BY StolenHeart
26 Mar 19 4:27 pm

Command & Conquer Renegade กับความกล้าที่ไม่ยึดติดในแนวเดียว

84 Views

เชื่อว่าถ้าพูดถึง Command & Conquer ขึ้นมา ทุกคนย่อมต้องนึกถึงเกมวางแผนการรบสุดคลาสสิกที่ผู้เล่นต่างต้องเก็บทรัพยากรต่าง ๆ เพื่อที่จะปั๊มยูนิตออกมาสู้กัน ไม่ว่าจะเป็นทหาร รถถังหรือเครื่องบิน ซึ่งทั้งภาคหลักและภาคแยกอย่าง Red Alert ต่างก็มีรูปแบบการเล่นที่คล้ายกัน แต่ก็มีภาคหนึ่งที่เปลี่ยนแนวจากการวางแผน กลายมาเป็นเกมเดินหน้ายิงที่อยู่ในโลกของ C&C โดยมีชื่อว่า Renegade นั่นเอง

ช่วงยุคต้นปี 2000 ซีรีส์ Command & Conquer นั้นถือว่าเป็นเกมวางแผนที่มีแฟนเกมชื่นชอบและเล่นกันอย่างมากมายเหนียวแน่นไม่แพ้เกมในยุคเดียวกันอย่าง Counter Strike แม้แต่น้อย ซึ่งร้านเกมในยุคนั้นต่างก็ชูจุดขายในการวางระบบ Lan เล่นกันข้ามร้านในย่านนั้นอย่างแพร่หลาย (เช่นในย่าน ม. เกษตรที่ผู้เขียนชอบแวะเวียนไปเล่นอยู่เสมอ) และ Red Alert 2 เองก็เป็นหนึ่งในเกมที่ได้รับความนิยมจากผู้เล่นทั้งในไทยและต่างประเทศอย่างมาก เรียกว่าเป็นเกมวางแผนที่บูมมากก่อนที่ DOTA จะมาชิงตำแหน่งนี้ไปในภายหลัง

ซึ่งทางผู้พัฒนาอย่าง Westwood เองก็มีไอเดียบรรเจิดเกี่ยวกับเกมซีรีส์นี้อยู่มากมาย และพยายามเพิ่มเนื้อหาและโลกทัศน์ในเกมให้มากขึ้น ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือการปล่อยเกมภาคใหม่ที่ไม่ใช่แนววางแผน แต่กลายมาเป็นเกมแนวเดินหน้ายิงแทน และหลังจากที่ Red Alert 2 วางจำหน่ายได้สองปี ทาง EA และ Westwood ก็วางจำหน่าย Command & Conquer Renegade ออกมาเขย่าวงการเกมในที่สุด

โดยเรื่องราวของเกมนั้น ผู้เล่นจะได้รับบทเป็น Nick ‘Havoc’ Parker ผู้บัญชาการฝ่าย GDI ที่จัดเตรียมกำลังพลเพื่อเผด็จศึกฝ่าย Brotherhood of NOD ในสงคราม First Tiberium War วันสุดท้าย ซึ่งเขาต้องออกทำภารกิจทั่วโลก ทั้งการช่วยเหลือ ตีฐานข้าศึก หรือต่อสู้กับกองกำลังของศัตรู และต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับการทดลองลับของพวก NOD ที่แอบวิจัยการสร้างสุดยอดพลทหารในโครงการ Project ReGenesis ขึ้นมา และเป็นหน้าที่ของผู้เล่นที่ต้องขัดขวางไม่ให้มันเกิดขึ้นมาให้ได้

สำหรับ Command & Conquer Renegade นั้นน่าจะเรียกได้ว่าเป็นภาคที่ผ่าเหล่าผ่ากอที่สุดของซีรีส์ก็ว่าได้ เพราะเป็นเพียงเกมเดียวที่เป็นแนวเดินลุยด่านทำภารกิจไปเรื่อย ๆ โดยมีทั้งภารกิจหลัก ภารกิจรอง และภารกิจเสริม ซึ่งเกมจะให้เราได้รู้สึกเหมือนกับเป็นทหารราบที่เดินในสนามรบจริง ๆ และตัวเกมก็พยายามเอาทุกอย่างใส่ลงไปในฉาก เหมือนกับเราเล่นเกมเวอร์ชั่นวางแผนเลยยังไงยังงั้น ทั้งจำนวนศัตรูอันมหาศาล ยานเกราะแข็งแกร่งมากมาย และไร่ Tiberium สีเขียวยาวสุดลูกหูลูกตา (ที่ถ้าเดินผ่านก็เจ็บตัวเหมือนในเกมภาควางแผน) เป็นสิ่งที่ผู้เล่นภาคก่อน ๆ มาน่าจะจดจำกันได้เป็นอย่างดี

แม้ดูเผิน ๆ Renegade จะเป็นเกมที่น่าสนใจและทะเยอทะยานมาก เพราะการได้เข้าร่วมรบในเกมด้วยตัวเอง ลงไปยิงจริง ๆ ในสนามรบนั้นถือเป็นความฝันของใครหลาย ๆ คน แต่กลับกลายเป็นว่ามันทำให้เกมดูยุ่งเหยิงและยากเกินไปในหลาย ๆ ภารกิจ เพราะบางฉากเราต้องมาต่อกรกับทหารและยานเกราะจำนวนมหาศาลที่ไม่รู้ว่าจะยิงหมดเมื่อไหร่ แม้ตัวเกมจะมีตัวช่วยมากมายอย่างยานพาหนะต่าง ๆ และอาวุธมากมาย แต่มันก็ควบคุมได้ลำบาก แถมมุมมองก็ยังจำกัดอีกต่างหาก

ที่สำคัญคือฉากในเกมที่ไม่รู้ว่าจะกว้างไปไหน จริงอยู่ที่ในยุคนี้หลายคนอาจจะชอบฉากกว้าง ๆ แต่ใน Renegade นั้นฉากในเกมนั้นกว้างมากจนเราไม่สามารถที่จะโฟกัสไปในภารกิจของเกมได้ กลายเป็นการไล่หาภารกิจแบบไร้แก่นสารจนบางทีก็พาลเบื่อไปได้ง่าย ๆ โดยเฉพาะในฉากหลัง ๆ ที่ทั้งยากทั้งกว้าง และบางทีเกมก็มี Bug ที่ทำให้เกมเล่นต่อไม่ได้เพราะภารกิจไม่ยอมจบให้ก็มีเหมือนกัน

แม้จะมีอะไรที่น่ารำคาญอยู่มาก แต่ Renegade ก็ถือว่าเป็นเกมที่กล้านำเสนออะไรใหม่ ๆ มากมาย ซึ่งเชื่อว่าคงไม่มีค่ายไหนที่จะบ้าเอาเกมแนววางแผนมาทำเป็นเกมเดินหน้ายิงแบบนี้แน่นอน แถมยังสามารถปรับมุมมองของเกมเป็นแบบ 1st person และ 3rd person ได้อีกด้วย ทำให้เราเห็นภาพการจำลองในสนามรบของซีรีส์นี้ได้ชัดเจนและน่าสนใจมากขึ้น

รวมไปถึงโหมด Multiplayer ที่ค่อนข้างน่าสนใจ ที่จับเอาการเล่นแบบวางแผนรวมกับเกมเดินหน้ายิงได้อย่างน่าสนใจ โดยผู้เล่นจะถูกแบ่งเป็นสองฝ่ายคือ GDI และ NOD ที่ต้องทำลายฐานของฝ่ายตรงข้ามให้หมดภายในเวลาที่กำหนด ซึ่งผู้เล่นแต่ละคนต้องสะสมแต้มจากการทำลายสิ่งก่อสร้างหรือฆ่ายูนิตของศัตรูให้ได้ รวมไปถึงบางโหมดยังเปิดให้ผู้เล่นสามารถใช้ Super Weapon เพื่อเผด็จศึกอย่างรวดเร็วได้อีกด้วย เป็นการผสมผสานโหมดการเล่นทั้งสองแบบที่น่าสนใจอย่างมาก

แต่เพราะเนื่องจากปัญหาอื่น ๆ ที่มีติดตัวเกมมา ทำให้มันล้มเหลวทั้งในด้านยอดขายและคำวิจารณ์ที่ค่อนไปทางย่ำแย่ ทำให้ทาง Westwood และ EA ยกเลิกแผนที่จะสร้างสร้างภาคเสริมของเกมไปทันที รวมไปถึงการพอร์ตเกมจาก PC ไปลงเครื่อง PlayStation 2 ก็ถูกยกเลิกเช่นกัน ซึ่งอันที่จริงแล้วทาง Westwood เองก็พยายามที่จะสร้างภาคต่อโดยอิงจากโลกของภาค Red Alert ออกมาด้วย แต่สุดท้ายก็ไม่เกิดขึ้น จนถึงวันที่ค่ายต้องปิดตัวลงไปในที่สุด

ปัจจุบันนี้เรายังสามารถหาเกมภาค Renegade มาเล่นกันได้ไม่ยากจากเกมภาครวมฮิตของ Command & Conquer แต่อนาคตของภาคต่อของเกมนั้นน่าจะเข้าขั้นเป็นไปไม่ได้เลยทีเดียว แม้ในเวลานี้จะมีข่าวดีที่ทางผู้สร้างฉบับดั้งเดิมเตรียมที่จะคืนชีพให้กับซีรีส์นี้ในไม่ช้านี้ แต่ก็ไม่มีการพูดถึงเกมภาคนี้แม้แต่น้อย ซึ่งสำหรับตัวผู้เขียนเองก็ขอให้เกมนี้เป็นหนึ่งในความทรงจำที่ดี เพราะการได้เห็นสนามรบของเกมในระยะประชิด และได้ลงไปร่วมต่อสู้ด้วยตัวเอง ถือเป็นสิ่งที่ประทับใจในวัยเด็กอย่างที่สุด ซึ่งก็ไม่แน่ว่าในอนาคตเราอาจจะได้เห็นเกมซีรีส์ Renegade นี้กลับมาอีกครั้งก็เป็นได้ครับ

Putinart Wongprajan

เค้ก - Content Writer

Back to top