BY StolenHeart
5 Feb 20 1:50 pm

Return to Castle Wolfenstein กับการหวนคืนสู่วงการครั้งแรกของซีรีส์

22 Views

ในปี 2019 ที่ผ่านมานั้นน่าจะเรียกว่าเป็นปีที่น่าผิดหวังของซีรีส์ Wolfenstein เลยก็ว่าได้ เพราะภาค Youngblood ที่วางจำหน่ายไปนั้นล้วนเต็มไปด้วยความน่าผิดหวัง ทั้ง Bug มากมาย ระบบการเล่นที่ไม่เข้าท่า แถมเนื้อเรื่องที่หลุดจากความเป็น Wolfenstein ไปไกลโข เรียกว่าเป็นภาคที่หลายคนไม่อยากนำไปนับญาติกับภาคอื่นเลยด้วยซ้ำ จนเชื่อว่าทางทีมพัฒนาต้องไปพิจารณาถึงแนวทางของเกมกันใหม่อีกไกลกันเลย

แต่ซีรีส์ Wolfenstien นี้ก็เป็นเกมเดินหน้ายิงที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาไม่น้อย ผ่านการเปลี่ยนแปลงมากมาย และหนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ทุกคนจดจำเกมนี้ได้ในยุคใหม่ครั้งแรกก็คือภาค Return to Castle ที่เราจะมาพูดถึงกันวันนี้นี่เอง

Castle Wolfenstein ภาคแรกสุดของเกมที่วางจำหน่ายในปี 1981 บน MS-DOS

ก่อนที่เราจะมาพูดถึงภาค Return to Castle นั้นก็คงต้องย้อนกลับกันไปไกลเสียหน่อย เพราะตัวเกม Wolfenstein นั้นเคยออกวางจำหน่ายมาตั้งสมัยปี 1981 หรือประมาณเกือบ 40 ปีที่แล้ว บนเครื่อง Commodore 64 และ MS-DOS ในชื่อ Castle Wolfenstein ที่ยังไม่ใช่เกมแนว FPS อย่างที่เรารู้จักกันแบบในสมัยนี้ ก่อนที่จะมาปฏิวัติวงการด้วย Wolfenstein 3D กลายเป็นแกม FPS เกมแรก ๆ ของโลกที่สร้างชื่อเสียงอย่างมาก กับการเดินหน้ายิงเหล่าทหารนาซีในคุกนรกของนายทหารผู้กล้าแกร่ง B.J. Blazkowicz ในสงครามโลกครั้งที่สอง

ซึ่งเราน่าจะพูดได้เต็มปากว่า ถ้าไม่มี Wolfenstein 3D เกิดขึ้น เราก็คงไม่ได้เห็นพัฒนาการของเกมแนว FPS มาไกลจนถึงทุกวันนี้เลยก็เป็นได้

แต่หลังจากวางจำหน่ายภาคเสริมอย่าง Spear of Destiny ไปแล้ว ชื่อของ Wolfenstein ก็หายไปจากสารระบบของวงการเกมนานถึงเก้าปี ปล่อยให้ผู้มาทีหลังอย่าง DOOM ได้รันวงการนำพาเกมแนว FPS ให้ดังระเบิดต่อไป ทำให้หลายคนสงสัยว่าพวกเขาหายไปไหน และจะกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ได้อย่างไร?

และ Return to Castle Wolfenstein ก็ถือกำเนิดขึ้น จากทีมงานที่มีชื่อว่า Gray Matter Interactive ที่เปลี่ยนชื่อจาก Xatrix Entertainment และสร้างผลงานเกมเดินหน้ายิงที่น่าสนใจอย่าง Kingpin: Life of Crime มาก่อน ซึ่งการเปลี่ยนชื่อใหม่กับเกมใหม่นี้น่าจะนำพาความรุ่งโรจน์มาให้กับพวกเขาได้ไม่ยาก

Return to Castle Wolfenstein ถือว่าเป็นเกมภาค Reboot ที่นำเอาเค้าโครงของเรื่องราวใน Wolfenstein 3D มาตีความใหม่ แต่พื้นหลังของเรื่องราวยังคงเป็นยุคสงครามโลกครั้งที่สองในปี 1943 และผู้เล่นก็ยังคงเป็นนายทหารเลือดเดือด B.J. Blazkowicz เหมือนเดิม

เพียงแต่สิ่งที่แตกต่างไปนั้นก็คือความสุดโต่งของเรื่องราว ที่ไม่ได้มีแค่การไล่ยิงเหล่าทหารนาซีเพียงอย่างเดียวแล้ว เพราะในภาคนี้มีการเพิ่มหน่วยใหม่เข้ามาที่มีชื่อว่า SS Paranormal Division ที่อยู่ใต้การควบคุมของ Oberführer หรือกลุ่มผู้นำระดับสูง ที่มาพร้อมกับสิ่งเหนือธรรมชาติที่พวกเขาไปค้นพบมาจากอียิปต์ นั่นก็คือพิธีกรรมการคืนชีพให้กับ Dark Knight แต่ไป ๆ มา ๆ ดันมีคำสาป ไปปลุกชีพเหล่าคนตายให้กลับมาเป็นผีดิบแทนซะอย่างงั้น ทำให้การรับมือเหล่านาซีธรรมดาที่ลำบากอยู่แล้วยิ่งยากขึ้นไปอีก แต่นั่นก็หมายถึงความมันของเกมที่ทวีคูณขึ้นไปด้วย

ซึ่งนี่คือสิ่งที่ Wolfenstein ไม่เคยทำมาก่อน เพราะก่อนหน้านี้ตัวเกมเป็นเกมเดินหน้ายิงแบบคลาสสิกสุด ๆ เนื้อเรื่องไม่เน้น รู้แค่ว่าต้องยิงเก็บทุกคนที่ขวางหน้า แต่ในภาคนี้มีการผูกเรื่องใหม่ สร้างบุคลิกและภาพจำให้กับ Blazkowicz ในฐานะนายทหารจอมบู๊เลือดเดือดให้ออกมาดูดียิ่งกว่าเดิม ช่วยให้ความมันในการยิงสู้กับเหล่านาซีและผีดิบลืมหลุมเหล่านี้สนุกสนานขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งเลย

และที่สำคัญคือการออกแบบแผนที่ ศัตรู ระบบการเล่น Return to Castle ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม เป็นเกมเดินหน้ายิงที่จัดว่ายอดเยี่ยมมากในปีนั้น แถมยังมีระบบ Multiplayer แสนสนุกที่ไม่ใช่แค่การยิงกันอย่างเดียว โดยจะเป็นโหมดแย่งกันทำภารกิจระหว่างฝ่ายพันธมิตรกับอักษะ ปกป้องเป้าหมายหรือทำลาย และเลือกคลาสที่ถนัดมาต่อกรกับทุกคน เรียกว่าถ้าได้ทีมที่เข้าขากันนี่เล่นทั้งวันก็ไม่มีเบื่อกันเลย

ด้วยความยอดเยี่ยมนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่สื่อเกมเจ้าใหญ่หลายเจ้าจะเทคะแนนให้เกมนี้อยู่ในระดับสูงไม่น้อย(IGN ให้ 9 คะแนน ส่วน GameSpot ให้ 9.2) และโหมด Multiplayer ของเกมก็ถูกนำไปต่อยอดจาก Source Code ที่ปล่อยออกมา นำไปสร้างเป็นเกม Multiplayer ขั้นเทพอย่าง Wolfenstein: Enemy Territories แต่เนื่องจากการต่อยอดที่ไม่ดี และภาคถัดมาในปี 2009 ที่พัฒนาโดย Raven Software นั้นก็ทำออกมาได้ไม่น่าประทับใจ จนชื่อของ Wolfenstein เกือบจะหายไปอีกรอบ แต่โชคยังดีที่ Machinegames จัดการคืนชีพซีรีส์นี้ขึ้นมาอีกครั้งด้วยภาค The New Order ที่ทำออกมาได้ดีเยี่ยม แต่ก็ดิ่งกลับไปลงเหวอีกครั้งจากภาค Youngblood อย่างที่ทุกคนทราบกันดี

Return To Castle Wolfenstein ถือเป็นภาคที่พูดได้เต็มปากว่าเป็นการกลับมาสู่จุดสูงสุดอีกครั้งหนึ่งของซีรีส์นี้ แม้ในเวลาต่อมา Gray Matter จะต้องปิดตัวลงไปเพราะถูกยุบไปรวมกับ Trayarch ในปี 2005 แต่สิ่งที่พวกเขาทำเอาไว้นั้นก็ยังคงถูกพูดถึงมาจนทุกวันนี้

เพราะการกลับมาอย่างใหญ่ยิ่งจนคนจดจำหลังจากหายไปนานเกือบสิบปีนั้น ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถทำได้อย่างที่พวกเขาเคยทำไว้นั่นเอง

Putinart Wongprajan

เค้ก - Content Writer

Back to top