ผลงานล่าสุดของสตูดิโอ Ubisoft Montreal อย่าง Assassin’s Creed Valhalla วางจำหน่ายไปเมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน และถึงขณะนี้เกมก็อัปเดตอีเวนต์อยู่เรื่อย ๆ จนมีคอนเทนต์ให้ผู้เล่นเข้าถึงมากมาย แต่สิ่งที่ยังไม่มีในเกม คือการต่อสู้ทางน้ำ ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสิ่งที่แฟนเกมชื่นชอบกันมาก
สื่อ Game Informer มีโอกาสได้สัมภาษณ์กับ Julien Laferrière โปรดิวเซอร์ของเกม ทำให้ทราบว่าทุกระบบที่ใส่เข้ามา ล้วนมาจากการคิดอย่างถี่ถ้วนของทีมว่าเหมาะสมดีแล้ว และสิ่งหนึ่งที่เป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในขั้นการพัฒนา ก็คือการเลือกจะไม่ใส่ระบบต่อสู้ทางน้ำเข้ามา แม้ว่าเรือจะเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ใช้ในเกมก็ตาม
สำหรับเหตุผล เขาคุยกับทีมว่าไวกิ้งนั้นไม่ต่อสู้กับศัตรูจากบนเรือสักเท่าไรหากอิงตามประวัติศาสตร์ แถมในแผนที่ของเกมส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นแม่น้ำ ไม่ใช่ทะเล เลยค่อนข้างยากหากจะทำระบบต่อสู้ระหว่างเรือสองลำแบบเป็นเรื่องเป็นราว ไม่เหมือนภาค Black Flag ที่จัดเต็มยิงปืนใหญ่ใส่เรือฝั่งตรงข้ามได้แบบมืดฟ้ามัวดิน เพราะดูเหมาะสมดีกับโจรสลัดอยู่แล้ว
In this post-mortem interview, we talk about Assassin’s Creed Valhalla's successes, surprises, and post-launch priorities: https://t.co/ycp4NhgtxJ pic.twitter.com/R7CxKSkmtj
— Game Informer (@gameinformer) December 27, 2020
ยังมีความเปลี่ยนแปลงอีกอย่างคือการทำ Settlement ที่ผู้เล่นจะย้อนกลับมาหาบ่อย ๆ โดยไอเดียนี้เกิดจากการที่ผู้เล่นอาจพลาดส่วนน่าสนใจ หรือลืมตัวละครในเกมไป แบบที่ภาคก่อนหน้าอย่าง Origin และ Odyssey เป็น ซึ่งการใส่ Settlement เข้ามาจะทำให้รู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่าง Eivor และ NPC อื่น ๆ ดูต่อเนื่องไปตลอดทั้งเกม
Laferrière ยังพูดถึง World Event Quest ด้วย เดิมทีตั้งใจจะใช้ฟีเจอร์ตรงนี้เป็นแหล่งรวบรวมไอเดียเควสต์น่าสนใจที่มาจากทีมแต่ละคน เช่นเควสต์ที่มันดูไม่ค่อยเข้ากับเนื้อเรื่องหลักก็จะมาอยู่ในนี้แทน แต่ผิดคาดว่าแฟน ๆ ชอบมัน และพวกเขายินดีที่ผู้เล่นก็ยังสนุกได้ แม้จะเป็นเพียงแค่การพักเบรคจากเนื้อหาหลักของเกม
Asssassin’s Creed Valhalla นับเป็นเกมที่ประสบความสำเร็จมากทีเดียวในช่วงเปิดตัว โดยขณะนี้วางจำหน่ายแล้วบน PC, PS4, PS5, Stadia, Xbox One และ Xbox Series X ใครที่เป็นเจ้าของเกมบนคอนโซลเจนเก่า ก็จะได้รับการอัปเกรดเป็นเจนใหม่ได้ฟรี ๆ อีกด้วย
ที่มา : GameRant