BY Nuttawut Apiratwarakul
18 Apr 24 3:08 pm

Great War มหาสงครามนิวเคลียร์ล้างโลก จุดกำเนิดซีรีส์ Fallout

766 Views

หลายคนที่ดูซีรีส์ Fallout จาก Prime Video กันไป ทั้งที่เป็นแฟนเกมและไม่ใช่แฟนเกม น่าจะสงสัยกันว่า สงครามนิวเคลียร์ในเรื่องนี้จริง ๆ แล้วมันเกิดขึ้นได้ยังไง และในฐานะที่มันเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดที่นำไปสู่เรื่องราวทั้งหมดในซีรีส์นี้ทั้งฉบับเกมและแบบทีวี เราก็เลยขอหยิบยกเนื้อหาส่วนนี้มาเล่าสู่กันฟัง

ให้ทั้งแฟนเกมได้ทบทวนเนื้อหาส่วนแฟนซีรีส์หน้าใหม่ก็ได้ซึมซับเรื่องราวเบื้องลึกกันมากขึ้นกว่าเดิม

จักรวาลของ Fallout นั้นบอกเล่าเรื่องราวของโลกในอีกความเป็นจริง จะเรียกว่าเป็นมิติคู่ขนานกับโลกจริง ๆ ของเราก็ว่าได้ โดยในเส้นเวลาของจักรวาล Fallout นั้นเทคโนโลยีพลังงานสายนิวเคลียร์ถูกพัฒนาขึ้นไปแกนหลัก ผลที่ตามมาก็คือการพัฒนาด้านวัฒนธรรมทุก ๆ อย่างจะผูกโยงเข้ากับเทคโนโลยีนิวเคลียร์ (รถยนต์ หุ่นยนต์ การจ่ายพลังงานต่าง ๆ) ขณะเดียวกันการพัฒนาด้านคอมพิวเตอร์กลับไปเฟื่องฟู (ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีด้าน IT ในจักรวาลนี้จะเป็นแบบเรียบง่ายโบราณสุด ๆ ถ้าเทียบกับโลกของเรา ทั้งตัวคอมพิวเตอร์และจอภาพต่าง ๆ) ถ้าจะให้คำจำกัดความแบบทางการ Fallout ก็ถือว่าอยู่ใน Subgenre ที่เรียกว่า Atompunk นั่นเอง

โลกในจักรวาล Fallout นั้นเกิดความขัดแย้งอย่างต่อเนื่องระหว่างมหาอำนาจใหญ่ โดยที่มาที่สำคัญที่สุดก็คือการแย่งชิงทรัพยากรสำคัญอย่างน้ำมันและแร่ยูเรเนียม โดยความขัดแย้งกินเวลายาวนานและส่งผลกระทบไปทั่วโลก

แต่คู่ขัดแย้งที่ใหญ่ที่สุดบนโลกก็คือ สหรัฐอเมริกาและจีน สองมหาอำนาจใหญ่สุดท้ายบนโลก ความขัดแย้งของสองชาติกลายเป็นสงครามที่เรียกว่า Sino-American War ซึ่งผลกระทบของความขัดแย้งนี้สร้างการเปลี่ยนแปลงไปทั่วโลก ทรัพยากรทั้งหมดถูกดึงไปใช้ในการสงคราม ขณะที่การเมืองการปกครองในทั้งสองประเทศก็เข้าสู่สถานะเผด็จการเพราะต้องการปกครองประชาชนในประเทศแบบเด็ดขาดโดยอ้างว่าเพื่อ “ปกป้อง” ประเทศ

วิกฤติด้านพลังงานทำให้อเมริกาตัดสินใจบุกยึดประเทศเม็กซิโกและแคนาดาโดยใช้ข้ออ้างด้านความปลอดภัย  ขณะเดียวกันความตึงเครียดในรัฐอะแลสกาก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะที่นั่นถือเป็นแหล่งเก็บน้ำมันดิบแหล่งใหญ่ที่สุดที่หลงเหลือเพียงแห่งเดียวบนโลก และเป็นเป้าหมายสำคัญที่อเมริกาเชื่อว่าจะถูกจีนบุกโจมตี

ช่วงปี 2065 อเมริกาประสบความสำเร็จในการสร้างเทคโนโลยีพลังงานจากนิวเคลียร์ฟิวชันที่ใช้ได้จริง จีนที่ต้องพึ่งพาพลังงานน้ำมันไม่ยอมรับความพ่ายแพ้และตัดสินใจบุกโจมตียึดอะแลสกาแบบเต็มรูปแบบในปี 2066

หลังจากนั้นมาสงคราม Simo-American War ก็เริ่มแบบเต็มรูปแบบการรบกินเวลายาวนานนับสิบปี โดยทัพอเมริกาพยายามบุกฝ่าการต่อต้านของกองทัพจีนในการสู้รบบนแผ่นดินใหญ่ การรบในสามสนามทั้งในอแลสกา แคนาดา และจีน สูบทรัพยากรของทั้งสองประเทศจนแทบหมดเกลี้ยง หลังการสู้รบยืดเยื้อกว่า 10 ปี ทั้งสองฝ่ายยังไม่มีทีท่าว่าจะมีใครยอมใคร

Enclave 01

Enclave 01

ความตึงเครียดพุ่งทะลุเพดาน ประชาชนสหรัฐอเมริกาตกอยู่ในความกลัวเรื่องสงครามนิวเคลียร์ตลอดเวลา นำไปสู่การผลักดันโครงการ Vault ของบริษัท Vault-Tec ขณะที่ประธานาธิบดีและบุคคลสำคัญของอเมริกาหลบหนีไปซ่อนตัวในแท่นขุดเจาะน้ำมันแถวชายฝั่งแคลิฟอเนีย (ซึ่งนำไปสู่การก่อตั้งกลุ่ม Enclave อีกหนึ่งกลุ่มที่มีบทบาทสำคัญทั้งในเกมและซีรีซ์ Fallout)

วันเสาร์ที่ 23 ตุลาคม ปี 2077  มีการค้นพบความเคลื่อนไหวของเรือดำน้ำและเครื่องบินทิ้งระเบิดที่เชื่อว่าเป็นของจีนในช่วงกลางดึก ก่อนที่จะมีการยืนยันว่าเรือดำน้ำของจีนเปิดฉากยิงหัวรบนิวเคลียร์ชุดแรกของใส่ดินแดนอเมริกา  9.13 น. หัวรบสี่ลูกถูกตรวจพบ และมหาสงครามนิวเคลียร์ก็เริ่มต้นขึ้น 9.23 นาที ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาสั่งยิงหัวรบตอบโต้

9.42 น. หัวรบทั้งหมดที่ถูกยิงเริ่มระเบิดบนแผ่นดินอเมริกาในเขตเมืองสำคัญ ๆ หลังจากนั้นการยิงตอบโต้ยาวนานกว่า 2 ชั่วโมงก็เริ่มขึ้น และโลกก็ถูกทำลายลงโดยสมบูรณ์แบบ นำไปสู่เหตุการณ์ทั้งหมดในจักรวาล Fallout ที่ตามหลังมาภายหลัง

แน่นอนว่าหลักฐานหลายอย่างพาให้ผู้คนเชื่อว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะจีนตัดสินใจโจมตีอเมริกาโดยหัวรบนิวเคลียร์ก่อน แต่เนื้อหาหลายจุดก็บ่งชี้ไปว่าจริง ๆ แล้วบริษัท Vault-Tec ผู้สร้าง Vault ต่าง ๆ อาจเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทั้งหมด ทั้งจากการที่ Vault-Tec แอบตกลงกับบริษัทยักษ์ใหญ่อื่น ๆ อย่าง RobCo และ BigMT ถึงแนวคิดการจุดระเบิดลูกแรกเพื่อให้สงครามเกิดขึ้น โดยบริษัททั้งหมดคาดว่าจะได้ผลประโยชน์ในการลงทุนโครงการต่าง ๆ ไปจนถึงการที่พวกเขาจะสามารถเข้าควบคุมโลกหลังสงครามเมื่อรัฐบาลทั้งหมดถูกทำลายจนสิ้น

แน่นอนว่าก็ไม่มีหลักฐานใด ๆ ยืนยันว่าสุดท้ายแล้วใครเป็นผู้ยิงนิวเคลียร์ลูกแรก ทิ้งไว้เป็นปริศนาสำคัญของซีรีส์นี้นั่นเอง

SHARE

Nuttawut Apiratwarakul

โน้ต - Co-Founder / Editor-in-chief

Back to top