BY Nuttawut Apiratwarakul
22 May 25 11:59 am

Wanderstop เกมบริหารร้านน้ำชามหัศจรรย์ ให้คนบ้างานรู้จักปล่อยวางและใจดีกับตัวเอง

107 Views

ท่ามกลางเกมยักษ์ใหญ่ที่ดาหน้าวางขายกันแบบต่อเนื่องไม่ให้ชาวเกมเมอร์ได้พักได้ผ่อน (ไปจนถึงได้นอน) ก็มีเกมเล็กมากมายที่ปล่อยออกมาและอาจถูกกระแสเกมใหญ่กลบจนไม่ถูกพูดถึงเท่าที่ควร ซึ่ง Wanderstop เป็นหนึ่งในนั้น

เกมนี้เล่าเรื่องราวของ Alta นักสู้สาวที่ฝึกฝนตัวเองมาตลอดไม่เคยหยุดพัก เพื่อให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น เธอจึงฝึกหนักกว่าใครมานานหลายปี นั่นทำให้เธอไม่แพ้ใครในการประลองเป็นเวลาสามปีครึ่ง จนกระทั่งอยู่ ๆ วันหนึ่งเธอก็แพ้ และหลังจากนั้นก็สะกดคำว่าชนะไม่เป็นอีกเลย

นั่นทำให้เธอตัดสินใจเดินทางเข้าไปในป่าลึก ที่หนึ่งในอดีตนักสู้ที่แข็งแกร่ง อย่าง Master Winter อาศัยอยู่ ด้วยความต้องการที่จะให้อดีตนักรบผู้นี้ฝึกฝนเธอให้หนัก ยิ่งหนัก ยิ่งทรมาน ยิ่งดี และหวังว่ามันทำให้เธอกลับมาชนะได้อีกครั้ง แต่เมื่อวิ่งเข้ามาในป่าเรื่อย ๆ ร่างกายของเธอก็อ่อนแรง ดาบคู่ใจที่ครอบครองมานานหลายปีอยู่ ๆ ก็ยกไม่ขึ้น จนในที่สุดก็สลบไปในป่า เมื่อได้สติกลับมาก็พบว่าเธอถูกพามายังร้านน้ำชาลึกลับกลางป่า ชื่อ Wanderstop ที่มีชายลึกลับร่างใหญ่แต่ใจดีชื่อ Boro เป็นคนดูแลร้าน

ด้วยเหตุผลบางอย่าง Alta ไม่สามารถยกดาบขึ้นได้ ในขณะที่คนอื่นกลับยกมันได้สบาย ๆ และหากเธอวิ่งกลับเข้าไปในป่าเธอจะสลบไปเสมอ Boro จึงชวนเธอให้มาทำงานที่ร้านน้ำชาของเขา เป็นการ “พักผ่อน” จนกว่าเธอจะพักเต็มอิ่ม แล้วถึงตอนนั้นเธอน่าจะมีแรงยกดาบแล้วเดินทางต่อไปฝึกตามความต้องการของตนเอง

Wanderstop ดูเผิน ๆ ด้วยภาพโปรโมทเกมและเนื้อหาของเกมโดยย่อ ก็ดูเหมือนจะเป็นเกมแนว Cozy บริหารร้านน้ำชาทั่วไป เล่นสบาย ๆ ถ้าหากว่ามันไม่ได้มีชื่อของ Davey Wreden เป็นทั้งคนเขียนเรื่องและผู้กำกับเกมล่ะก็นะ

หากใครไม่รู้จักชื่อของ Davey Wreden ก็ต้องขอเท้าความกันนิด ว่าเขาคือผู้สร้าง The Stanley Parable และ The Beginner’s Guide โดยเฉพาะ The Stanley Parable ที่ในตอนนั้นสร้างชื่อให้เขาโด่งดังขึ้นมา ด้วยวิธีการตั้งคำถามกับเจตจำนงเสรีในโลกของเกม รวมไปถึงตลกร้ายที่จิกกัดอะไรต่อมิอะไรในเกมแบบต่าง ๆ ซึ่งการที่เขามีชื่อเป็นผู้เขียนและผู้กำกับเกมนี้ ก็น่าจะทำให้ใครหลายคนคาดหวังเรื่องราวในสไตล์ที่แฝงนัยบางอย่างและการยั่วล้อที่ลึกซึ้ง

…แต่เปล่าเลย เกมนี้มันไม่ได้มีประเด็นอะไรซับซ้อนเลย มันพูดถึงเรื่องราวที่เรียบง่าย เฉกเช่นเดียวกับ Gameplay ที่เอาตรง ๆ ก็ไม่ได้เป้าหมาย มี Progression หรือของรางวัลที่ชัดเจน ไม่ได้มีลูกค้าหมุนเวียนกันมาสั่งน้ำชามากมาย ให้เราได้เก็บเงินเอาไปพัฒนาร้าน

ไม่เลย Alta แค่ไปเก็บใบชา ปลูกผลไม้ที่จะมาใส่ในชา รอคอยลูกค้าที่ไม่รู้จะมาเมื่อไหร่ ระหว่างนั้นก็ไม่ได้มีอะไรให้ทำ จะไปเล่นกับนกก็ได้ ไปกวาดไปใบไม้ก็ได้ ไปตัดเล็มต้นไม้ก็ได้ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลต่ออะไรเลย เป็นแค่การพักผ่อนอย่างไร้จุดหมาย

ตัวเกมจะแบ่งออกเป็น 5 Chapters ที่ในแต่ละ Chapters เราจะได้เจอกับตัวละครราว 2 – 3 ตัว ที่ล้วนมีเอกลักษณ์และเรื่องราวการเดินทางของตัวเอง อย่างที่บอกไป เกมนี้ไม่ได้มีลูกค้าแวะมาสั่งน้ำชาตลอด ซึ่งตัวละครที่แวะเวียนมาร้านน้ำชาก็เช่นกัน ไม่ใช่ทุกคนจะต้องมาสั่งชา บางคนอาจอยากนั่งพักเฉย ๆ สิ่งเหล่านี้ทำให้ Alta ในตอนแรกหงุดหงิดอย่างมาก ว่ามาร้านน้ำชาจะไม่สั่งชาได้อย่างไร แสดงให้เห็นว่าแม้จะเป็นการมาพักผ่อน แต่ Alta ก็ยังคงยึดมั่นในหน้าที่ และต้องการเสิร์ฟชาที่ดีที่สุดอยู่ดี

และเมื่อพวกเขาสั่งชา ก็อาจจะมีความคลุมเครือบ้าง เพราะบางคนก็ไม่รู้ว่าตัวเองอยากจะดื่มอะไร หรือบางคนมีคำสั่งที่เฉพาะเจาะจงมากก็มี แต่ผู้เล่นก็ไม่ต้องกังวล เพราะเกมนี้ไม่ได้มีระบบคะแนนหรือเงินที่ได้จะน้อยลงหากทำชาผิด ทำผิดก็แค่ทำใหม่ (เอาจริง ๆ คือ เกมนี้ไม่มีระบบเงินด้วยซ้ำ ไม่มีการอัปเกรตร้านเลย)

พวกเขาจะคอยอย่างใจเย็น ไม่มีจำกัดเวลา เราสามารถไปทำอย่างอื่น แล้วอยากกลับมาเสิร์ฟชาให้พวกเขาเมื่อไหร่ก็ได้

ถ้าหากจนแล้วจนรอด เราคิดไม่ออกว่าต้องใช้วัตถุดิบอะไร ในร้าน Wanderstop มีห้องสมุดที่ชั้นสองของร้าน มีหนังสือชื่อ Book of Answer (หนังสือแห่งคำตอบ) มันจะเฉลยวัตถุดิบที่ต้องใช้หมดเลย เรียกได้ว่ามันคือหนังสือเฉลยเกมก็ได้ แล้วตัวเกมก็ไม่ลังเลที่จะบอกเราถึงหนังสือเล่มนี้แต่เนิ่น ๆ ผ่าน Boro แต่ตัว Boro ก็บอกว่า ปกติตัวเขาไม่เปิดหนังสือเล่มนี้ เพราะความสนุกมันอยู่ที่การที่เราได้ลองผิดลองถูก แต่เราจะเปิดดูก็ได้ไม่มีใครมาว่าอะไร

ไม่มีทั้งระบบ Progression ไม่มีระบบเงินมาอัปเกรตร้าน ไม่มีของรางวัลที่ชัดเจน แม้กระทั่งหากใครเป็นสายเก็บ Achievement ก็ไม่มีเงื่อนไขอะไรให้ทำ เพราะอยู่ ๆ มันก็เด้งขึ้นมาของมันเอง (แต่จบเกมได้ครบแน่นอน) เป็นเกมที่ทำให้เราได้พักขนาดไหนก็คิดดู

หากเรานึกถึงเกมประเภท Cozy Game เกมชิว ๆ เล่นสบาย ๆ เราจะนึกถึงอะไร? เกมที่ภาพน่ารักสบายตา ที่มีระบบให้เราได้บริหาร เล่นแบบไม่ต้องคิดอะไร แต่ภายใต้คำว่า Cozy Game นั้น คนเล่นอย่างเรา ๆ เล่นกันชิวจริงหรือเปล่า? สุดท้ายมันก็กลับมาที่ระบบ Progression ให้เราปลดล็อคของใหม่ที่ดีขึ้น ของแต่งต่าง ๆ การบริหารร้าน / บ้าน / เมือง ออกมาให้ดี สถานะตัวละครหรือเพื่อนของเราต้องดี กลายเป็นว่าเกมที่คิดว่าจะเล่นสบาย ๆ หากไปถึงจุดหนึ่งแล้วมันก็รู้สึกไม่ได้สบายสักเท่าไหร่ ด้วยองค์ประกอบหลาย ๆ อย่าง

แต่ Wanderstop ทำให้ตัวเองต่างออกไป แถมยังยั่วล้อผู้เล่นอย่างเราที่พยายามทำให้การ “พัก” ของ Alta ออกมาดีที่สุด พยายามแต่งร้านให้สวยงาม พยายามกวาดใบไม้ทั้งหมด เพราะเมื่อเราเปลี่ยน Chapter สภาพของสิ่งแวดล้อมรอบร้านจะเปลี่ยนไป ทุกสิ่งที่ Alta เคยทำจะถูก Reset ใหม่หมด แน่ล่ะ ไม่ใช่แค่ผู้เล่นที่ตกใจ เพราะ Alta ก็ตกใจเหมือนกัน อุตส่าห์ทำร้านให้ดี สุดท้ายทั้งหมดก็หายไปหมด แต่สุดท้ายเราก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากปล่อยวาง

เราอาจจะคิดว่าแล้วแบบนี้การแต่งร้านก็ไม่มีประโยชน์สิ Alta ก็คิดแบบเดียวกัน แต่เกมก็มีเหตุผลเรียบง่ายที่อธิบายผ่าน Boro ว่า “การที่สุดท้ายแล้วทุกอย่างจะหายไป ไม่ได้แปลว่าเราจะไม่ทำให้ช่วงเวลานี้สวยงามไม่ใช่หรือ?”

หรือถ้าใครคาดว่าตัวละครแต่ละตัวมีภูมิหลัง มีปมในใจที่เราให้ Alta ช่วยเหลือ มีเรื่องราวตอนจบของตัวเองที่น่าประทับใจ ก็ต้องบอกว่า เสียใจด้วย เพราะตัวละครราว 90% ของเกมนี้ ไม่ได้มีการเคลียร์ปมในใจอะไรแบบเกมอื่น ๆ หรอก โอเค ตัวละครในเกมนี้ทุกตัวน่าสนใจก็จริง แต่สุดท้ายเราจะได้เจอพวกเขาส่วนใหญ่แค่ครั้งเดียว หรือก็คือเจอกันแค่ใน Chapter เดียว

ทุกตัวมีเรื่องราวที่น่าสนใจ เช่น Gerald พ่อลูกหนึ่งที่อยากเป็นอัศวินเพื่อให้ลูกชายประทับใจ

เขาออกเดินทางอย่างที่อัศวินควรจะทำ แต่ก็ดันไปโดนคำสาปของแม่มดในป่าเข้าโดยที่ตัวเองไม่รู้ถึงอันตรายของมัน หรือจะเป็นเหล่าพนักงานออฟฟิศในชุดสูทอย่าง Jerry, Larry, Terry และ Harry ที่ถามหากาแฟ และที่อยู่ของห้อง Boardroom เพื่อเข้าไปพรีเซ้นรายงานที่ไม่เมคเซ้นแม้แต่น้อย ยังไม่นับตัวละครบางตัวที่ Alta ยังไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ แต่ดูแล้วคงมีเรื่องราวที่น่าสนใจแน่ ๆ เช่น ลูกค้าที่ดูเหมือนค้างคาว จากดินแดนห่างไกลชื่อ Often Farlands ที่ผู้คนมีกฏเคร่งครัดนับพันข้อ และเธอไม่เคยดื่มชา จึงอยากลองดื่มดู

ทุกตัวละครล้วนมีเรื่องราวที่น่าสนใจ แต่สุดท้ายเราจะพบพวกเขาได้แค่ครั้งเดียว เมื่อเปลี่ยน Chapter เราจะไม่เจอพวกเขาอีก เราไม่รู้เลยว่าสุดท้ายแล้ว Gerald หาทางถอนคำสาปแล้วกลับไปหาลูกได่หรือไม่ เราไม่รู้ว่า Jerry, Larry, Terry และ Harry มาจากไหนกันแน่

แล้วทำไมพรีเซ้นของพวกเขาถึงแปลกขนาดนั้น เราไม่รู้ว่าสาวน้อยค้างคาวจาก Often Farlands ทำไมถึงเดินทางมาอยู่ที่นี่ สิ่งเหล่านี้แม้แต่ตัว Alta เองก็ยังอดถาม Boro แทนผู้เล่นไม่ได้ในครั้งแรกที่มันเกิดขึ้น ว่าเธอยังไม่ได้ช่วย Gerald เลย เรื่องราวของคนเหล่านี้เหมือนมันยัง “ไม่จบ” แต่ตัวเกมก็ตอบเพียงว่า นั่นคือการเดินทางของพวกเขา เราทำอะไรไม่ได้แล้ว เราเจอกันแค่ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น และเราเองก็ยังมีการเดินทางของเรา

แม้กระทั่งปมของ Alta เองที่จนสุดท้ายแล้ว ตัว Alta เองก็ยังรู้สึกเหมือนมันยังไม่จบ การเดินทางของเธอตลอดทั้งเกมมันไม่ได้ทำให้ความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับเธอหายอย่างถาวร แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้เธอได้ “เห็น” และนั่นเป็นก้าวแรกที่ดีในการเริ่มต้นแก้ไขมัน ซึ่งในตอนจบของเกมก็ไม่ได้มีบทสรุปของ Alta ที่ชัดเจน แต่เกมจะบอก Alta (และเรา) ผ่าน Boro ว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาเชื่อว่า Alta จะทำการตัดสินใจที่ดี แต่นั่นก็เป็นเรื่องของอนาคต ที่ยังไม่ต้องรีบร้อนคิดตอนนี้

แม้ตัวเกมจะพูดถึงความบ้างานของ Alta ที่ต้องการทำทุกอย่างให้ออกมาดีที่สุด และมองว่าการพักเป็นการปล่อยเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ การที่ไม่มีอะไรทำเป็นการเสียเวลา เรียก ๆ ว่า เธอไม่รู้ว่าการพักคืออะไร เพราะพอถึงจุดหนึ่งการพักก็เป็นเหมือนหน้าที่ไปด้วยเสียอย่างนั้น

ซึ่งสุดท้ายแล้วการเดินทางของเธอก็จะค่อย ๆ สอนเธอให้รู้จักว่าการพักคืออะไร แต่นอกจากเกมจะพูดถึงเรื่องความบ้างานผ่านตัว Alta ที่เป็นใจความสำคัญแล้ว เกมยังมีข้อความอื่น ๆ ที่อยากสื่อถึงผู้เล่น นั่นคือ การปล่อยวาง การอยู่กับปัจจุบัน และการใจดีกับตัวเอง

ทุกครั้งที่เกมเปลี่ยน Chapter ทุกอย่างจะถูกรีเซ็ตใหม่ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุม เปรียบเหมือนปัจจัยต่าง ๆ ที่เราควบคุมไม่ได้ การพบเจอกับตัวละครต่าง ๆ ที่สุดท้ายแล้วเราก็ไม่ได้รู้เรื่องราวของพวกเขาทั้งหมด

เราที่ชินกับเกมที่ต้องบอกทุกอย่าง เฉลยทุกปมกับเรา หรือเราต้องมี Progression เห็นความก้าวหน้าของตัวเองในเกม Wanderstop จะบอกให้เราปล่อยวางสิ่งเหล่านั้นให้ผ่านไป ในขณะเดียวกันก็ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันที่ดำรงอยู่ ชื่นชมความสวยงามของมัน มองดูรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เปลี่ยนไป แล้วจดจำความสวยงามของมันเอาไว้ และสุดท้ายสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การใจดีกับตัวเอง ให้ตัวเองได้พักบ้าง ให้ตัวเองได้มีเวลาหยุดหายใจ ไม่ต้องรีบร้อนตลอดเวลา เมื่อถึงเวลาที่พร้อมก็ค่อยลุยต่อ

หากใครที่อ่านมาถึงตรงนี้ ก็คงจะเหมือนเหล่าลูกค้าที่แวะเวียนผ่านมายังร้านน้ำชา Wanderstop เรามาเพื่อพบเจอกันในชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะแยกย้ายเดินไปตามเส้นทางของตัวเอง ที่เราต่างไม่ได้ไปด้วยกันจนสุดทาง

ทุกคนมีเรื่องราวของตัวเอง ทุกคนมีความคาดหวัง ทุกคนมีความ “บ้างาน” ในแบบของตัวเอง จนบางครั้งเราอาจหลงลืมว่าการพักผ่อนบ้างก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย การชมความสวยงามของสิ่งรอบข้างบ้างไม่ใช่เรื่องผิด การลองผิดลองดูก็ไม่ใช่เรื่องน่าอาย สำหรับใครที่พยายามในทุก ๆ วัน คุณเก่งมากแล้ว แต่ลองหาโอกาสเล็ก ๆ ปล่อยความคาดหวังที่พันธนาการตัวเองลงสักพัก ปล่อยใจให้ล่องลอยแบบไม่มีจุดหมายดูบ้าง ปล่อยให้ตัวเองได้ซึมซับรสชาติของการไม่มีอะไรทำและดูน่าเบื่อดูบ้าง และสุดท้าย…ก็อย่าลืมใจดีกับตัวเองบ้าง

บทความโดย – เพิ่มบุณศ์ อักษรดี

SHARE

Nuttawut Apiratwarakul

โน้ต - Co-Founder / Editor-in-chief

Back to top