราเป็นศัตรู แต่ถ้าหากเรายิงต่อสู้จนชนะก็อาจมีโอกาสดรอปได้อาวุธเกรดดี ๆ จากทหารพวกนี้ด้วย ข้อควรระวังเพียงอย่างเดียวคือ ระหว่างยิงสู้กับพวกทหาร เราอาจจะโดนปาร์ตี้อื่น หรือศัตรูอื่นมาแจมได้ และเชื่อเถอะว่ามันจบไม่เคยสวยเลยสักครั้งในกรณีนี้

จุดเด่นอีกอย่างของ Bloodhunt คือเมืองนี้ไม่ได้มีแต่ผู้เล่น แต่ยังมีประชาชนชาวบริสุทธิ์อยู่ด้วย ประชาชนเหล่านี้จะมีบางคนที่เราไปจับดูดเลือดแล้วจะได้รับบัฟถาวร ซึ่งมีลิมิตสูงสุดต่อเกมการเล่น 1 รอบ ผลของบัฟจะเป็นการเพิ่มความสามารถให้กับสกิลของตัวละครที่เราเลือกมาเล่น แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องระวังให้ดี เพราะประชาชนบางคนอาจตื่นตระหนกที่เราเข้าไปจับดูดเลือด หรือบางทีถ้าเรายิงพลาดไปฆ่าประชาชนตาย เราจะถูกลงโทษด้วยการเปิดเผยตำแหน่งให้ศัตรูรู้เป็นเวลากว่า 1 นาที ถือว่าโหดร้ายเอาเรื่อง และการพลาดท่าฆ่าประชาชนตายเพราะคิดว่าเป็นผู้เล่นอื่นคือสิ่งที่ผู้เล่นใหม่เกมนี้พลาดกันมากที่สุด ดังนั้นระวังให้ดี รวมไปถึงการเหยียบไปโดนรถ หรือยิงโดนรถบางคันในเกมก็จะทำให้เกิดเสียงเตือนภัย บอกตำแหน่งของเราได้อีก แม้เกมนี้เราจะเป็นแวมไพร์ที่มีพลังเหนือมนุษย์ แต่อุปสรรคของเกมก็มีมากไม่แพ้กันเลยทีเดียว

แต่ปัญหาทางด้านเกมเพลย์ทั้งหลายแหล่ก็มีมากไม่แพ้กัน อย่างแรกคือระบบ Ping System ที่หลายเกมพยายามจะนำมาใช้ หลัง Apex Legends ประสบความสำเร็จแบบสุด ๆ แต่เกมนี้เหมือนอยากใส่ก็ใส่มาเลย ไม่มีอะไรเพิ่มเติมนอกจากปิงบอกไอเทมเพื่อน แถมมันยังขึ้นแจ้งเตือนที่มุมขวาบนที่เป็นตำแหน่งบอก Killfeed อีกด้วย ทำให้บางคนที่ไม่ทันได้สังเกต ไม่เห็นเลยว่าเพื่อนปิงอะไรให้บ้าง และตัวละครเกมนี้ก็ไม่ได้พากย์เสียงหรือบอกว่าเราปิงเหมือนกับ Apex Legends อีกด้วย บางทีเราปิงของดี ๆ ให้ แต่เพื่อนกลับเมินเฉยไปเลยก็มี เพราะแค่เขาไม่เห็น

นอกจากนั้นเกมนี้หากผู้เล่นพลาดท่าตายขึ้นมา ก็ยังมีโอกาสเกิดใหม่หลายวิธี อย่างแรกคือการรอให้เราฟื้นขึ้นมาเอง แต่ต้องใช้เวลารอนานกว่า 30 วินาที แน่นอนว่าการโดนยิงจนน็อคในเกม Battle Royale ส่วนมาก ถ้าสมาชิกในทีมที่เหลือไม่เก่งจริง ๆ ก็แทบจะปิดประตูชนะไปได้เลย ระยะเวลาในการรอฟื้นของเกมนี้มันนานจนเกินไป ที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือ แม้จะมีระบบที่เพื่อนในทีมที่เหลือสามารถไปชุบเพื่อนร่วมทีมที่จุดชุบได้ แต่มันไม่มีการบอกผู้เล่นที่ตายแล้ว หรือผู้เล่นที่ยังเหลืออยู่ว่าชุบได้เลย ทำให้บางคนตายแล้วกดออกเกมไปเลยโดยไม่รู้ว่าโอกาสที่ 2 กำลังรอคอยอยู่ ปัญหามันอยู่ที่การออกแบบการแจ้งเตือนผู้เล่นที่ทีมงานไม่ได้ใส่เข้ามาให้มันชัดเจนเลยแม้แต่น้อย

ในขณะที่การควบคุมหลายอย่างทำได้ดี แต่มีอย่างหนึ่งที่น่าขัดใจมาก อย่างที่บอกว่าเกมนี้ใช้แผนที่กรุงปรากซึ่งเน้นตึกสูงเป็นหลัก การปีนป่ายไม่ใช่เรื่องยาก แต่มันจะกลายเป็นเป้านิ่งแทน เพราะเราจะโดนยิงได้ง่ายมาก แถมระหว่างปีนก็ไม่สามารถเร่งความเร็ว หรือทำอะไรได้เลย ที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือ หลายครั้งที่พอปีนถึงยอด ตัวละครเรากลับดีดตัวเองถอยหลังกลับลงไปข้างล่างแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ซึ่งระหว่างตัวละครเราดิ่งลงข้างล่าง ก็จะไม่สามารถควบคุมตัวละครได้ นอกจากยิงปืน แต่การหันหน้าเข้าหากับแพง แถมยังบ่ายเบี่ยงไม่ได้ตอนลอยอยู่ในอากาศ ถ้าเจอศัตรูอยู่ล่ะก็ ตายแทบจะแน่นอน อาการแบบนี้คนที่เคยเล่นเกมนี้น่าจะเจอ และหวังว่าเขาจะแก้ในเร็ววันนี้

ภาพรวม Bloodhunt คืออีกเกม Battle Royale ที่มีไอเดียที่ดีมาก ใส่ระบบ ความหลากหลาย และความเป็นตัวเองเข้ามาได้เยอะ และดึงดูดความสนใจให้ผู้เล่นได้ค่อนข้างดี แต่ปัญหาของมันคือ ไอเดียที่มากมายเหล่านั้น กลับถูกละเลยการขัดเกลา จนทำให้มันดูน่าหงุดหงิดเป็นอย่างมาก ซึ่งข้อนี้ได้แต่หวังว่าเกมจะนำไปปรับแก้ในอนาคต เพราะตอนนี้เกมยังอยู่ในช่วง Early Access และถ้าหากทำได้ขึ้นมา Bloodhunt เองอาจจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับคนที่ชอบเกม Battle Royale สายดาร์ค

Performance

ประสิทธิภาพของเกมก็อาจจะเป็นอีกจุดที่มีทั้งข้อดีข้อเสียในตัวเองมันเอง อย่างแรกเลยคือเรื่องของความลื่นไหล เกมนี้หากใครสเปคถึง และมีจอคอมพิวเตอร์หรือจอที่รองรับอัตรารีเฟรชเรทสูงถึง 144Hz ขึ้นไป คุณจะสนุกสนานกับการเล่นเกมนี้ด้วยเฟรมเรท 120-144 ได้อย่างลื่นไหลสบายตาแบบแตกต่างจากเกมอื่นเป็นอย่างมาก แต่ด้วยสเปคคอมพิวเตอร์ที่ค่อนข้างใช้มากพอสมควร การจะเสพกราฟิกและประสิทธิภาพเกมให้ได้ระดับนี้ก็อาจจะต้องลงทุนลงแรงกันหน่อย

และปัญหาก็อยู่ที่ตัวเกมมันเองอีกครั้ง การเล่นไปสักพักจะทำให้เฟรมเรทเกมค่อย ๆ ตกลงมา เหมือนกับเครื่องทำงานหนักเกิน ซึ่งการเริ่มเกมใหม่หรือออกเข้าใหม่ก็ช่วยลดปัญหานี้ไปได้บ้าง แต่มันก็เป็นปัญหาที่ไม่ควรเกิดขึ้น และ Setting ของเกมนี้ก็ถือว่าน้อยมาก หากเทียบกับเกม Battle Royale เกมอื่น ๆ ที่มีในตลาดตอนนี้ แต่โชคดีที่เกมตอนนี้ปัญหาด้านบั๊กหรือเซิร์ฟเวอร์ค่อนข้างน้อย ก็ยังพอหักลบกลบล้างกันไปได้บ้าง

Bloodhunt เป็นอีกหนึ่งเกมที่เข้ามาขอแย่งส่วนแบ่งตลาดเกม Battle Royale มันมาพร้อมไอเดียที่ดี และพ่วงบารมีจักรวาล Vampire: The Masquerade มาด้วย แต่สิ่งที่เห็นได้ชัด คือการขัดเกลาและระบบบางอย่างที่จับมาโยนใส่เกมของตัวเองโดยไม่หาจุดลงตัวให้มันเสียก่อน หากเกมนี้คิดจะไปให้ได้ไกลกว่านี้ นี่คือการบ้านของทีมผู้พัฒนาในตอนนี้ และหวังว่ามันจะดีขึ้นในอนาคต

Score 6.5/10

 

SHARE

Aisoon Srikum

Back to top