Bluetooth หรือ บลูทูธคือเทคโนโลยีสำหรับการติดต่อสื่อสารชนิดหนึ่ง ที่สามารถรับ-ส่งข้อมูลได้ในระยะใกล้จากอุปกรณ์ดิจิทัลตัวหนึ่งไปยังอีกตัวหนึ่ง เช่นโทรศัพท์มือถือ โน้ตบุ๊ก หรือคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ โดยใช้คลื่นวิทยุความถี่ย่าน 2.4 GHz
ชื่อ Bluetooth ถูกตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1997 โดย Jim Kardach โดยเขาคนนี้เป็นผู้ที่พัฒนาระบบที่สามารถทำให้โทรศัพท์และคอมพิวเตอร์สื่อสารกันได้จาก Intel ซึ่งในขณะที่เจ้าตัวกำลังพัฒนาระบบนี้อยู่ เจ้าตัวก็ได้อ่านนิยายเรื่อง The Long Ship ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับชาวไวกิ้ง และกษัตริย์เดนิชในศตวรรษที่ 10 ที่ชื่อว่า Harald Bluetooth โดยเหตุผลที่ Jim Kardach เลือกชื่อของกษัตริย์ Harals Bluetooth เพราะตัวกษัตริย์สามารถรวบรวมเผ่าต่าง ๆ ของเดนมาร์กให้กลายเป็นอาณาจักรเดียวกัน เหมือนกับเทคโนโลยี Bluetooth ที่รวมโปรโตคอลการสื่อสารต่างๆไว้ด้วยกัน
Bluetooth SIG (Bluetooth Special Interest Group) คือองค์กรที่กำหนดมาตรฐาน กำกับและควบคุมการการพัฒนาเทคโนโลยี Bluetooth และเป็นองค์กรที่ออกใบอนุญาตให้ใช้เทคโนโลยีและเครื่องหมายการค้าในการผลิต โดย SIG เป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไร แลไม่มีหุ้นส่วน ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1998 ปัจจุบันสำนักงานใหญ่อยู่ที่รัฐ Washington สหรัฐอเมริกา
Bluetooth ได้มีการแบ่งความแรงของการส่งสัญญาณหรือ Class ด้วยกัน 4 Class คือ
- Class 1 : มีกำลังส่งอยู่ที่ 100 มิลลิวัตต์ และมีระยะประมาณ 100 เมตร
- Class 2 : มีกำลังส่งอยู่ที่ 2.5 มิลลิวัตต์ และมีระยะประมาณ 10 เมตร
- Class 3 : มีกำลังส่งอยู่ที่ 1 มิลลิวัตต์ และมีระยะประมาณ 1 เมตร
- Class 4 : มีกำลังส่งอยู่ที่ 0.5 มิลลิวัตต์ และมีระยะประมาณ 0.5 เมตร
Bluetooth มีกี่เวอร์ชัน? แตกต่างกันยังไง?
Bluetooth 1.0 / Bluetooth 1.0B
เป็นเวอร์ชันเริ่มต้นที่มีปัญหาตามมามากมายหลังจากที่เปิดให้คนทั่วไปใช้งาน และยังมีตัวส่งสัญญาณ Bluetooth Hardware Device Address (BD_ADDR) สำหรับใช้ในกระบวนการเชื่อมต่อ และถือว่าเป็นปัจจัยหลักของความผิดพลาดครั้งนี้
Bluetooth 1.1
เป็นเวอร์ชันแรกที่ได้รับการจัดเรตให้อยู่ใน IEEE Standard 802.15.1-2002 ซึ่งเป็นมาตรฐานของ IEEE Standardสำหรับเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยในเวอร์ชันนี้ได้รับการแก้ใขข้อผิดพลาดต่างๆมาจาก Bluetooth 1.0B เรียบร้อย พร้อมทั้งเพิ่มตัวบอกระดับความแรงขแงสัญญาณที่ได้รับ หรือ Received Signal Strength Indicator (RSSI) เข้ามาอีกด้วย
Bluetooth 1.2
ฟีเจอร์ที่มีการปรับปรุงและเพิ่มให้กับเวอร์ชันนี้คือ
- มีการเพิ่มความเร็วในการค้นหาและเชื่อมต่อ
- มีการต้านทานการถูกแทรกจากคลื่นสัญญาณอื่นที่แข็งแรงขึ้น
- มีความเร็วของการรับส่งสัญญาณเพิ่มขึ้นถึง 721 Kbit/s
- ได้รับการจัดเรตให้อยู่ใน IEEE Standard 802.15.1-2005
- เพิ่มฟีเจอร์ Extended Synchronous Connections (eSCO) ทำให้คุณภาพเสียงที่ได้รับดีขึ้น
- เพิ่มระบบปฏิบัติการ Host Controller Interface (HCI) แบบ 3 สาย (UART)
- เริ่มการใช้งานโหมดควบคุมการไหลของข้อมูลและการส่งสัญญาณซ้ำหรือ Flow Control and Retransmission Modes สำหรับ L2CAP
Bluetooth 2.0 + EDR
เวอร์ชันนี้ได้มีการเปิดตัวระบบ Enhanced Data Rate (EDR) เพิ่มเพิ่มประสิทธิภาพในการรับ-ส่งข้อมูลที่รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยมีความเร็วอยู่ที่ 3 Mbit/s
ถ้าเราสังเกตจากชื่อเวอร์ชันจะมีการเขียน + EDR ต่อท้ายเนื่องจากตัวเทคโนโลยีของ Bluetooth เวอร์ชันนี้ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากมาย และถ้าอุปกรณ์เครื่องไหนที่มี Bluetooth เวอร์ชัน 2.0 แต่ไม่มี EDR ก็จะมีการระบุว่า “Bluetooth v2.0 without EDR”
Bluetooth 2.1 + EDR
เป็น Bluetooth เวอร์ชันแรกที่ได้รับการพัฒนาจาก Bluetooth SIG เปิดตัวในวันที่ 26 กรกฎาคม ค.ศ.2007 โดยฟีเจอร์ที่เสริมเข้ามาคือการจับคู่แบบปลอดภัยหรือ Secure Simple Pairing(SSP) ที่จะช่วยให้การจับคู่ของอุปกรณ์มีความปลอดภัยมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มการขยายสัญญาณร้องขอหรือ Extended Inquiry Response ที่จะช่วยให้เกิดการคัดกรองในการเลือกการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่น และระบบ Sniff Sunbrating ที่ช่วยให้ลดการใช้พลังงานในโหมดของการประหยัดพลังงาน
Bluetooth 3.0 + HS
ฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามาคือ AMP หรือ ALternative MAC / PHY คือการเปิดให้ใช้ MAC และ PHYs เข้ามาช่วยเสริมในเรื่องของการส่งข้อมูลโปรไฟล์บลูทูธ หลักการคือ Bluetooth จะใช้โมเดลการเชื่อมต่อพลังงานต่ำในขณะที่ระบบว่างอยู่ และจะใช้คลื่นวิทยุที่เร็วขึ้นเมื่อต้องส่งออกข้อมูลจำนวนมาก นอกจากนี้ยังพัฒนาให้การรับส่งข้อมูลเร็วขึ้นอีกด้วย
Bluetooth 4.0
บลูทูธในเวอร์ชันนี้มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง โดยมีการเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ ได้แก่ โปรโตคอล Classic Bluetooth, Bluetooth High Speed, และ Bluetooth Low Energy (BLE) โดย Bluetooth high speed หรือบลูทูธความเร็วสูงนั้น มีพื้นฐานมาจาก Wi-Fi, และ Classic Bluetooth ก็ประกอบไปด้วยโปรโตคอล Bluetooth รุ่นบุกเบิกด้วย
โดย Bluetooth เวอร์ชันนี้จะเน้นไปที่การใช้พลังงานที่ต่ำจนสามารถใช้พลังงานจากแบตเตอรี่แบบเหรียญในการรับ-ส่งข้อมูล อีกทั้งมีการออกแบบชิปให้สามารถใช้งานแบบ Dual Mode และ Single Mode กับอุปกรณ์เวอร์ชันเก่าได้อีกด้วย
Bluetooth 4.1
Bluetooth SIG ประกาศรองรับเวอร์ชันนี้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ. 2013 การอัปเดตในเวอร์ชันนี้ เป็นการอัปเดตซอฟต์แวร์ให้กับบลูทูธเวอร์ชัน 4.0 ที่เพิ่มฟีเจอร์เพื่อให้ผู้ใช้สามารถใช้งานได้หลากหลายยิ่งขึ้น เช่น
- ยกระดับการใช้งานให้ลื่นไหลยิ่งขึ้นด้วยเทคโนโลยีมือถืออย่าง LTE
- รักษาระดับการเชื่อมต่อให้มีการแทรกแซงแบบ Manual น้อยลง
- แลกเปลี่ยนข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นด้วย L2CAP
- จำกัดเวลาในการค้นพบอุปกรณ์ใหม่
Bluetooth 4.2
Bluetooth เวอร์ชันนี้เปิดตัวเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ.2014 มีการเพิ่มฟีเจอร์สำหรับ Internet of Thing หรือ IoT โดยการพัฒนาหรือฟีเจอร์หลักๆที่เพิ่มมาให้คือ
- การเชื่อมต่อที่ปลอดภัยและใช้พลังงานต่ำกว่าเดิม
- เพิ่มการคัดกรองเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวของชั้นข้อมูลให้มีความปลอดภัยมากขึ้น
- Internet Protocol Support Profile (IPSP) เวอร์ชัน 6 พร้อมใช้งานสำหรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในบ้าน สำหรับการทำระบบ Smart Home
Bluetooth 5.0
เปิดตัวเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 2016 โดยจะเพิ่มฟีเจอร์ที่โฟกัสไปในเรื่องของเทคโนโลยี IoT โดยตัว Bluetooth 5 มีการเชื่อมต่อแบบ BLE หรือการเชื่อมต่อแบบใช้พลังงานต่ำ ซึ่งสามารถเพิ่มความแรงและเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลเป็น 2 เท่าแต่ก็ต้องแลกมาด้วยเรื่องระยะของการรับ-ส่งที่สั้นลง
Bluetooth 5.1
Bluetooth SIG เปิดตัวเวอร์ชันนี้วันที่ 21 มกราคม ค.ศ. 2019โดยมีฟีเจอร์หลักๆที่ได้รับการเพิ่มมาคือ
- Angle of Arrival (AoA) และ Angle of Departure (AoD) ที่เป็นเทคโนโลยีสำหรับการบอกตำแหน่งของอุปกรณ์ที่เปิด Bluetooth และใช้ในการติดตามอุปกรณ์เวลาสูญหาย
- เพิ่มดัชนีแชนแนลที่ช่วยให้การเชื่อมต่อในสถานที่ที่มีสัญญาณ Bluetooth อยู่เยอะได้ดียิ่งขึ้น
- การเก็บข้อมูล catch ของอุปกรณ์ BLE เรียกว่า GATT (Generic Attribute Profile) Caching
- เพิ่มประสิทธิภาพในการรับ – ส่งข้อมูลและความปลอดภัยให้มากขึ้น
- การซิงก์ข้อมูลในที่ที่มีสัญญาณบลูทูธเป็นจำนวนมากเป็นระยะ ๆ
Bluetooth 5.2
เปิดตัวในวันที่ 31 ธันวาคม ค.ศ. 2019 โดยมีฟีเจอร์หลักๆคือ
- LE Audio : ทำให้อุปกรณ์เช่นหูฟัง สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นๆพร้อมกันได้หลายตัว หรือเชื่อมต่อหูฟังหลายชิ้นเข้ากับแหล่งกำเนิดเสียงเพียง 1 ชิ้นก็ได้ โดย LE Audio สามารถรันบนคลื่นที่ใช้พลังงานต่ำอย่าง BLE ได้
- LE Power Control : ช่วยให้เราตรวจสอบความแรงของสัญญาณที่เชื่อมต่ออยู่ได้ และช่วยให้ปรับความแรงของสัญญาณให้เข้ากับอุปกรณ์นั้นๆได้อีกด้วย
- LE Isochronous Channel : ทำให้หูฟังในแต่ละข้างสามารถรับสัญญาณได้เองโดยตรง ช่วยลดการดีเลย์ขณะฟัง
- เพิ่มประสิทธิภาพให้กับข้อมูลของอุปกรณ์ BLE ต่าง ๆ (Enhanced Attribute Protocol = EATT) ทำให้เชื่อมต่อได้เร็วขึ้น และลดการใช้พลังงานลง
และนี่คือเทคโนโลยี Bluetooth ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่มาของ Bluetooth ที่ไครหลายคนอาจจะเพิ่งรู้ครั้งแรก หรือวิวัฒนาการของ Bluetooth ตั้งแต่เวอร์ชันแรกจนถึงปัจจุบัน แต่เราก็ต้องรอดูกันว่าเทคโนโลยี Bluetooth จะพัฒนาไปในด้านไหนในอนาคต