BY StolenHeart
5 Jul 19 1:05 pm

เทคนิคและข้อควรรู้สำหรับการเลือก RAM เพื่อการเล่นเกมในปี 2019

9 Views

RAM หรือ Random Access Memory ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้การทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นไปอย่างลื่นไหลและรวดเร็วมากขึ้น โดยเฉพาะการเล่นเกมที่หลายคนโปรดปราน ซึ่งความต้องการของ RAM ขั้นต่ำในเกมต่าง ๆ นั้นเริ่มเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในแต่ละปี แถมยังมีของใหม่รวมไปถึงศัพท์เฉพาะที่หลายคนอาจจะฟังแล้วงง ๆ กันอยู่ วันนี้เราจะมาดูกันว่าสิ่งที่ควรรู้ในการเลือกซื้อ RAM สำหรับเล่นเกมในปี 2019 นั้นต้องดูกันที่อะไรบ้างครับ

ความจุขั้นต่ำ

เรื่องสำคัญอย่างแรกที่เราจะมาดูกันก่อนก็คือขนาดหรือความจุของ RAM แน่นอนว่ายิ่งมากก็ยิ่งดี ซึ่งเป็นความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลงจากยุคก่อนนัก แต่ RAM ขั้นต่ำที่ควรมีนั้นเท่าไหร่ถึงจะพอดี โดยปกติในยุคนี้เกมที่ได้รับความนิยมส่วนใหญ่มักจะกำหนด RAM ที่ต้องการเอาไว้ที่ 8GB เป็นอย่างน้อย เพราะถือเป็นจำนวนที่เหมาะสมกับการใช้งานในปัจจุบัน “ขั้นต่ำ” ของยุคนี้แล้ว

เผื่อหลายคนจะลืมเลือนกันไป ปัจจุบันนี้ระบบปฏิบัติการ Windows ที่เราใช้เกินกว่าครึ่งบน PC นั้นรันที่มาตรฐานแบบ 64-bit กันแทบทั้งสิ้นแล้ว และระบบปฏิบัติการแบบ 32-bit นั้นจะสามารถใช้งาน RAM ในระบบได้ไม่เกิน 4GB ในขณะที่ระบบปฏิบัติการแบบ 64-bit จะไม่มีปัญหาในจุดนี้ เพราะรองรับการใช้งานของ RAM ได้สูงสุดถึง 2TB ในระบบปฏิบัติการ Windows 10 Professional(ส่วนเครื่องแบบ Work Station จะรองรับได้สูงสุดถึง 24TB ใน Windows Server 2016)

เพราะอะไร RAM ขนาด 8GB ถึงเป็นขนาดขั้นต่ำที่ทุกคนควรมี?

เพราะเอาจริง ๆ การใช้งานแบบปกติในระบบปฏิบัติการ Windows 10 แบบ 64-bit นั้น ตัวระบบจะใช้ RAM ไปแล้วเกือบ ๆ 2GB และยิ่งในสมัยนี้ที่ Browser และเว็บไซต์ต่าง ๆ มีข้อมูลที่ต้องจัดการโหลดมากขึ้นกว่าในสมัยก่อนหลายเท่า โดยเฉพาะคนที่ต้องเปิด Tab เพื่อเข้าชมและทำงานในเว็บไซต์ต่าง ๆ แบบผู้เขียนนั้นจะกิน RAM ในระบบไปไม่ต่ำกว่าระดับ 1GB เลยทีเดียว ดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าที่เราควรมี RAM ในระบบเพื่อจัดการรับส่งข้อมูลให้ลื่นไหลและรวดเร็วมากขึ้น รวมไปถึงการเล่นเกมที่คุณจะเห็นความแตกต่างในการโหลดระหว่างเครื่องที่มี RAM 4GB กับ 8GB ได้อย่างชัดเจนทีเดียว

แต่ถ้าหากสามารถอัพเกรดไปถึงระดับ 16GB ได้ก็จะดีมาก ๆ เพราะเราจะสามารถจัดการหลายอย่างได้มากขึ้นโดยไม่รู้สึกว่าเครื่องทำงานช้าลงแต่อย่างใด

โดยเฉพาะผู้ที่ชอบเปิด Browser ในระหว่างเล่นเกมหรือสลับหน้าจอเพื่อทำการ Streaming เกม และยังรับมือกับเกมสุดโหดกินสเป็กได้หลายเกมมากขึ้น เช่น GTA V ที่กิน RAM ในระบบสูงสุดที่ 9GB บวกรวมกับที่ผู้ใช้งานอาจจะเปิด Tab ใน Browser ของตนเองทิ้งไว้อีกก็จะกินเพิ่มขึ้นไปอีก การมี RAM เหลือเฟือในยุคนี้ก็จะช่วยให้สามารถทำงานได้หลายอย่างพร้อมกันด้วยเช่นกัน

และถ้าแบบนี้เราอัพเกรด RAM เป็น 32GB เลยจะดีหรือไม่?

คำตอบก็คือจะไม่เห็นความต่างมากนัก เพราะเอาจริง ๆ เครื่อง PC ในยุคนี้โดยปกติจะไม่มีทางใช้ RAM ในระบบจนถึงระดับเกิน 16GB อย่างแน่นอน ยกเว้นว่าจะเป็นเครื่อง PC ที่เอามาใช้งานตัดต่อวิดีโอระดับ 4K หรือนักวาดทำกราฟฟิกที่ทำงานในขนาด 11×16 ทีละหลาย ๆ ภาพพร้อมกัน และที่สำคัญคือยังมีเกมอยู่ไม่มากที่ต้องการ RAM ในระบบมากขนาดนั้น ถ้าจะให้การเล่นเกมลื่นขึ้นแบบเห็นชัด ๆ ก็ควรไปอัพเกรด CPU หรือการ์ดจอจะเห็นผลมากกว่า แถมราคา RAM แบบ 32GB ในยุคนี้ยังแพงเกินไปอยู่ดี

สรุปโดยรวมก็คือ RAM ขั้นต่ำที่เหมาะสมสำหรับ PC ในยุคนี้ควรมากกว่า 8GB ขึ้นไป และดีที่สุดก็คือ 16GB นั่นเองครับ

Dual Channel หรือ Quad Channel ดีกว่ากัน

โดยปกติแล้ว RAM ที่เราเห็นวางขายตามท้องตลาดส่วนใหญ่นั้นจะมาแบบเป็นคู่ ซึ่งทำให้เครื่อง PC ส่วนใหญ่นั้นนั้นมักจะเสียบ RAM สองตัวเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ซึ่งมันจะเป็นการทำงานแบบ Dual Channel ที่เร็วกว่าการเสียบ RAM แค่ตัวเดียวเดี่ยว ๆ นั่นเอง

แล้วถ้าหากเราอยากจะอัพเกรดเครื่องด้วยการซื้อ RAM มาใส่อีกสองตัว กลายเป็นสี่ตัวได้หรือไม่?

คำตอบนี้ก็อยู่ที่ว่าเมนบอร์ดของเราหรือ CPU ที่ใช้นั้นรองรับการทำงานดังกล่าวนี้หรือไม่ แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว CPU ระดับ Desktop ที่ใช้เล่นเกมหรือทำงานทั่วไปในยุคนี้จะรองรับการทำงานแบบ Dual Channel เสียเป็นส่วนมาก ถ้าจะเอาที่รองรับแบบจริงจังก็คือ CPU ระดับ Workstation ขึ้นไปแทบทั้งสิ้น

ซึ่งก็มีการทดสอบดูแล้วว่าเครื่อง PC ที่มีเมนบอร์ดที่รองรับการทำงาน Dual Channel จะสามารถใช้ RAM แบบ Quad Channel ได้หรือไม่ คำตอบก็คืออาจจะได้ แต่ก็ไม่แนะนำ เพราะเมนบอร์ดในหลายรุ่นนั้นอาจไม่รองรับการทำงานในแบบ Quad Channel รวมถึงตัว CPU เองก็ไม่สามารถดึงประสิทธิภาพในการทำงานออกมาแบบ Quad Channel ได้อีกด้วย

ถ้าจะเลือก RAM มาใช้งานแบบทั่วไป เอาแค่แบบ Dual Channel ก็เพียงพอแล้ว และที่ต้องจำเอาไว้คือ RAM แบบ 8GB สองแผงที่ทำงานแบบ Dual Channel นั้นจะแรงกว่า RAM 16GB แถวเดียวเสมอครับ

RAM Bus และ Latency

เรื่องสุดท้ายที่หลายคนอาจจะไม่ได้สังเกตกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายคนเห็นแล้วมักจะตั้งคำถามทันที ว่าทำไม RAM รุ่นนี้ถึงได้แพงนักหนา ทั้งที่ความจุเท่ากัน นั่นก็คือค่า RAM Bus นั่นเอง ซึ่งค่า Ram Bus นี้จะถูกตั้งเป็นตัวเลขอย่าง 2400MHz หรือ 3000MHz ซึ่งแน่นอนว่าค่านี้ยิ่งเยอะ ความเร็วในการรับส่งข้อมูลก็มากตามไปด้วยเช่นกัน และการโหลดข้อมูลต่าง ๆ ก็จะเป็นไปอย่างลื่นไหลมากขึ้นด้วย

แต่มันก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป ยังมีปัจจัยอื่นที่ทำให้ RAM ทำงานได้เต็ม Bus แบบที่ควรจะเป็น เช่น Mainboard และ CPU ที่เป็นตัวแปรสำคัญอีกชิ้น ถ้าหาก Mainboard รองรับ Bus ได้สูงสุดที่ 2666MHz แต่ใส่ RAM Bus 3000MHz ไป มันก็จะวิ่งได้แค่ 2666MHz เท่านั้น รวมไปถึง CPU แต่ละรุ่นก็จะรองรับ RAM Bus สูงสุดได้ไม่เท่ากันอีกด้วย ซึ่งถามว่ามันทำงานได้หรือไม่ มันก็ทำได้ แต่ก็จะไม่เร็วอย่างที่ควรจะเป็นนั่นเอง

คลิปเปรียบเทียบการทำงานระหว่าง RAM Bus 800MHz กับ 1600MHz ว่าเร็วหรือช้าต่างกันแค่ไหน

อีกเรื่องต่อมาก็คือค่า Latency ซึ่งโดยปกติแล้ว RAM ในแต่ละรุ่นจะมีการประกาศค่า CL หรือ CAS Latency ที่เป็นค่าความหน่วงในการเข้าถึงข้อมูลนั้น ๆ (เหมือนกับ Ping หรือความหน่วงในการกดปุ่มป้อนคำสั่งในเกมนั่นแหละ) โดยส่วนมากจะมีการบอกเป็นรหัสเช่น 16-18-18 เป็นต้น ยิ่งถ้าค่า CL นี้ยิ่งน้อยก็จะทำให้การเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ นั้นเร็วขึ้นตามไปด้วย แต่ราคาก็จะสูงขึ้นไปด้วยเช่นกัน

สรุปง่าย ๆ ก็คือเราควรดูว่า Mainboard ของเรานั้นรองรับ RAM Bus สูงสุดที่เท่าไหร่ เพื่อที่จะได้ไม่เสียดายเงินเวลาซื้อ RAM ชุดใหม่มาอัพเกรดแล้วรู้สึกว่าไม่เร็วอย่างที่คิด รวมไปถึงค่า CL ที่สามารถพิจารณาดูตามงบได้ ถ้าอยากได้ความเร็วในการโหลดที่มากขึ้นก็เลือกที่ RAM ที่มีค่า CL ต่ำ ๆ ด้วยจะดีที่สุดครับ

จริง ๆ แล้วเรื่องของ RAM นั้นยังมีรายละเอียดปลีกย่อยในเชิงลึกอยู่อีกมากมาย แต่ตัวผู้เขียนนั้นขอยกจุดที่ควรสังเกตเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจมากขึ้น แต่ท้ายที่สุดการเลือก RAM นั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวของผู้ใช้งานเองว่าต้องการแบบไหนและขึ้นอยู่กับงบประมาณด้วยครับ

SHARE

Putinart Wongprajan

เค้ก - Content Writer

Back to top