BY StolenHeart
2 May 19 11:35 am

รีวิว Mortal Kombat 11 ศึกเหนือมนุษย์ครั้งใหม่ กับความโหดจัดเต็มยิ่งกว่าเดิม

301 Views

หลังจากเปิดตัวมาอย่างอลังการ ทำให้แฟนเกมต่อสู้หลายคนร้องว้าวด้วยความน่าตื่นตาตื่นใจ กับเกมต่อสู้สุดโหดเลือดสาดอันดิบเถื่อนภาคล่าสุด จะออกมาดีสมกับที่รอคอยหรือไม่ ติดตามอ่านกันได้ในรีวิวชิ้นนี้เลย

ความขัดแย้งใหม่ ท่ามกลางเส้นเวลาที่ถูกเปลี่ยนแปลง

หลังจากที่เหล่านักสู้จาก EarthRealm ได้จัดการกับ Shinnok เทพโบราณหรือ The Elder God ที่คิดเข้ายึดครอง EarthRealm ได้เป็นผลสำเร็จ พร้อมกับเตรียมที่จะเผด็จศึกเหล่าศัตรูที่เหลืออยู่ นั่นก็คือเหล่า Revenant หรือสมุนปีศาจที่เคยเป็นอดีตนักสู้นั่นเอง แต่แล้วในช่วงท้ายของสงคราม Kronika ผู้รักษาและควบคุมเวลาก็เข้ามามีส่วนร่วมในสงครามครั้งนี้ และใช้พลังทรายแห่งกาลเวลาเปลี่ยนแปลงเส้นเวลาจนผิดเพี้ยน ทำให้เหล่านักสู้จากในอดีตและปัจจุบันได้เผชิญหน้ากัน และการต่อสู้ครั้งใหม่ของเหล่านักสู้ทั้งหลายในศึกอันยิ่งใหญ่ก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งแล้ว

แม้ Mortal Kombat จะเป็นเกมต่อสู้ แต่ก็มีข้อดีที่โดดเด่นคือการเล่าเรื่องที่เหนือกว่าเกมอื่น ๆ ซึ่งโหมด Story นั้นกล้าพูดได้ว่าทำออกมาได้อลังการกว่าเกมต่อสู้ทุกเกมในท้องตลาด ณ ตอนนี้ อนิเมชั่นและการลำดับภาพของภาคนี้นั้นก้าวกระโดดจนอาจเทียบได้กับภาพยนตร์ชั้นดีได้เลยทีเดียว

แต่ดูเหมือนว่าการเล่าเรื่องในภาคนี้เมื่อเทียบกับภาคที่แล้วนั้นดูด้อยลงไปนิดหน่อย และฉากจบที่ค่อนข้างน่าผิดหวังเล็กน้อย (เลือกจบได้สามแบบ) ซึ่งโดยรวมนั้น เนื้อเรื่องของเกมยังคงอยู่ในมาตรฐานที่สูงอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ในบางจุดนั้นค่อนข้างจะด้อยลงกว่าในภาคเก่าซึ่งทำออกมาได้น่าติดตามมากกว่า

โหมดใหม่และความโหดที่จัดเต็มเหมือนเคย

Mortal Kombat 11 ยังคงนำเสนอความโหดในสไตล์สุดดิบเถื่อนไม่ต่างจากภาคที่แล้วแต่อย่างใด การออกแบบตัวละครในภาคนี้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหลายจุดจนรู้สึกได้ว่าตัวละครแต่ละตัวมีความสมจริงมากขึ้น ฉากต่าง ๆในเกมก็ดูมิติและสมจริงกว่าเดิมมาก ซึ่งลูกเล่นในการใช้อาวุธที่อยู่ในฉากต่าง ๆ นั้นยังคงทำได้น่าสนใจเหมือนเดิม เป็นการเพิ่มสีสันที่เกมต่อสู้อื่น ๆ ไม่มีได้เป็นอย่างดี

ส่วนความโหดในเกมนั้นดูเหมือนจะลดความเลือดสาดลงมาเล็กน้อย แต่ความโหดของท่าสังหาร Fatality หรือท่าไม้ตายอื่น ๆ นั้นยังคงเต็มไปด้วยความสร้างสรรค์เหมือนเดิม ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงในช่วงจบไม่เหมือนกับภาคก่อน ๆ โดยจะเน้นความแช่มช้าให้ผู้ใช้รู้สึกอิ่มเอมในช่วงที่มี Impact เกิดขึ้นอย่างชัดเจน ถือเป็นการนำเสนอ Fatality ในรูปแบบใหม่ที่เจ๋งมาก ๆ เลยทีเดียว

ที่ต้องชมอีกอย่างหนึ่งก็คือตัวเกมมีโหมด Tutorial ที่สอนระบบการเล่นเบื้องต้นทั้งระดับเริ่มต้นไปจนถึงระดับสูงที่ดีมาก มีการแนะนำในสถานการณ์จริงให้ผู้เล่นได้ทดลองกดจนชำนาญ หรือถ้าไม่รู้จังหวะก็สามารถกดปุ่มสาธิตดูได้อีก ถือเป็นโหมดสอนเล่นที่ทำออกมาได้สมบรูณ์แบบมาก ๆ

สำหรับโหมดการเล่นนั้นมีจำนวนที่ไม่ต่างจากภาคที่แล้วไหร่ แต่จะเพิ่มโหมดใหม่อย่าง Tower of Time ที่เป็นโหมดลุยด่านเหมือนกับ Klassic Tower แบบเก่า แต่จะเพิ่มความยากขึ้นมาอีกระดับที่ศัตรูในแต่ละหอคอยนั้นจะมีตัวช่วยเป็นอาวุธต่าง ๆ หรือไม่ก็เรียกผู้ช่วยออกมาโจมตี ซึ่งเป็นโหมดที่ต้องอาศัยความอดทนในการเล่นอย่างมาก เพราะเงื่อนไขและอุปสรรคที่เกมนำมาใช้นั้นบางครั้งก็ยากเกินจะทนไหวจริง ๆ แถมด้วยในฉากหลัง ๆ นอกจากจำนวนศัตรูที่ต้องสุ้จะเพิ่มขึ้นด้วยและ พลังชีวิตของพวกมันก็มากขึ้นด้วย เอาง่าย ๆ แค่คุณกดคอมโบแบบปกติที่ประมาณสี่ชุดก็ตาย แต่คราวนี้อัดไปเลย 10 ชุดก็ยังไม่ตาย เรียกว่าสู้กันจนท้อไปเลย

และถึงแม้จะมีการ Patch แก้ระดับความยากไปแล้ว แต่โดยรวมนั้นก็ถือว่าความยากของโหมดนี้ลดลงไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะศัตรูยังมีพลังชีวิตที่สูงกว่าปกติเหมือนเดิม ทำให้การเก็บของรางวัลอย่างเช่น Gear หรือ Skin ต่าง ๆ ยากจนเกินความจำเป็น แถมยังต้องฟาร์มซ้ำ ๆ ถ้าหากไม่เจอของที่อยากได้อีกด้วย

ส่วนโหมด Krypt ในภาคนี้มีการเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร เพราะเราจะได้ออกสำรวจเกาะของ Shang Tsung กันในสไตล์ Adventure กันเลย ซึ่งดูแล้วก็เพิ่มสีสันให้กับการเปิดกล่องสมบัติในเกมได้มากกว่าโหมด Krypt แบบเก่าอยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้วนั้นค่อนข้างจะจืดสนิท เพราะจุดประสงค์ของมันก็มีเพียงแค่ให้เราไล่เปิดหีบที่อยู่ทั่วทั้งเกาะเท่านั้น อาจจะมีปริศนาให้แก้หรือเตาหลอมเอาไว้ผสมไอเท็ม ซึ่งมันก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น แต่ก็ดีกว่าการเปิดหีบแบบธรรมดาอยู่นิดหน่อย

ปิดท้ายด้วยโหมดออนไลน์นั้นก็ยังคงมีโหมดการเล่นแบบมาตรฐานทั่วไปเหมือนกับเกมต่อสู้อื่น ๆ ทั้ง Casual, Ranking หรือเล่นแบบสร้างห้อง Lobby มาจอยกันได้อย่างสะดวก ซึ่งการออนไลน์ก็เป็นจุดแข็งที่ NetherRealm ทำมาได้ดีตั้งแต่ภาคปี 2013 แถมการเล่นออนไลน์ก็ยังทำได้ลื่นไหลเหมือนเดิม ซึ่งการเล่นออนไลน์นั้นก็กลายเป็นหัวใจสำคัญของเกมต่อสู้ในยุคนี้ไปแล้ว และ Mortal Kombat 11 ก็ไม่ทำให้เราผิดหวังในจุดนี้

Gameplay พัฒนา เปิดให้คนเล่นใหม่เข้าถึงได้ง่าย

Mortal Kombat 11 มีการเปลี่ยนรูปแบบ Gameplay ไปจากภาคที่แล้วหลายอย่าง เริ่มตั้งแต่ความเร็วในช่วง Neutral Game ที่ช้าลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะการเข้าคลุกวงในด้วยท่าโจมตีต่าง ๆ เริ่มต้นช้าลงกว่าเดิม แต่ระยะของท่าพื้นฐานเตะต่อยต่าง ๆ นั้นไกลขึ้น ทำให้ผู้เล่นต้องคอยมองการออกอาวุธของคู่ต่อสู้อย่างถี่ถ้วนมากขึ้น เพราะจะต้องมาเดาระยะการโจมตีเพิ่มด้วย

สำหรับความยาวของคอมโบในภาคนี้นั้นเรียกว่าสั้นลงอย่างมาก แต่จังหวะในการกดท่าต่อคอมโบต่าง ๆ จะเหมือนเดิม แต่สำหรับคนที่ชินเกมต่อสู้สไตล์ญี่ปุ่นอย่าง Street Fighter มาก่อนก็ต้องปรับตัวกันเยอะหน่อย เพราะท่ากดต่าง ๆ นั้นไม่ได้เป็นการกดควงหรือกดค้างแบบเดิม แต่เป็นการกดซ้ายขวาหรือขึ้นลงเพื่อออกเป็นท่าไม้ตายออกมา และจังหวะการกดต่อท่าคอมโบก็ต้องกระชั้นขึ้นกว่าที่ผ่านมานิดหน่อย ไม่งั้นก็จะกดหลุดได้ง่าย ๆ แม้คอมโบจะสั้นลง แต่การฝึกกดคอมโบภาคนี้ก็ยังคงจำเป็นเหมือนเดิม

อีกสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไปก็คือการตัดระบบท่า X-Ray ที่เป็นเหมือนไม้ตายใหญ่ออกไป รวมไปถึงท่าหนีจากคอมโบอย่าง Breaker ด้วย แต่จะทดแทนด้วยระบบใหม่ เช่นเกจไม้ตายที่แบ่งออกเป็น Attack กับ Defense ซึ่ง Attack จะใช้สำหรับท่าโจมตีแบบพิเศษที่มีความแรงมากกว่าปกติ หรือเรียกในเกมว่า Amplify เหมือนกับในเกมภาคเก่า

ส่วนเกจ Defense นั้นจะใช้หลายอย่างมาก เช่นการใช้ตัวช่วยฉากเช่นอาวุธหรือกระโดดหนีออกจากมุม ท่าพลิกตัวกลางอากาศหรือ Break Away และการกลิ้งหลบหลังจากถูกโจมตีจนล้ม เป็นต้น และสำหรับการตั้งรับ ตัวเกมก็ได้เพิ่มระบบ Flawless Block เข้ามา ซึ่งเป็นการลดอาการ Block Stun ลงเมื่อกดการ์ดรับการโจมตีได้ตรงจังหวะ ช่วยให้สวนท่าบางท่ากลับไปได้ง่ายขึ้น

และแม้ท่า X-Ray จะหายไป แต่เกมก็ใส่ระบบใหม่ทดแทนเข้ามา นั่นก็คือ Fatal Blow และ Krushing Blow โดย Fatal Blow นั้นจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อเลือดลดเหลือต่ำกว่า 30% ใช้ได้หนึ่งครั้งต่อหนึ่งเกม ซึ่งจะเป็นท่าโจมตีแบบแรงสุด ๆ คล้ายกับ Ultra Combo ใน Street Fighter IV เมื่อกดใช้ตัวผู้ใช้ก็จะมีเกราะพิเศษมาช่วยป้องกันการโจมตีได้

ส่วน Krushing Blow ก็เป็นท่าพิเศษที่ใช้ได้ครั้งเดียวเช่นกัน แต่การใช้งานนั้นเหมือนเป็นตัวเปิดคอมโบชุดใหญ่แทน ซึ่งจะติดก็ต่อเมื่อกดใช้ท่าโจมตีหรือไม้ตายบางท่าโดนแบบ Kounter (เช่นท่า Deadly Uppercut ของทุกตัวละครที่เป็นตัวเปิด Krushing Blow พื้นฐาน) เมื่อโดนแล้วก็จะทำให้เราสามารถต่อคอมโบชุดใหญ่ได้ทันที ช่วยพลิกสถานการณ์กลับมาได้ แต่ก็ต้องคิดดี ๆ เพราะทั้งเกมเราสามารถใช้ทั้งสองอย่างได้อย่างละครั้งเท่านั้น ทำให้ผู้เล่นต้องประเมินสถานการณ์ในการใช้ท่าใหญ่ให้ดีกว่าเดิม

สุดท้ายคือระบบ Variation ก็ได้รับการยกเครื่องใหม่ จากเดิมที่จะมีให้เลือกเพียงสามแบบ แต่คราวนี้ผู้เล่นสามารถปรับแต่ง Variation ของตัวเองได้อย่างอิสระ โดยสามารถเลือกได้ว่าจะใช้ท่าไม้ตายอะไรบ้างได้สูงสุดสามแบบ ซึ่งบางท่าที่ดีมาก ๆ ก็จะถูกเพิ่มเป็นสองช่องแทน ทำให้รูปแบบการเล่นของแต่ละคนนั้นมีความหลากหลายมากกว่าเก่า เพราะสามารถเลือกใส่ท่าได้อย่างอิสระนั่นเอง

โดยรวมแล้ว Gameplay ในภาคนี้ถูกปรับแต่งให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นและลดความเร็วของเกมลงจากเดิม แต่ก็คงความลึกในการใช้ชั้นเชิงการเล่นของผู้เล่นพอ ๆ กับภาคเดิม แต่เข้าถึงได้ง่ายขึ้นนั่นเอง

ภาพอันสวยงาม กับอาการที่ไม่พึงประสงค์

แม้งานภาพของ Mortal Kombat 11 นั้นจะมีความสวยงามมากขึ้นกว่าเดิม แต่ตัวเกมก็ยังคงใช้เอนจิ้น Unreal Engine 3 ที่มีอายุค่อนข้างมากแล้วอยู่ แต่แม้เอนจิ้นจะเก่า แสงเงาและรายละเอียดในเกมนั้นก็ไม่เป็นรองเกมอื่น ๆ ที่ใช้ Unreal Engine 4 เลยแม้แต่น้อย แต่ไม่รู้ว่าเพราะเอนจิ้นของเกมนั้นเก่าเกินไปหรือเปล่า ทำให้บางครั้งตัวเกมมีอาการสะดุดเป็นบางช่วงในหลาย ๆ ฉาก ทั้งที่ไม่ควรเกิดขึ้นในเกมต่อสู้ที่ทุกเสี้ยววินาทีมีค่า สามารถเปลี่ยนชนะเป็นแพ้ได้ในทันที แต่บนคอนโซลจะไม่มีปัญหานี้แต่อย่างใด เล่นได้ลื่นไหลเป็นปกติไม่มีอาการสะดุดแม้แต่น้อย

และที่สำคัญที่ไม่เข้าใจมาก ๆ ก็คือโหมด Krypt ที่ล็อกเฟรมเรทบน PC ไว้ที่ 30 เฟรมเท่านั้น และรวมไปถึงท่าไม้ตายพิเศษต่าง ๆ ก็ถูกจำกัดเฟรมเรทไว้ที่ 30 เช่นกัน ซึ่งในส่วนของฉากไม้ตายต่าง ๆ นั้นพอเข้าใจได้ว่าอยากให้มีความรู้สึกแบบชมภาพยนตร์ แต่ในโหมดที่ให้ผู้เล่นออกสำรวจสุสานอย่างอิสระนี่ทำไมต้องล็อกเอาไว้ด้วยนี่ไม่เข้าใจจริง ๆ

และก่อนที่จะมีการ Patch เกม ตัวเกมก็มีปัญหาที่จู่ ๆ เกมก็ดับไปเองในช่วงที่กำลังดูข้อมูลในหน้า Menu ซึ่งเป็นบ่อยมากจนน่ารำคาญ แต่หลังจาก Patch ไปแล้วอาการเหล่านี้ก็หายไป ส่วนคนที่ใช้จอยทั้ง Xbox หรือ PS4 ก็สามารถเสียบใช้ได้ทันที ไม่ต้องยุ่งยากกดออกจากเกมก่อนถึงจะใช้ได้ เพิ่มความสะดวกในการเล่นกับเพื่อนที่บ้านได้หลายเท่า

รวม ๆ แล้วในเรื่องของ Performance นั้นยังมีอาการสะดุดจนทำให้เล่นไม่ค่อยสนุกในบางจังหวะ แต่หลังจากมีการ Patch แก้ไขไปแล้วก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม้จะยังมีอาการสะดุดให้เห็นอยู่บ้างก็ตาม

Conclusion

ถือได้ว่า Mortal Kombat 11 มีคุณภาพสมกับที่รอคอยจริง ๆ ด้วยคุณภาพในการเล่าเรื่องที่ยอดเยี่ยม ระบบ Gameplay ที่ปรับปรุงจนยอดเยี่ยมและมีที่ทางชัดเจน แต่ความทรมานในการเล่นโหมด Tower of Time เพื่อหาของสวย ๆ งาม ๆ จากเหล่า AI ที่คอยเอาเปรียบนั้นเป็นอะไรที่ไม่น่าพิสมัยเท่าไหร่นัก และอาการสะดุดของเกมเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำให้หงุดหงิดได้พอแรง แต่ Mortal Kombat 11 ก็สามารถยกระดับตัวเองให้สูงขึ้นไปอีกขั้นได้ และเชื่อว่าถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด Mortal Kombat 11 จะสามารถ Fatality เกมต่อสู้อื่น ๆ ในปี 2019 เข้าเส้นชัยรับรางวัล Fighting Game of the Year ไปอย่างแน่นอนครับ

คะแนน 8.5/10

Putinart Wongprajan

เค้ก - Content Writer

Back to top