การเดินทางของภาคีมือสังหารนับตั้งแต่ภาคแรกมาจนถึงปัจจุบันนั้น เรียกได้ว่าก็ต้องมีบ้างที่อาาจจะทั้งถูกใจ และไม่ถูกใจแฟนเกม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเปลี่ยนผ่านมาเข้าสู่ยุคของการเป็นเกม RPG อย่างเต็มรูปแบบในช่วง 3 ภาคหลังนี้ อาจจะทำให้ใครหลายคนไม่ค่อยชอบสักเท่าไร แต่ก่อนการเปลี่ยนผ่านนั้น มีอยู่ภาคหนึ่งที่ถึงแม้จะไม่ได้โด่งดังแบบเปรี้ยงปร้าง แต่ก็ถือว่าเป็นอีกภาคที่ทำออกมาได้น่าประทับใจมาก และนั่นคือ Assassin’s Creed Syndicate
คัมแบคหลังจากพลาดท่าไปใน Unity
แม้ว่าปัจจุบัน Assassin’s Creed Unity จะได้รับการอัปเดตแก้ไข จนกลายเป็นอีกภาคที่ยอดเยี่ยมไปแล้ว แต่ใครหลายคนก็จะมีภาพจำเกี่ยวกับบั๊ก และประสิทธิภาพเกมในช่วงเปิดตัว จนแซวกันมาจนถึงทุกวันนี้ และทำให้ภาค Syndicate นี้ จะเป็นการกลับมาแก้มือ โดยทีมงานที่รับหน้าที่พัฒนาก็คือ Ubisoft Quebec ที่ทำภาค Odysseys ในปัจจุบันนี้นี่เอง
ในตอนมีการรั่วไหลออกมาตั้งแต่ปี 2014 ในชื่อ Assassin’s Creed Victory แต่ตอนนั้นแฟน ๆ ไม่มีใครเชื่อเลยว่ามันจะเป็นเกมใหม่ของซีรีส์ จนกระทั่งช่วงกลางปี 2015 ซึ่งเป็นปีที่ภาคนี้วางจำหน่าย ก็มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ในชื่อภาค Syndicate พร้อมฉากหลังเป็นกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษในช่วงปี 1868 ซึ่งเป็นยุคปลายของการปฏิวัติอุตสาหกรรม และมี Templar อยู่เบื้องหลังศาสนจักรและเข้าควบคุมเมืองเอาไว้
ภาคนี้เป็นภาคที่ทาง Ubisoft ได้เรียนรู้จากความผิดพลาดครั้งใหญ่ของภาค Unity ที่มีความทะเยอทะยานเกินไป จนลืมดูขีดสุดของศักยภาพไม่ว่าจะเป็นของทีมงานเองหรือเครื่องคอนโซลในตอนนั้น จึงเกิดเป็นปัญหาตามมาเป็นจำนวนมาก ในภาคนี้จึงทำการปรับขนาดสเกลเกมให้เหมาะสม ใส่ลงไปด้วยความพอดิบพอดี ทำให้ภาคนี้เป็นภาคที่ค่อนข้างกลมกล่อม และออกมาแก้ตัวจากภาค Unity ได้ดีมาก
โลดแล่นไปในลอนดอน กับเกมเพลย์ที่เน้นการต่อสู้มากยิ่งขึ้น
ถ้าไม่นับระบบ RPG ที่หลายคนไม่ค่อยจะชอบนัก Assassin’s Creed ในภาคนี้ถือว่าเป็นภาคที่หันมาเน้นระบบการต่อสู้ให้สนุกมากยิ่งขึ้น แต่ก็ไม่ทิ้งทางเลือกในการลอบเร้นไป และการลอบเร้นในบางฉากจะทำให้เกมเล่นสะดวกกว่าเดินหน้าไปบู๊แหลกตรง ๆ ซะอีก และยังมีองค์ประกอบของความเป็น Open World เหมือนเดิม ผู้เล่นสามารถผจญภัยไปยังเมือง หมู่บ้าน เขตอุตสาหกรรม แม่น้ำต่าง ๆ ได้อย่างมีอิสระ โดยฉากหลังของภาคนี้คือกรุงลอนดอนวิคตอเรียน และยังมีการแบ่งออกเป็น 7 เขตใหญ่ ๆ
สำหรับภารกิจหลักก็คือการต่อกรกับเหล่า Templar เพื่อทวงคืนอำนาจของกรุงลอนดอน แต่ในภารกิจเสริมนั้นยังมีการออกต่อไปสู้กับแก๊งอื่น ๆ ในลอนดอน เพื่อทวงคืนอำนาจด้วย มีทั้งการยกพวกตีกันเหมือนนักเลงข้างถนน มีการไล่ล่าจากกองตำรวจอังกฤษ และมีฉากมัน ๆ อย่างการขับรถม้าไล่ล่ากัน เรียกได้ว่าใครชอบโลกสไตล์อังกฤษผู้ดี Assassin’s Creed ภาคนี้จะตอบโจทย์มาก ในขณะที่ Movement การเคลื่อนไหวของภาคนี้ หลายคนบอกว่าให้ความรู้สึกเหมือนเล่นเกม Batman Arkham เพราะ Melee Combat ที่คล้ายกัน แถมมี Gadgets และอุปกรณ์ช่วยเหลืออย่างเช่นสลิง ที่เรายิงเพื่อขึ้นไปอยู่บนตึกสูงได้เลย
ในส่วนของการลอบเร้นที่เป็นเอกลักษณ์ของ Assassin’s Creed ด้วยความที่ภาคนี้ยังไม่ใช่ระบบ RPG แบบเต็มตัว ทำให้การลอบเร้นสังหารยังคงทำได้ในภาคนี้ั และภาคนี้ผู้เล่นจะได้เล่นตัวละคร 2 ตัวคือฝาแฝด Jacob Frye และ Evie Frye ที่มีความสามารถค่อนข้างแตกต่างกัน Jacob จะออกแนวนักเลงหัวร้อน เชี่ยวชาญการสู้ระยะประชิด ส่วน Evie จะลอบเร้นเก่ง และใช้สติปัญญาเป็นอาวุธ ในขณะที่นอกจาก Hidden Blade แล้วยังมีอุปกรณ์ช่วยเหลือและอาวุธในยุคอังกฤษมากมาย เช่นสนับมือ ปืนพก ดาบในรูปแบบของไม้เท้า และอื่น ๆ
หากให้พูดกันตรง ๆ แล้ว ภาค Syndicate อาจเป็นภาคที่ผสมผสานกันระหว่างการลอบเร้นและแอ็คชั่นได้อย่างลงตัว และเป็นแอ็คชั่นแบบแอ็คชั่นเพียว ๆ ที่ไม่มีความเป็น RPG เข้ามาเกี่ยว การต่อสู้จะยังคงมีปุ่ม Counter ให้กด สามารถลอบเร้นเข้าโจมตีข้างหลังได้ และท่าลอบเร้นก็เท่มากเสียด้วย รวมไปถึงฉากแอ็คชั่น เมื่อโจมตีศัตรูจนพลังชีวิตหมด ก็จะมีท่า Finisher ต่าง ๆ เข้ามา
โลกภายในเกมที่สวยงามของอังกฤษและยุควิคตอเรียน
ขึ้นชื่อว่าเกมของ Ubisoft เรื่องการทำฉากและโลกภายในเกมของค่ายนี้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเกมอื่น ๆ แม้อาจจะสวยสู้ Far Cry ไม่ได้ก็ตาม แต่ความโดดเด่นของภาค Syndicate คือการนำเสนอกรุงลอนดอนที่สวยงามตามที่มันควรจะเป็น และด้วยความที่เป็ฯยุคปลายของการปฏิวัติอุตสาหกรรม เราจะได้เห็นว่า ตัวเมืองมีทั้่งเขตอุตสาหกรรมที่เต็มไปด้วยคนงาน ชาวบ้านธรรมดาที่ต้องหาเช้ากินค่ำ ไปจนถึงเขตเมืองอันหรูหรา และสัญลักษณ์ประจำประเทศอังกฤษอย่างหอนาฬิกา บิ๊กเบน
รวมไปถึงการใส่ระบบ Pakour เข้ามา และรองรับการออกแบบฉากแบบแพลตฟอร์มที่เราสามารถสังเกตเห็นได้ตั้งแต่เข้าเกมครั้งแรกและเริ่มภารกิจตามหาตัว Ferris ที่เปิดโอกาสให้เราใช้สภาพแวดล้อมของเกมทำทุกอย่างทั้งลอบเร้นหรือสู้กันแบบซึ่ง ๆ หน้ากันไปเลย และเพราะมาถึงของอุปกรณ์ใหม่ ๆ จึงทำให้การเดินทางและผจญภัยไปในลอนดอนนั้น ค่อนข้างราบรื่นและสะดวกสบายกว่าเดิม ที่สำคัญคือเกมนี้มี DLC ที่แฟน ๆ ที่ติดตามเรื่องราวของอังกฤษน่าจะชื่นชอบ กับการตามล่าหาตัวฆาตกรโหดนาม Jack the Ripper
แม้ว่าภาคนี้จะไม่ใช่ภาคที่ดีที่สุด แต่ Assassin’s Creed Syndicate ก็เป็นอีกภาคที่ฟื้นตัวจากความล้มเหลว และทำออกมาได้มาตรฐาน และหากใครชื่นชอบสถาปัตยกรรมสไตล์อังกฤษ บอกเลยภาคนี้ จะเป็นอีกภาคที่คุณไม่ควรพลาด
