ถ้าหากเกมแข่งรถที่สามารถพอฟัดกับแฟรนไชส์ Burnout หรือมองหาเกมชนแหลกคุณภาพน้ำดีอีกเกมหนึ่ง ก็ไม่มีทางหนีพ้น FlatOut ซีรีส์เกม Racing ที่มีจุดเด่นด้านระบบฟิสิกส์ระเบิดภูเขาเผากระท่อม และ Ragdoll ตัวละครที่เกินจริง ซึ่งทำให้เกมดังกล่าวเต็มไปด้วยความหรรษาบ้าบออย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยบทความนี้จะเป็นทำความแนะนำรู้จักกับ FlatOut แล้วเป็นอย่างไรบ้าง ก็สามารถรับชมได้เลยครับ
FlatOut คือเกมอะไร
FlatOut เป็นเกมแข่งรถสไตล์อาร์เคด พัฒนาโดย Bugbear Entertainments โดยเกมดังกล่าวเปิดตัวเดบิวต์ครั้งแรกในปี 2005 พร้อมมีกระแสรีวิวเป็นที่ชื่นชอบจากเหล่าเกมเมอร์ด้วยระบบ Ragdoll ฟิสิกส์สุดขำขัน มีคอนเทนต์มีเอกลักษณ์ และระบบเกมเพลย์สนุกสนานท้าทาย ทำให้เกมดังกล่าวกลายเป็นคู่แข่งของเกมซีรีส์ Burnout ของ Criterion Games โดยทันที
ฟิสิกส์และความมัน นี่คือสิ่งที่เกมเมอร์พบใน FlatOut
สิ่งหนึ่งที่ทำให้เกม FlatOut กลายเป็นที่ชื่นชอบสำหรับคอเกมแข่งรถได้ง่ายดาย เพราะเกมนี้มีจุดประสงค์อย่างชัดเจนคือ “การมอบความสนุกทั้งการแข่ง กับงัดประสิทธิภาพฟิสิกส์อย่างเต็มที่”
FlatOut จะไม่เหมือนเกมแข่งรถเกมอื่น ๆ โดยเฉพาะด้านการออกแบบสนามแข่งรถที่มีสิ่งกีดขวางมากมาย ตั้งแต่บ้านหลังเล็ก รถยนต์ขวางทาง ท่อนไม้ สิ่งก่อสร้าง ซึ่งเชื่อว่าเป็นการสร้างอุปสรรคต่อการแข่งขัน แต่ทว่าลอจิกดังกล่าวไม่สามารถใช้ได้ผลสำหรับเกมนี้ เพราะวัตถุทุกอย่างสามารถชนทะลุจนปลิวกลางอากาศเหมือนกล่องโฟม
ถ้าหากเกมเมอร์อยากจะพังบ้านกระจก หรือชนสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้าจนวัตถุกระจายไปทั่วสนามแข่ง สร้างฝันร้ายให้นักกวาดถนนละก็ .. เกมนี้จะเปิดโอกาสให้คุณทำแบบนั้น
ไหน ๆ พูดถึงระบบการชนแล้ว แน่นอนว่าเกมนี้ ผู้เล่นสามารถชนรถคู่แข่งให้เสียหลักออกนอกสนาม หรือทำให้ประสิทธิภาพของรถยนต์รถลดลงได้เช่นกัน แต่ไม่เหมือนกับ Burnout ที่เกมเมอร์สามารถ Respawn ตลอดเวลา (ไม่นับโหมด Road Rage) เพราะคู่แข่งทุกคนจะมีหลอดเลือดแสดงความเสียหายของรถยนต์ ซึ่งหากรถเสียหายมากเกินไปจนหลอดเลือดหมด รถจะระเบิดจนไม่สามารถแข่งขันต่อไป และถูกตัดสิทธิ์ออกจากการแข่งขันทันที ระบบดังกล่าวจึงทำให้การแข่งขัน Race ธรรมดา และการแข่งทัวร์นาเมนต์ เต็มไปบรรยากาศความลุ้นระทึกที่ต้องเอาตัวรอดจากการไล่กวดโดย AI หรือสบโอกาสให้คู่แข่งออกจากการแข่งขัน
แต่ระบบหลอดเลือดจะมีความสำคัญยิ่งกว่าเดิม เมื่อเข้าสู่ Demolition Derby หรือโหมดเกมที่ผู้เล่นต้องเอาตัวรอดและกำจัดคู่แข่งในสนามอารีนาทั้งหมด โดยคนไหนสามารถเอาตัวรอดคนสุดท้ายได้ คนนั้นจะเป็นผู้ชนะ ซึ่งโหมดดังกล่าวก็เป็นฟีเจอร์เด่นของ FaltOut ที่สามารถงัดประสิทธิภาพฟิสิกส์กับโมเดลรถยนต์อย่างสูงสุด
ประเภทของรถแข่งก็มีทั้งข้อดีกับข้อเสียแตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่นรถประเภทสปอร์ตหรือคูเป้ซึ่งมีน้ำหนักเบา แม้ควบคุมง่ายและว่องไว แต่ก็เปราะบางจนโดนชนออกจากสนามได้ง่าย หรือรถน้ำหนักเยอะที่การควบคุมแม้ไม่เป็นใจ แต่เรื่องการชนกับความอึดสามารถไว้ใจได้ว่าต้องสามารถอยู่รอดตลอดการแข่งขันแน่นอน (แต่เข้าเส้นชัยอันดับไหนนั้น อันนี้ขึ้นอยู่กับฝีมือและโชคแล้วละ)
และขาดไปไม่ได้เลยคือ Grand Stunts (หรือหลายคนเรียกกันสั้น ๆ ว่า Stunt) เป็นมินิเกมสุดเอกลักษณ์ที่ไม่สามารถหาเล่นได้นอกจาก FlatOut ที่ผู้เล่นต้องขับรถติดเจ็ทเครื่องบินความเร็วสูง แล้วกระโจนออกจากหน้าต่างหน้ารถ จากนั้นควบคุมทิศทาง Ragdoll ของตัวละครให้ชนวัตถุหรือทำ Objective เช่น ปล่อย Ragdoll ให้ไปถึงจุดสูงสุด, ทำคะแนนจากการปาเป้าให้ได้มากที่สุด, ใช้ Ragdoll แทนลูกโบว์ลิ่ง รวมถึงกิจกรรมบ้าบออีกมากมาย ทำให้ประสบการณ์การเล่นเกมเต็มไปด้วยความตลกขำขันจากการที่ได้เห็น Ragdoll แบบเกินความสมจริง
อย่างไรก็ตาม FlatOut ก็ไปได้ไม่รอด (แต่ก็กลับมาได้อีกครั้ง)
แม้ FlatOut เป็นเกมแข่งรถที่มีลายเซ็นเป็นของตัวเอง และมีความสนุกสนานที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ แต่กระแสความโด่งดังก็ยังไม่สามารถต่อกรกับเกมตระกูล Burnout เนื่องจากเกมเพลย์ที่เล่นง่ายกว่ามาก
จนท้ายที่สุด หลังจากตัวแทนจำหน่าย Empire Interactive ได้ประกาศปิดกิจการในปี 2009 ก็ทำให้ซีรีส์ FlatOut ดิ่งลงเหวอย่างเห็นได้ชัด นับตั้งแต่แฟรนไชส์ถูกซื้อต่อโดยทีมตัวแทนจำหน่าย Strategy First แล้ววางจำหน่ายเกมภาค Chaos & Destruction กับภาค Total Insanity ซึ่งมีกระแสรีวิวไม่เป็นที่ชื่นชอบอย่างมากทั้งฝ่ายเจ้าสำนักเกม ก็ทำให้แฟนเกมหลายคนทำใจว่า FlatOut กลายเป็นตำนานที่ครองใจเกมเมอร์ขาซิ่งตลอดไป
อย่างไรก็ตาม หลังจาก Bugbear Entertainments กลายเป็นส่วนหนึ่งของทีมงาน THQ Nordic พวกเขาจึงได้รับการอนุมัติสร้างเกมแข่งรถที่จะเป็นผู้สืบทอดจิตวิญญาณของ FlatOut อย่างแท้จริง จนก่อให้เกิดเกม Wreckfest (หรือมีชื่อเก่าว่า Next Cars Game) เกมแนวแข่งรถชนแหลกที่มีจุดเด่นด้านระบบฟิสิกส์กับโมเดลรถยนต์ที่เกินความสมจริง แล้วมีกระแสรีวิวเป็นที่ชื่นชอบสำหรับแฟนเกมเป็นอย่างมาก รวมถึงผู้เขียนด้วย ซึ่งนับว่าตำนาน FlatOut ได้กลับมาอีกครั้งที่ไม่ได้ใช้ชื่อเดิม และแน่นอนว่าเราก็คาดหวังเกมภาคต่อไปจะมีคุณภาพดียิ่งขึ้นกว่าเดิมต่อไป
