BY Aisoon Srikum
17 Aug 21 8:03 pm

Back 4 Blood แตกต่างจาก Left 4 Dead อย่างไร

20 Views

สิ้นสุดการทดสอบไปแล้วทั้งสองรอบ สำหรับ Back 4 Blood รอบ Early Access และ Open Beta ซึ่งคาดว่าผู้เล่นหลายคนน่าจะได้ทดลองเล่นไปจนเต็มอิ่มแล้ว แต่หลายคนอาจจะพลาดไปหรือไม่ได้เล่น และมีคำถามที่ถกเถียงกันมาตลอดว่า ท้ายที่สุดแล้ว Back 4 Blood / Left 4 Dead มีความต่างกันยังไงบ้าง วันนี้มาหาคำตอบกัน

From Left 4 Dead to Back 4 Blood

อาจจะบอกได้ไม่เต็มปากว่ามันคือการพัฒนาการของ Turtle Rock ผู้สร้าง เพราะนี่อาจจะเป็นการกลับมาทำสิ่งที่พวกเขาถนัดที่สุดก็ว่าได้ เพราะหลังจากที่พวกเขาได้ทดลองแหวกแนวไปทำเกมอย่าง Evolved แม้ว่าคอนเซปต์เกมจะดีและน่าสนใจ แต่สุดท้ายมันก็ไปไม่รอดจนได้ และ Back 4 Blood คือการกลับมาหาความเป็นตัวเองที่พวกเขาถนัดและทำได้ดีอีกครั้ง น่าเสียดายที่มันไม่ใช่การนับ 3 ให้ Left 4 Dead แต่เป็นการเริ่มต้นใหม่โดยนำเอาของเดิมที่ดีอยู่แล้วมาต่อยอด

ใครที่ผ่านประสบการณ์ Left 4 Dead มาอย่างช่ำชอง สัมผัสแรกที่คุณได้เล่น Back 4 Blood จะทำให้คุณคิดถึงวันวานเก่า ๆ ทันที ทั้งระบบต่าง ๆ เกมเพลย์การเล่นที่ใส่ฟีเจอร์สุดกวนทั้งเอาไว้ช่วยเรา หรือแกล้งเพื่อนมาเต็มไปหมด แม้ว่าในช่วงเบต้าที่ผ่านมา คอนเทนต์จะดูน้อยจนเราไม่ยังไม่สาแก่ใจ แต่ก็ถือว่ามากเพียงพอที่จะทำให้เราคิดถึง Left 4 Dead ได้ ไม่ว่าจะเป็นอุปสรรคพื้นฐานอย่างการยิงกันเอง (Friendly Fire) ไอเทมที่เป็นได้ทั้งตัวช่วยและความหายนะ อย่างพวกถังแก๊ส หรือถังน้ำมัน เหล่าศัตรูที่ Jump Scare เราและทีมได้เป็นอย่างดี กล่าวได้ว่า นี่คือการเอา Left 4 Dead มาต่อยอดให้เป็นเกมใหม่ เพิ่มระบบที่ควรจะมีเข้าไป อย่างเช่นเราสามารถ Aim Down Sight ได้แล้ว หรือไอเทมจิปาถะต่าง ๆ ที่มีให้ใช้งานมากขึ้น และอาวุธก็มากขึ้นด้วย

อาจจะมีบางอย่างที่แปลก ๆ อยู่บ้าง เช่นของแต่งปืนที่เราไม่สามารถถอด-ใส่ เองได้ตามใจชอบ ทำให้บางครั้งเราจะได้ถือปืนแปลก ๆ อย่างปืนรีวอลเวอร์ติดลำกล้องสไนเปอร์ก็มีให้เห็น และเป็นอีกหนึ่งฟีดแบคจากทางผู้เล่นไปทางผู้พัฒนา ต้องรอดูว่าเกมจริงจะสามารถถอด-ติดตั้งอุปกรณ์ตกแต่งปืนได้เองหรือไม่ และภายในฉากเองก็มีอุปสรรคมากมาย อย่างเช่นรังนกอีกา ที่ถ้าเกิดไปเฉียดใกล้หรือยิงไปโดน ฝูงกาจะแตกฮือ พร้อมกับเป็นการทำให้เกิด Horde ฝูงใหญ่ที่ทำให้รับมือยากสุด ๆ รวมไปถึงการ Spawn เหล่าศัตรูที่หลายครั้งแทบจะทำให้ผู้เล่นทุบโต๊ะ และเกมโอเวอร์กลางทางกันไปหลายรอบ

ภาพรวมทั้งหมดของ Back 4 Blood คือการกลับมาหาความเป็นตัวเอง กลับมาสู่สิ่งที่พวกเขาทำได้ดี แต่ก็ใส่ระบบและสิ่งใหม่ ๆ เข้าไปในเกม และจากกระแสตอบรับของรอบ Beta นี้ ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียวสำหรับเกมนี้

เมื่อระบบการ์ด สร้างความแตกต่างให้กับการเล่น

ฟีเจอร์ชูโรงของ Back 4 Blood คือระบบ Card System ซึ่งมาเปลี่ยนให้เกมมีความเป็น Roguelite แบบเบา ๆ ที่ Left 4 Dead ไม่มี และมันจะส่งผลกระทบกับการเล่นอย่างมากเลยทีเดียว ระบบการ์ดในเกมจะมี Deck System ให้ผู้เล่นได้จัดเด็คที่เหมาะสมกับสไตล์การเล่นของตัวเอง โดยใน 1 เด็คจะใส่การ์ดเข้าไปได้ 15 ใบ และในช่วงเริ่มแต่ละด่าน ระบบจะสุ่มการ์ดขึ้นมา 5 ใบจากเด็คที่เราจัดไว้ให้เลือกหยิบมาเสริมสถานะของเรา หรือบางใบก็จะเป็นการเพิ่มสถานะให้กับทั้งทีมเลยด้วย โดยเราสามารถจัดเด็คได้ไม่อั้น และจัดให้ใช้งานได้ทั้งโหมดเนื้อเรื่องและโหมด PVP

ทีนี้ความเป็น Roguelite จะอยู่ที่ ในแต่ละครั้งที่เริ่มเกม ระบบจะสุ่มสิ่งที่เรียกว่า Corruption Card ขึ้นมาด้วย Corruption Card จะทำหน้าที่เหมือนกับดีบัฟหรืออุปสรรคเพิ่มเติม อาจจะเป็นเงื่อนไขพิเศษให้เราทำในฉากนั้น หรือทำการอัปเกรดศัตรูให้โหดขึ้นกว่าเดิม ยิ่งเราเล่นเกมที่ระดับความยากสูง ๆ ก็มีโอกาสที่จะสุ่มได้ Corruption Card จำนวนมากในฉากเดียว เรียกได้ว่าบางด่าน เยอะจนท้อ และต้องอาศัยทีมเวิร์คสูงมากในการผ่านด่าน ดังนั้นผู้เล่น 4 คนอาจจะต้องเตรียมเด็คการ์ดกันมากคนละแบบ ยิ่งการ์ดมีความหลากหลายมากเท่าไร การเล่นก็จะง่ายขึ้นเท่านั้น การจะเล่นระดับความยากสูง ๆ ให้ผ่านได้โดยง่ายก็ควรจะปลดการ์ดมาให้ได้เยอะ ๆ ซะก่อน เพราะในระดับสูงนั้น Corruption Card จะถูกสุ่มออกมาเยอะมาก แถมเยอะพอจะกดดันให้เราลำบากตั้งแต่ต้นเกม

กล่าวได้ว่า เอาแค่ Card System ก็แทบจะทำให้ Back 4 Blood สลัดคราบเกมเพลย์ Left 4 Dead ทิ้งได้แล้ว และเป็นอีกระบบที่ชวนให้คนเล่นวนซ้ำไปมาเพื่อหาการ์ดมาครอบครองให้ได้มากที่สุด และทำให้เรารู้สึกว่าการกลับมาเล่นด่านเดิม มีคุณค่าและความสนุกมากขึ้น เพราะมันขึ้นอยู่กับว่าด่านนั้นเราสุ่มได้การ์ดอะไร รสชาติการเล่นด่านเดิมจะเปลี่ยนไปตามการ์ดที่คุณมีด้วยเช่นกัน

ความสามัคคีที่ต้องมีมากกว่าที่เคย

จริง ๆ แล้ว ใน Left 4 Dead ก็จำเป็นจะต้องใช้ความสามัคคีมากในระดับนึงอยู่แล้ว ถึงจะเล่นผ่านได้ แต่ Back 4 Blood อาจต้องการมันมากยิงกว่า

เริ่มจากเกมนี้เราจะมีกระสุนหลากหลายประเภท และหากว่ามีผู้เล่นในทีม ใช้กระสุนทับกันก็จะเกิดปัญหาทันที เพราะกระสุนอาจไม่พอใช้ไปจนจบด่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความยากในระดับสูง ที่พวกซอมบี้มีเป็นร้อยเป็นพัน หากใช้กระสุนทับกัน รับรองว่าหมดก่อนจบฉาก รวมไปถึงเหล่าศัตรูพิเศษที่ต้องอาศัยการยิง Weak Spot เพื่อโค่นให้ไวที่สุดก่อนจะกลายเป็นปัญหา – ต่อมาในส่วนของช่วงเริ่มเกมที่จะกลายเป็นช่วง Buy Phase หรือช่วงให้เราซื้อของ ใน Back 4 Blood นี้ เราสามารถดรอปเงิน และกระสุนให้เพื่อนได้ด้วย ในช่วงเบต้าที่ผ่านมา ผู้เขียนและเพื่อนร่วมทีมที่เล่นด้วยกัน ลองตะลุยโหมดความยากระดับ Veteran ขึ้นไป การมีเพื่อนพูดคุยกัน และสื่อสารกันจะทำให้เกมนี้สนุกมากขึ้นอีกเป็นกองเลยทีเดียว เพราะเราจะบริหารจัดการกระสุน และเงินได้ รวมไปถึงมีผู้เสียสละในการซื้อไอเทมประเภท Team Upgrade หรือซื้อแล้วได้ผลทั้งทีม ซึ่งมีราคาสูงมาก แต่เราสามารถโยนเงินให้คนคนหนึ่งกดซื้อได้

ภายในเกมยังมีไอเทมเสริมอื่น ๆ เช่นเครื่องปั๊มหัวใจที่มีมาตั้งแต่ Left 4 Dead หรือ Tool Kit ใช้ในการเปิดกล่องเอาอาวุธพิเศษหรือเปิดห้องลับ เพื่อไอเทมพิเศษด้วย ซึ่งผู้เล่นทุกคนต้องพูดคุยกันเพื่อเลือกว่ารอบนี้ใครจะซื้อไอเทมอะไร พกอะไรเข้าไปในเกม จริงอยู่ว่า การพกไอเทมซ้อนทับกันหรือไม่เกิดประโยชน์ใด ๆ ไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นทำให้เกมจบไม่ได้ แต่ถ้าพูดคุยกัน สามัคคีกัน มันจะทำให้เกมการเล่นง่ายขึ้นราวพลิกฝ่ามือ

และไม่ใช่แค่ระบบซื้อของ จัดไอเทมเท่านั้น ตัวเกมเพลย์เองก็เอื้อให้ผู้เล่นต้องร่วมมือกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เหมือนสมัย Left 4 Dead ในบางฉากจะมีการร่วมมือกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่นใน Beta ของ Back 4 Blood เอง ก็มีฉากที่ผู้เล่นทุกคนต้องช่วยกันเอาเหล็กไปซ่อมหน้าต่าง เพื่อป้องกันไม่ให้เหล่าซอมบี้บุกเข้ามา แต่ขณะนั้นซอมบี้ก็จะเกิดรัว ๆ เข้ามาเรื่อย ๆ เราจึงต้องแบ่งออกเป็นคนยิงคุ้มกัน และคนเอาของไปซ่อม หรือการนำเอาระเบิดไปวางใต้ท้องเรือแล้วรีบหนีกลับออกมาให้ทันในขณะที่มีซอมบี้เกิดมาเรื่อย ๆ ทั้งตัวเล็ก ตัวใหญ่

ทั้งระบบเกมเพลย์ ทั้งการออกแบบเกมเพลย์ ตอกย้ำชัดเจนอีกข้อว่านี่คือสิ่งที่ผู้สร้างเขาถนัด และเราอาจจะต้องใช้ความสามัคคีในการเล่นมากกว่าเกมเก่าอย่าง Left 4 Dead เพราะงั้นใครที่อยากจะเล่นเกมนี้ ก็ลองหาเพื่อนเตรียมตัวเอาไว้ด้วยดีกว่า

โหมดง่ายก็ง่ายไป โหมดยากก็ยากไป (ถ้าไร้เพื่อน)

อาจจะไม่แตกต่างจาก Left 4 Dead ที่โหมดความยากสูง ๆ นั้น ขาดทีมเวิร์คไปก็ลำบาก แต่กับ Back 4 Blood นี้ จากประสบการณ์ที่ลองเล่น เหมือนกับเกมหาจุดตรงกลางของความยากไม่เจอ เพราะหากคุณเล่นในโหมด Survivor ตัวเกมจะเล่นง่ายขึ้นมาก มากชนิดที่ว่ากระสุนเหลือ ยาเหลือ เงินเหลือ ไม่ต้องซื้อของเลยก็ได้ เพราะโหมดนี้คุณจะได้รับบัฟหลากหลาย มันง่ายจนรู้สึกว่าเป็น Super Easy และไม่น่าแปลกใจที่ใครหลายคนจะบอกว่าเกมมันง่ายจนเกินไป

กลับกัน หากคุณยกระดับขึ้นมาเป็น Veteran ในโหมดนี้การ Friendly Fire หรือยิงโดนเพื่อนตัวเอง จะทำดาเมจสูงถึง 35% แค่นี้ก็ว่ายากพอแล้ว แต่ใครที่ลองเล่นมาแบบเต็ม ๆ จะรู้ว่าความโหดหินของมันคือการ Spawn ศัตรูที่จับทางไม่ได้ แถมศัตรูยังตีแรงขึ้น และภายในเกมนี้ หากเราถูกโจมตีบ่อย ๆ Max HP หรือพลังชีวิตสูงสุดจะลดลงเรื่อย ๆ ทำให้การเล่นลำบากมาก หากคุณคิดจะเล่นโหมด Veteran ทางออกที่ดีที่สุดคือหาเพื่อนร่วมทีมที่สามารถพูดคุยสื่อสารกันได้ เพราะถ้า Matchmaking ไป รับรองว่าไม่น่ารอดเกินด่านแรก ๆ

หากมองในแง่ดี นี่คือความท้าทายที่คุ้มค่ากับระบบและเกมการเล่น แต่มองอีกแง่หนึ่งก็คือมันแทบจะตัดโอกาสในการเล่นคนเดียวไปได้เลย เพราะหลายคนอาจไม่ได้ชอบที่โหมดง่ายสุด เล่นง่ายจนเกินไป (แถมค่าตอบแทน Supply Point ก็น้อยมาก ๆ) แต่พอขยับความยากขึ้นมาโหมด Veteran ตัวเกมก็ตึงมือจนเกินไปอีก นี่ยังไม่ได้พูดถึงโหมด Nightmare ที่มีการเพิ่มดาเมจจากการยิงเพื่อนให้สูงขึ้น และพวกซอมบี้ถึกขึ้น และ Corruption Card เยอะขึ้นด้วย ทำให้เกมนี้หาจุดตรงกลางได้ยากมาก เล่นโหมดง่ายก็น่าเบื่อไป เล่นโหมดยาก ถ้าไม่มีเพื่อนเล่นก็คือลำบากไปเลย

โดยรวมแล้ว Back 4 Blood นั้น แตกต่างจาก Left 4 Dead พอสมควร แต่หากพูดให้ถูกคือ มันคือการหยิบเอาจุดเด่นต่าง ๆ ของ Left 4 Dead มาปรับปรุงแก้ไข ต่อยอดระบบใหม่ให้ยอดเยี่ยมขึ้น และฟีดแบคจากรอบ Open Beta ก็ทำได้ไม่เลว ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับตอนเกมออกจริง ๆ แล้ว ว่าคอนเทนต์และคุณภาพเกมจะดึงดูดผู้เล่นได้มากน้อยแค่ไหน แต่ที่แน่ ๆ แฟนเกม Left 4 Dead นี่ล่ะที่น่าจะชื่นชอบเกมแบบนี้พอสมควร

SHARE

Aisoon Srikum

Back to top