หากในปัจจุบัน เกมแนวเล่นง่าย เข้าใจง่าย กดเพียงไม่กี่ปุ่มก็สนุกได้อย่าง Vampire Survivors กำลังมาแรงแล้วล่ะก็ ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ไม่นานนัก ก็เคยมีเกมที่เราสามารถสนุกกับมันได้ ด้วยการคลิกเมาส์เท่านั้น และไม่ใช่แค่เกม Idle หรือคลิกอัปเกรดทั่วไป เพราะเราจะต้องเป็นสุดยอดปรมาจารย์วิทยายุทธ์ ที่ต้องใช้ทั้งความแม่นยำ ความเร็ว และฝีมือในการเล่นกันแบบจริงจังเลยทีเดียว และเกมนั้นคือ One Finger Death Punch
ผลงานแจ้งเกิดของ Silver Dollar Game
One Finger Death Punch เป็นเกมอินดี้จากฝีมือของ Jonathan Flook ผู้ก่อตั้ง Silver Dollar Game โดยทาง Jonathan เคยให้สัมภาษณ์กับทาง Destructoid เอาไว้ว่า ตัวเขา และน้องชาย Dave นั้น เริ่มสนใจการทำเกมมาตั้งแต่ปี 2007 แล้ว โดยเริ่มจากการใช้ XNA ซอฟต์แวร์ของ Microsoft ที่ทำให้การทำเกมสะดวกสบายขึ้น ตอนนั้นพวกเขาเริ่มทำ Blazing Birds ลงบน Xbox Live Arcade ก่อน และพวกเขาก็เริ่มทำเกมอินดี้จำนวนมาก ลงให้กับระบบนี้ จากนั้นแนวคิดของ One Finger Death Punch ก็เริ่มต้นขึ้น และมันก็กลายเป็นเกมที่ได้รับความนิยม และโด่งดังอย่างมาก
Jonathan เผยว่า One Finger Death Punch นั้น ใช้เวลาในการพัฒนายาวนานกว่า 4 ปี โดยได้รับแรงบันดาลใจจากหนัง Martial Arts ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น Drunken Master (ไอ้หนุ่มหมัดเมา) Ip Man (จ้าวกังฟู สู้ยิบตา) The Man with the Iron Fist (วีรบุรุษหมัดเหล็ก) และฉากต่อสู้ที่น่าจดจำของ The One (เดี่ยวมหาประลัย) ของ Jet Li ที่ต้องต่อสู้กับคลื่นศัตรูแบบไม่มีที่สิ้นสุด ด้วยระบบเกมเพลย์การเล่นที่ง่ายมาก อาศัยเพียงความเชี่ยวชาญ สมาธิ และฝีมือ ไม่ต่างอะไรกับการฝึกยุทธ์ในโลกแห่งความเป็นจริง
สองคลิกซ้ายขวา นิ้วไม่หลุด อย่าหยุดเล่น
เกมเพลย์ของ One Finger Death Punch นั้น เรียบง่าย และไม่ซับซ้อนอะไรเลย เราแค่ต้องกำจัดศัตรูที่ดาหน้าเข้ามาไม่หยุดในแต่ละด่าน หากศัตรูมาทางซ้าย ผู้เล่นก็คลิกซ้าย หากศัตรูมาทางขวา ผู้เล่นก็คลิกขวา หลายคนอาจจะมองว่า อ้าว แล้วแบบนี้มันจะไปสนุกอะไร เกมเพลย์เรียบ ๆ แบบนี้ แต่คำตอบของความสนุกนั้น อยู่ในความเรียบง่ายของมันแล้ว เพราะเมื่อคุณเล่นไปเรื่อย ๆ ระบบจะเริ่มเพิ่มความซับซ้อนในการเล่น และการต่อสู้เพิ่มเข้ามา
ยกตัวอย่างเช่น หากศัตรูเป็นตัวสีขาวทั่วไป ก็คลิกซ้าย ขวา ไปตามปกติ แต่ถ้าเป็นตัวสีเขียว จะต้องกดแบบดับเบิลคลิกถึงจะโค่นได้ และเมื่อเล่นไปเรื่อย ๆ ก็จะมีตัวสีแดง ที่ต้องคลิกสามครั้ง หรือศัตรูสีอื่น ๆ เช่นสีน้ำเงิน ที่ต้องคลิกสลับซ้ายขวา หรือสีเหลืองที่ต้องใช้การดับเบิลคลิกและสลับซ้ายขวาผสมกัน และยังมีที่ล้ำขึ้นไปอีกคือต้องคลิกซ้ายขวา สลับกันถึงจะโค่นศัตรูตัวนั้นลงได้ และการจะโจมตีศัตรูได้นั้น จะต้องอยู่ในเส้นระยะที่เกมกำหนดให้เท่านั้น หากกดโจมตีเมื่อไม่มีศัตรูเข้ามาอยู่ในเส้นสีเทา ระบบจะถือว่าโจมตี Miss แถมอาจโดนศัตรูสวนกลับได้อย่างง่าย ๆ
และความโหดของเกมก็จะขึ้นอยู่กับฝีมือของผู้เล่น ยิ่งผู้เล่นสามารถจบเกมได้ด้วยการ Perfect หรือโจมตีไม่พลาดเลย จะเป็นการสะสม Speed ความเร็วของเกมให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเล่นไปถึงระดับหนึ่ง เกมก็จะเร็วจนสู้แทบไม่ทัน ซึ่งการพลาดท่า หรือการแพ้ในฉากนั้น ๆ ระบบก็จะลดความเร็วของเกมลงมาให้เป็นการช่วยเหลือ แต่ถ้าเราเล่นเก่งขึ้นอีก ก็จะเป็นการเร่งสปีดเกม เป็นลูปวนไปวนมาเหมือนเดิม
ที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือดีไซน์การออกแบบเกมที่เรียบง่าย แม้ว่าปกของเกม จะดูมีความเท่ เหมือนหนังแอ็คชั่นเอเชียเกรดบี แต่เมื่อเข้าไปเล่นจริงจะพบว่า ตัวละครของเรานั้นเป็น Stick Figure หรือตัวละครการ์ตูนที่ได้รับการออกแบบมาอย่างง่าย ๆ ประกอบด้วยเส้น เส้นโค้ง และจุดสองสามเส้น หรือสองสามจุดเท่านั้น เป็นสไตล์ของเกมอินดี้ที่พบเจอได้ทั่วไปในสมัยก่อน แต่เวลาต่อสู้ ก็จะเต็มไปด้วยความหนักแน่น ความรวดเร็ว และรุนแรง สนุกไม่แพ้กับเกมภาพสวยสมจริงแน่นอน
ภาค 2 ที่โดดเด่น และยอดเยี่ยมกว่าภาคแรกในทุก ๆ ด้าน
ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจ ที่เกมภาคต่อจะต้องดีกว่าเกมภาคแรกเป็นธรรมดาอยู่แล้ว แต่ในกรณีของ One Finger Death Punch นั้น ถือว่าพัฒนาการทุกอย่างยอดเยี่ยมอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้ตัวเกมจะยังคงใช้การออกแบบตัวละครแบบ Stick Figure เหมือนเดิม แต่เกมมาพร้อมการจัดวาง UI/UX ใหม่ ให้เรียบง่าย และใช้งานง่ายมากยิ่งขึ้น ส่วนของกราฟิกก็เพิ่มสีสัน และลูกเล่น รวมไปถึงฉากสำคัญ ๆ ภายในเกมมากมาย ถูกยกระดับให้สวยงามและมีสีสันมากยิ่งขึ้น
ในขณะที่เกมเพลย์การเล่นยังเหมือนเดิม แต่ในภาค 2 นี้ ทางผู้พัฒนาเปิดเผยว่าได้แรงบันดาลใจมาจากสื่อบันเทิงต่าง ๆ อีกมากมาย โดยในภาค 2 นี้ ผู้สร้างได้แรงบันดาลใจมาจากหนังกังฟูที่หลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็น The Matrix, Kill Bill, Bloodsport และหนังแอ็คชั่นหลาย ๆ เรื่องของ John Woo ทำให้ลีลาท่าทางของจอมยุทธ์ก้างในภาคนี้ ดูโดดเด่น และมีชีวิตชีวากว่าภาคแรก
นอกจากนั้นการปรับปรุงหน้าจอเกมเพลย์ที่ทำให้มีสีสันมากขึ้น ระบบ Quick Time Events หรือการต่อสู้ ก็ทำให้มองเห็นภาพและสีสันที่สวยงาม เข้าใจง่ายมากยิ่งขึ้น จึงทำให้เกมภาคนี้ โดดเด่นและเหนือกว่าภาคแรกในทุก ๆ ด้าน แน่นอนว่าทั้งภาคแรกและภาคสอง ยังคงเป็นสุดยอดเกมรัวเมาส์ที่ทำเอานิ้วแทบหลุด หรือเมาส์อาจจะพังไวกว่าเดิมด้วยก็ได้ ใครที่สนใจเกมนี้ สามารถไปหามาเล่นกันได้แล้ว โดยเฉพาะตอนนี้ในช่วง Steam Summer Sale ที่ตัวเกมทั้งสองภาค ลดราคา 80% และ 75% อยู่ในตอนนี้
