BY KKMTC
10 Oct 22 6:00 pm

Need for Speed: ProStreet เกม Racing ภาคแหวกแนว จากแข่งรถใต้ดินสู่การแข่งถูกกฎหมาย

215 Views

อย่างที่หลายคนทราบกันดี Need for Speed เป็นตระกูลเกมแข่งรถของ EA ที่อยู่คู่ชาวเกมเมอร์มานานหลายปี โดยแฟน ๆ ทุกคนล้วนมีเกม NFS ภาคในดวงใจที่แตกต่างกัน แต่มีเกมภาคหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยถูกพูดถึงกันเท่าไหร่ นั่นคือ Need for Speed: ProStreet เกมภาคที่ฉีกแนวคิดจากธีมแข่งรถแบบผิดกฎหมายอย่างสิ้นเชิง

รู้จัก NFS: ProStreet หนึ่งในเกม NFS ที่พยายามฉีกแนวจากของเดิม

Need for Speed คือเกม Racing ที่มีชื่อเสียงเรื่องการนำเสนอ “Illegal Street Racing” การแข่งรถบนท้องถนนในโลกใต้ดิน หรือแบบผิดกฎหมายมานาน นับตั้งแต่ NFS ภาค Underground, Most Wanted และ Carbon ทุกคนล้วนมีความประทับใจในตัวเกมดังกล่าว เพราะมีธีมเน้นการแข่งรถแบบผิดกฎหมาย ซึ่งแม้เกมอื่น ๆ จะพยายามตามเทรนด์ NFS มากแค่ไหน สุดท้าย ก็ไม่มีเกมไหนสามารถสู้คุณภาพ และสนุกสนานเท่ากับเกมตระกูลนี้ได้

แต่แน่นอน การผลิตเกมแข่งรถแบบผิดกฎหมายซ้ำ ๆ หลายภาค ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เกมเมอร์ หรือนักพัฒนาเกมบางคน จะมีความรู้สึกเอือมระอากับธีมเดิม ๆ เหมือนกับเกมตระกูล Call of Duty ที่เปลี่ยนหันมาทำเกม FPS ธีมสงครามยุคปัจจุบัน เนื่องจากแฟน ๆ เบื่อหน่ายกับเกมยิงสงครามโลกครั้งที่สอง

อ้างอิงจาก Andrew Hahn โปรดิวเซอร์ของทีมพัฒนาเกม EA Black Box สาเหตุหลักที่ NFS: ProStreet เปลี่ยนธีมเป็นเกมแข่งรถแบบถูกกฎหมาย เพราะในช่วงปี 2006-2007 ตอนนั้นประเทศแคนาดา มีการปราบปรามการแข่งรถผิดกฎหมายอย่างหนัก ด้วยการเพิ่มบทลงโทษให้รุนแรงขึ้น ตั้งแต่สั่งปรับเงินถึง 10,000 เหรียญฯ, ถูกยึดใบขับขี่ห้ามขับรถ 2 ปีเป็นอย่างต่ำ และรถยนต์จะถูกยึดโดยทันที หากมีความผิดจริง

need for speed most wanted

ด้วยกฎหมายที่เข้มงวดมากขึ้น ทำให้นักแข่งหลายคน เริ่มตีออกห่างจากการแข่งรถบนท้องถนน แล้วหันมาแข่งรถแบบถูกกฎหมายมากขึ้น จนเกิดเป็นอีเวนต์ Meeting ขนาดเล็ก หรืออีเวนต์ Festival เน้นการแข่งรถที่มีขนาดใหญ่ เนื่องจาก NFS เป็นเกมที่ติดตามเทรนด์ Car Culture มาโดยตลอด ทีมพัฒนาเกมจึงตัดสินใจลองเปลี่ยน NFS ให้กลายเป็นเกมแข่งรถแบบถูกกฎหมายสักภาคหนึ่ง ซึ่งสุดท้าย ก็ได้ถือกำเนิดเป็นเกมภาค ProStreet ในที่สุด

เนื่องจาก ProStreet เป็นการแข่งรถแบบถูกกฎหมาย ก็หมายความว่าภาคนี้ไม่มีระบบการหลบหนีจากตำรวจเหมือนภาค Most Wanted กับ Carbon, ไม่มีแผนที่ Open-World และไม่ต้องหลบรถที่สัญจรไปมา ทำให้การแข่งขันท้าประลองความเร็วในภาค ProStreet เปรียบเสมือนเป็น “Proving Ground” สนามสำหรับท้าพิสูจน์ระหว่างนักแข่งด้วยกันเองแบบแฟร์ ๆ ไม่มีตำรวจมาก่อกวน ไม่มีรถสัญจรไปมาที่สร้างความรำคาญ ผู้แพ้ชนะวัดกันที่ฝีมือจริง ๆ ไม่มีโชคมาเข้าข้าง

Need For Speed Prostreet (1)

แน่นอน เนื่องจาก ProStreet เป็นเกม NFS ภาคแรกที่ลงให้กับเกมคอนโซล PlayStation 3 กับ Xbox 360 ทีมงาน EA Black Box จึงอาศัยความทรงพลังของฮาร์ดแคร์ในเกมคอนโซลยุคใหม่ ผลักดันคุณภาพกราฟิกโดยรวมให้มีรายละเอียดสมจริงทั้งสภาพแวดล้อม โมเดลรถยนต์ พร้อมออกแบบฟิสิกส์การขับรถแบบใหม่ ที่เป็นการผสมผสานกันระหว่างระบบการขับรถแบบสมจริง (Simulation) และการขับรถสไตล์อาร์เคดเน้นความมันเป็นหลัก (Arcade)

รวมไปถึงรถยนต์แต่ละคัน เริ่มมีการแบ่ง Tier ประสิทธิภาพที่ชัดเจนมากขึ้น และเพิ่มข้อจำกัดว่ารถที่ขับเคลื่อนด้วยล้อหน้า (FWD) จะไม่สามารถเข้าแข่งขันในรายการดริฟต์ได้อีกต่อไป ซึ่งก็ถือว่าเรื่องสมเหตุสมผล เพราะในชีวิตจริง รถขับเคลื่อนด้วยล้อหน้ามันไม่เหมาะกับการดริฟต์ตั้งแต่แรกแล้ว

สุดท้าย NFS: ProStreet ได้ยกระดับระบบการอัปเกรดรถยนต์ ให้ผู้เล่นสามารถเอาลวดลายมาแปะทับซ้อนเลเยอร์หลายชั้นจนกลายเป็นลายรถยนต์สุดเอกลักษณ์, การต่อเติมพาร์ท จะส่งผลต่ออากาศพลศาสตร์ของรถ (Aero Dynamic) และมีตัวเลือกการจูนรถ ที่หลากหลายออปชั่นมากกว่าเกมภาคก่อนอย่างเห็นได้ชัดเจน

Need For Speed Prostreet (3)

NFS: ProStreet ออกวางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อปี 2007 ในระบบ PlayStation 3, PlayStation 2 และ Xbox 360 แล้วตามด้วยเวอร์ชัน PC, Nintendo Wii และเกมพกพา PSP, Nintendo DS ซึ่งออกวางขายในภายหลัง

แม้เกมภาค ProStreet ทำยอดขายได้รวมทั้งหมดราว 5 ล้านชุดทั่วโลก ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลขยอดขายที่สูงมากสำหรับเกมประเภทแข่งรถ แต่ก็ยังไม่เป็นไปตามที่ EA คาดหวังไว้ รวมถึงเกมดังกล่าว มีกระแสตอบรับจากผู้เล่นที่มีทั้งคนชอบ กับคนไม่ชอบผสมปะปนกัน ส่งผลทำให้มันกลายเป็นหนึ่งในเกม NFS ที่มีเสียงแตก และไม่ค่อยถูกพูดถึงในสังคมเกม Racing สักเท่าไหร่นัก

Need For Speed Prostreet (4)

เนื่องจากเกมเมอร์หลายคนยังติดภาพลักษณ์ว่า NFS ต้องเป็นเกมแข่งรถแบบผิดกฎหมาย แถม ProStreet ได้ตัดฟีเจอร์ระบบหนีจากตำรวจ, แผนที่ Open-World และใช้ระบบการขับรถที่สมจริงกว่าภาคก่อน ก็ทำให้แฟน ๆ บางส่วนตัดสินใจมองข้ามภาคนี้ไป เพราะเป็นเกมที่ไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของพวกเขาได้

นอกจากนี้ เพราะเกมภาค ProStreet ไม่มีแผนที่ Open-World กลายการแข่งรถแบบถูกกฎหมายอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้การแข่งส่วนใหญ่ ล้วนต้องลงในสนามแบบปิด ด้วยจำนวนสนามแข่งที่ค่อนข้างมีจำกัด และการออกแบบสนามไม่ได้มีดีไซน์หลากหลายเหมือนภาคก่อน ๆ ทำให้เกมมีความ Repetitive (ซ้ำซาก) จึงไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่แฟน ๆ บางคนมองว่าเกมนี้เล่นแล้วรู้สึกน่าเบื่อ ไม่สนุกเหมือนภาคก่อน

แต่หากมองข้ามข้อเสียต่าง ๆ และความคาดหวังของแฟน ๆ ไปได้ ความจริงแล้ว ภาค ProStreet ก็จัดว่าเป็นเกมดีภาคหนึ่งที่สมควรได้รับการกล่าวถึงมากกว่านี้ เพราะมีการนำเสนอสิ่งใหม่ ๆ มากมายที่แตกต่างจากภาคก่อนอย่างเห็นได้ชัด ภาพกราฟิกก็ถือว่างดงามสำหรับเกมปี 2007 รวมถึงระบบการควบคุมรถแบบใหม่ ก็ถือว่าออกแบบให้มีความรู้สึกระหว่างการขับที่ดี หากปรับตัวเข้ากับเกมได้แล้ว และแน่นอน นี่อาจเป็นเกม Need for Speed ที่มีความท้าทายที่สุด เพราะรถของเราสามารถพังเสียหายได้ในทุกโหมดการแข่ง

Need For Speed Prostreet (5)

Speedtrap Race ยกให้เป็นโหมดเกมที่ท้าทาย และเร้าใจที่สุดในภาค ProStreet 

ถึงอย่างนั้น แม้ ProStreet ไม่ใช่ภาคที่แฟน ๆ บางส่วนต้องการ แต่เกมเมอร์หลายคน ก็กล่าวชื่นชมในความพยายามของ EA กับ Black Box ที่อยากจะลองสร้างสิ่งใหม่ ๆ ที่แตกต่างจากของเดิม แม้ไม่ใช่เกม NFS ที่ดีที่สุด แต่เป็นสัญญาณที่บอกว่าเกมตระกูลดังกล่าว สามารถพัฒนาต่อยอดให้กลายเป็นเกมแข่งรถสไตล์ใหม่ ๆ ในอนาคต และจะไม่ยึดติดกับของเดิมตลอดไป

Achina Limanwat

เค - Content Writer

Back to top