BY Zreast
10 Nov 23 5:43 pm

รวมจุดเชื่อมโยงของ Alan Wake 2 และ Control ภายใต้จักรวาล Remedy Connected Universe

1,104 Views

Alan Wake 2 ถือเป็นอีกหนึ่งเกมที่โดดเด่นมากในปี 2023 โดยเฉพาะในด้านงานศิลป์, การนำเสนอ และการเล่าเรื่อง ซึ่งทีมงาน Remedy Entertainment ก็ยังคงไม่ทำให้แฟน ๆ ต้องผิดหวัง

นับจากวันที่พวกเขายืนยันว่า Alan Wake กับ Control นั้นอยู่ในจักรวาลเดียวกันอย่าง “Remedy Connected Universe” เราก็ได้เห็นการเชื่อมโยงระหว่าง 2 เกมที่หนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งล่าสุดกับ Alan Wake 2 เอง ก็เป็นอีกก้าวสำคัญ ซึ่งเต็มไปด้วยความเชื่อมโยงที่น่าสนใจมากมาย

ดังนั้นใครที่เล่น Alan Wake 2 จบแล้ว สงสัยว่าในเกมนี้มีจุดเชื่อมโยงกับ Control ตรงไหน, มี Easter Egg หรือประเด็นใดที่น่าสนใจบ้าง ก็มาร่วมหาคำตอบไปพร้อม ๆ กับเรากันได้เลย

*** บทความนี้มีสปอยล์เนื้อเรื่องเต็มพิกัด ทั้ง Alan Wake, Control รวมถึงเกมล่าสุดอย่าง Alan Wake 2 ***

หน่วยงาน FBC จากเกม Control

Federal Bureau of Control (FBC) คือหน่วยงานลับสุดยอดของสหรัฐในจักรวาล Remedy ซึ่งคอยเฝ้าติดตาม, แก้ไข และดูแลปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นไปทั่ว นี่คือองค์กรที่ Jesse Faden (ตัวเอก Control) เข้ามารับตำแหน่งเป็น ผ.อ. และต้องวิ่งวุ่นแก้ไขวิกฤติภายในออฟฟิศ อันเป็นเหตุการณ์ในเกม Control นั่นเอง

ในเนื้อเรื่องหลักของเกม Control จะเริ่มมีการพูดถึง Alan Wake แล้วพอสมควร จากเอกสารในแผนกกักเก็บของ FBC โดยระบุใจความที่น่าสนใจไว้ดังนี้

  • FBC รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเกม Alan Wake ภาคแรก และเรียกปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติที่ทะเลสาบ Cauldron Lake ว่าเป็น “Bright Falls AWE”
  • หลังความวุ่นวายในภาคแรก ทาง FBC ก็เข้ามาดูแลและควบคุม พร้อมสัมภาษณ์พยานผู้พบเห็น ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ “Alice Wake” ภรรยาของ Alan ที่รอดมาได้ในตอนจบเกม Alan Wake
  • ในเอกสารของ FBC มีการระบุด้วยว่า Alice ถูกคุกคามจาก Scratch มาโดยตลอด ซึ่งประเด็นนี้ก็ถูกขยายมาเล่าแบบเต็ม ๆ ไปแล้วในเกม Alan Wake 2
  • FBC มองว่า Alan มีแนวโน้มที่จะเป็น Parautilitarian (ผู้ที่ใช้พลังเหนือธรรมชาติได้) และ Alan ก็เคยเป็นหนึ่งในแคนดิเดตที่ FBC สนใจให้มารับช่วงต่อในตำแหน่ง ผ.อ.
  • FBC เข้ามาตั้งสถานีตรวจวัดปรากฏการณ์ AWE ใน Bright Falls เพื่อเฝ้าระวังการเกิดซ้ำ และให้เจ้าหน้าที่มาคอยตรวจเช็คอยู่เรื่อย ๆ

หลังจากนั้นมา ทีมงาน Remedy ก็ปล่อยภาคเสริมของ Control อย่าง “AWE” (Altered World Event) เพื่อขยับให้ทั้งสองเกมเข้าใกล้กันไปอีกขั้น

โดยเนื้อหาของภาคเสริมตัวนี้ Jesse จะได้รู้ว่าที่ FBC มีสถานกักเก็บตัว Dr. Emil Hartman อยู่ เขาคือนักจิตวิทยาจากเกม Alan Wake ภาคแรก ซึ่งได้รับผลกระทบจากพลังของ Cauldron Lake และ The Hiss จนกลายเป็นสัตว์ประหลาดรูปร่างน่าสะพรึงกลัว ผสมผสานกันจาก 2 เกม ทั้งพฤติกรรมแพ้แสง และมีกลิ่นอายความเป็น SCP อยู่ด้วย

Jesse เข้าไปจัดการปัญหาที่ Hartman หลุดออกมา และจบลงด้วยการกำจัด Hartman ทิ้ง ซึ่งในระหว่างนี้เอง เธอก็ได้รับรู้ถึงตัวตนของ Alan Wake ที่ยังคงติดอยู่ใน Dark Place

และหลังจากที่เรื่องราวของภาคเสริมตัวนี้จบลง ทาง FBC ก็ได้รับสัญญาณเตือนเกี่ยวกับปรากฏการณ์ AWE ระดับร้ายแรงขั้นสุด ซึ่งจะเกิดขึ้นที่ Bright Fall อีกครั้งใน 2 ปีข้างหน้า อันเป็นการปูทางไปสู่เกม Alan Wake 2 นั่นเอง

บทบาทของ FBC ใน Alan Wake 2

Bright Falls ใน 13 ปีให้หลังนั้นเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร โดยในช่วงแรก เราจะได้เห็นว่า FBC เข้ามาตั้งสถานีตรวจวัดปรากฏการณ์ AWE อยู่จริง ๆ บริเวณริมทะเลสาบ Cauldron Lake, สถานที่เจ้าปัญหาของเกมนี้

โดยเราจะได้เจอพร้อมกับ Ilmo และเจ้าหน้าที่เทคนิคคนหนึ่ง ทั้งคู่บ่นว่าเจ้าเครื่องนี้มักจะโดนแรคคูนเข้ามาป่วนเป็นประจำ ตรงตามที่เคยปรากฏในเอกสารของเกม Control เป๊ะ ๆ เรียกได้ว่าทีมงาน Remedy เก็บรายละเอียดได้ดีทีเดียว

นอกจากนี้ เมื่อ Alan กลับออกมาจาก Dark Place ได้ในบท Return 2 (The Heart) เราจะพบว่าเครื่องตรวจวัดนี้เริ่มส่งเสียงเตือนแล้ว และเตือนยาว ๆ ไปจนจบเกมเลย

โดยการเตือนนี้ก็น่าจะมาจากตอนที่ Saga กดใช้ Clicker เพื่ออัญเชิญ Alan กลับมาในบท Return 8 (Summoning) ซึ่งเป็นการบูสต์พลังของ Bright Falls AWE ด้วยอำนาจที่เข้มข้นมาก จนทำให้ Alan ออกมาได้จริง ๆ เพียงแต่ว่าเส้นเวลาของ Saga ในโลกจริง กับ Alan ใน Dark Place นั้นทับซ้อน / เหลื่อมกัน จึงกลายเป็นว่าเหตุการณ์นี้ส่งผลลัพธ์กลับไปยังอดีตแทน (บท Return 2)

ในระหว่างที่ Saga Anderson สืบเรื่องราวต่าง ๆ เธอจะได้เจอกับ “Nursery Rhyme” พัซเซิลบทกวีที่กระจัดกระจายอยู่ทั่ว Bright Falls, นี่ก็คือหนึ่งในการทดลองของนักวิจัยจาก FBC ซึ่งถ้าผู้เล่นตามหา Rhyme เหล่านี้จนครบ ก็จะได้รับการติดต่อจากนักวิจัยคนนั้นด้วย ทำให้รู้จุดประสงค์ว่าเขาต้องการเฝ้าดูปรากฏการณ์ ‘Bright Falls AWE’ ที่สามารถเปลี่ยนผลงานศิลปะให้กลายมาเป็นความจริงได้

และเมื่อเนื้อเรื่องดำเนินไปสักพัก ในที่สุดเจ้าหน้าที่ FBC ก็โผล่เข้ามารับช่วงต่อจาก Saga เอง นำโดย “Kiran Estevez” เจ้าหน้าที่ที่เคยถูกพูดถึงมาแล้วในช่วงท้ายภาคเสริม AWE ของ Control ว่าเธอคือคนที่เข้ามาคอยดูแลเคส Bright Falls AWE

พอมาถึงจุดนี้ ก็เท่ากับว่า FBC เข้ามามีบทบาทกับเกม Alan Wake แบบเต็ม ๆ แล้ว โดยเราจะได้เห็นอุปกรณ์ไฮเทคมากมายจากทาง FBC ทั้งไฟฉายพลังงานสูง, ตู้กักเก็บสิ่งเหนือธรรมชาติ ไปจนถึง “Power Node” ก้อนแบตเตอรี่ที่ FBC ใช้จ่ายไฟให้กับอุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งใครเคยเล่น Control มาก่อน ก็จะรู้จักสิ่งนี้เป็นอย่างดี

“Ahti” หัวหน้าภารโรงสุดลึกลับ

มาถึงจุดนี้ “Ahti” ไม่ใช่คนธรรมดาแน่ ๆ เพราะนอกจากเขาจะมีบทบาทสำคัญใน Control แล้ว เจ้าตัวก็ยังไปโผล่ใน Alan Wake 2 ด้วย โดยคอยช่วยเหลือ Alan ใน Dark Place (ชี้ทางไปเจอกับคทา Angel Lamp) แถมยังช่วยชี้ทางให้ Saga ในโลกจริง ช่วงที่อยู่ในบ้านพักคนชรา

ดังนั้นแล้ว Ahti (รับบทโดย Martti Suosalo) ก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งตัวละครไอคอนประจำจักรวาล Remedy แน่นอน ซึ่งแม้ว่าจนถึงตอนนี้ เราก็ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขามากนัก แต่เชื่อว่าผู้เล่นก็น่าจะอุ่นใจทุกครั้งเมื่อมี Ahti อยู่ใกล้ ๆ หรือตอนที่ได้ยินเสียงเพลง Yötön Yö (Nightless Night) อันเป็นเหมือนธีมประจำตัวของเขาไปแล้ว

“AWE” & “Object of Power” คีย์เวิร์ดที่น่าจะได้ยินไปอีกนาน

เรื่องราวต่าง ๆ ของเกม Control และ Alan Wake เกิดขึ้นโดยมีปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ หรือที่เรียกว่า “AWE” เป็นส่วนสำคัญ ดังนั้นแล้วทีมงาน Remedy ก็น่าจะใช้ AWE ในการขับเคลื่อนพล็อตเรื่องให้กับเกมของพวกเขาหลังจากนี้ต่อไป และไม่แน่ว่าในเกม IP ใหม่ (ซึ่งยืนยันแล้วว่ามีแน่นอน) เราก็อาจจะได้รู้จักกับ AWE แบบใหม่เพิ่มเติมมาอีก นอกเหนือจากที่เด่น ๆ อย่าง Bright Falls AWE และ Ordinary AWE

และถ้าพูดถึง AWE แล้ว ก็คงไม่พูดถึง “Object of Power” (OoPs) ไม่ได้ นี่คือสิ่งของที่ยึดโยงเข้ากับพลังเหนือธรรมชาติต่าง ๆ และถูกใช้เป็น Plot Device ให้กับเกมของค่ายนี้อยู่หลายครั้ง

โดยในฝั่งของเกม Control จะมีที่เด่น ๆ เลยก็คือ

  • “Service Weapon” อาวุธประจำตำแหน่ง ผ.อ. ที่ Jesse ถืออยู่
  • “Hotline” โทรศัพท์สายด่วนที่ใช้ติดต่อกับ The Board หรือกับคนที่ตายไปแล้ว
  • “Slide Projector” เครื่องฉายสไลด์ที่เปิดประตูสู่มิติอื่นได้ ต้นกำเนิดความวุ่นวายในเกม Control

ส่วนในฝั่งของ Alan Wake นั้น ก็มีสิ่งที่น่าสงสัยว่าจะเป็น Object of Power อยู่เช่นกัน ได้แก่

  • “Clicker” (ค่อนข้างชัวร์) สวิตช์ไฟที่สามารถบูสต์พลังในการเนรมิตให้งานศิลปะต่าง ๆ กลายเป็นความจริง
  • “Angel Lamp” (ไม่ยืนยัน) คทาเก็บแสงไฟที่ Rose ส่งมาให้ Alan ผ่านกล่องรองเท้า ก็มีแนวโน้มจะเป็น Object of Power อีกชิ้น ติดตรงที่ว่าเรายังเห็นมันถูกใช้อยู่แค่ใน Dark Place เท่านั้น

Easter Egg / Reference ยิบย่อยใน Alan Wake 2 ที่เชื่อมโยงกับ Control

  • มีหนังสือของ Dr. Darling แห่ง FBC อยู่ในห้องรับรองของ Mr. Door
  • ชื่อ “Oceanview Hotel” ใน Dark Place คล้ายกันกับ “Oceanview Motel” ที่เป็น Place of Power ในเกม Control
  • มีวิดีโอฟุตเทจของ Jesse Faden และ Dr. Darling โผล่มาชั่วขณะ ในห้องของ Oceanview Hotel ที่ Alan พบกับ Zane

  • Estevez เล่าให้ Saga ฟังว่าสาเหตุที่ FBC ส่งกำลังคนมาที่ Bright Falls ไม่เยอะสักเท่าไร เป็นเพราะ FBC เองก็มีปัญหาที่สำนักงานใหญ่อยู่ ซึ่งส่วนนี้อาจหมายถึงการเก็บกวาด The Hiss และ Object of Power ต่าง ๆ หลังจบเกม Control ภาคแรก
  • มีตุ๊กตาเป็ดอยู่ในห้องซาวน่า (Return 3: Local Girl) และรูปปั้นนกฟลามิงโก้ ในสวนสนุก Coffee World ซึ่งทั้ง 2 อย่างนี้ รูปร่างและสีสันคล้ายกันกับ Object of Power ในเกม Control

ร็อครุ่นเก๋า “Old Gods of Asgard”

วงเฮฟวีเมทัลที่อยู่คู่กับเกมของ Remedy Entertainment มานานนับตั้งแต่ Alan Wake ภาคแรก, ที่ Alan ได้รู้จักกับสองพี่น้อง “Tor” และ “Odin

ทั้งสองคนนี้ ทำวง Old Gods of Asgard ร่วมกัน ก่อนจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการช่วย Alan ตามหา Clicker ผ่านบทเพลง “The Poet and the Muse” (Find the lady of the light, gone mad with the night, that’s how you reshape destiny)

สำหรับวง Old Gods of Asgard เป็นบทบาทที่สวมโดยวงร็อคสัญชาติฟินแลนด์อย่าง “Poets of the Fall” อีกทีหนึ่ง พวกเขาร่วมทำเพลงให้กับทีมงาน Remedy มาตั้งแต่เกม Max Payne 2 แล้ว ส่วนในเกมล่าสุดอย่าง Alan Wake 2 ก็เล่นใหญ่ถึงขนาดที่นำสมาชิกวงมาร่วมเล่น Live Action ด้วยกันเลย ใน Chapter มิวสิคัลอันตราตรึงอย่าง “We Sing”

ดังนั้นแล้ว วงนี้ก็น่าจะมีส่วนร่วมกับเกมถัด ๆ ไปของ Remedy Connected Universe อีกแน่นอน ไม่ว่าจะมาในรูปแบบของเพลงประกอบ หรือมาแบบเต็มยศกับสองตัวละครสุดซ่าอย่าง Tor และ Odin

บทเพลงของ Old Gods of Asgard (Poets of the Fall) ที่แต่งเพื่อใช้ในเกมของ Remedy

Alan Wake

  • Children of the Elder God – Episode 4: The Truth – ฉากสู้บนเวทีคอนเสิร์ต
  • The Poet and the Muse – Episode 4: The Truth – ฉากเล่นแผ่นเสียง

Alan Wake’s American Nightmare

  • Balance Slays the Demon – Act I – ฉากสู้ในหอดูดาว

Control

  • Take Control – ฉากฝ่าเขาวงกต Ashtray Maze

Alan Wake 2

  • Herald of Darkness – Initiation 4: We Sing – ฉากมิวสิคัล
  • Anger’s Remorse – Return 5: Old Gods – ฉากเล่นแผ่นเสียงเพื่อเข้าไปใน Overlap
  • Dark Ocean Summoning – Return 7: Summoning – ฉากเล่นคอนเสิร์ตริมทะเลสาบ

นอกจากนี้ ใน Control ก็มีเพลงเดิมของวง Poets of the Fall มาประกอบด้วยอยู่ 1 เพลง นั่นคือ “My Dark Disquiet” ซึ่งถูกเปิดจากลำโพงขนาดใหญ่ ในห้อง ๆ หนึ่งบริเวณชั้นล่างของศูนย์วิจัยใน FBC

พระเอกเกมเก่า เกิดใหม่ใน Remedy Connect Universe

เป็นที่ทราบโดยทั่วกันว่าคุณ Sam Lake, ผู้กำกับและมือเขียนบทคนเก่งของ Remedy ก็มีส่วนร่วมกับ Alan Wake 2 อย่างหนาแน่น ในบทบาทของตัวละคร “Alex Casey” ซึ่งเจ้าตัวเป็นทั้งต้นแบบโฉมหน้า และยังมาร่วมแสดงในพาร์ท Live Action เองด้วย เคียงข้างกับนักแสดงนำอย่าง Ilkka Villi (Alan Wake) และ Melanie Liburd (Saga Anderson)

โดยโฉมหน้าของ Sam Lake และเสียงพากย์โดย James McCaffrey นั้น ก็ตรงกันกับตัวละคร Max Payne ในเกม Max Payne เมื่อครั้งวันวานพอดี ซึ่งถ้าลองจินตนาการดูขำ ๆ นี่ก็เหมือนเป็นการนำตัวเอกของเกมเก่า มาเกิดใหม่ที่จักรวาลนี้ ในฐานะเจ้าหน้าที่ FBI คู่หูนักสืบคนสนิทของ Saga ที่ชีวิตเหมือนถูกเล่นตลก เพราะชื่อดันตรงกับพระเอกนิยายของ Alan Wake (แต่แน่นอนว่าเกม Max Payne Remake จริง ๆ ทาง Remedy ก็ยังทำอยู่)

นอกเหนือจากคุณ Sam Lake แล้ว ใครที่เคยเล่น Quantum Break มาก่อนก็น่าจะยิ้มกว้างทันทีเมื่อได้เห็นโฉมหน้า “Tim Breaker” นายอำเภอคนปัจจุบันของ Bright Falls เพราะตัวละครนี้แสดงโดยคุณ Shawn Ashmore เจ้าของบทบาท Jack Joyce, ตัวเอกเกม Quantum Break นั่นเอง

ที่สำคัญคือ Tim Breaker ไม่ได้เป็นแค่ตัวละคร Cameo หรือเป็นแค่ลูกพี่ลูกน้องของ Sarah Breaker จากภาคแรก เพราะยิ่งเราเล่นไปเรื่อย ๆ ก็จะได้เห็นเขาปรากฏตัวมาบ่อย ๆ ใน Dark Place และดูเหมือนว่าทีมงานจะวางเนื้อเรื่องไว้แล้วพอสมควร ให้ Tim ได้มีส่วนร่วมกับจักรวาลนี้ต่อไปอีกยาว ๆ

ดังนั้นแล้ว ถึงแม้ว่าเกม Max Payne กับ Quantum Break จะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ Remedy Connect Universe แต่ดูเหมือนว่าทีมงาน Remedy ก็แอบหาทางเอาตัวเอกทั้ง 2 คนมาเกิดใหม่ในจักรวาลนี้จนได้ เผลอ ๆ ก็มีลุ้นว่า Alex Casey และ Tim Breaker จะได้มีเกม / DLC แยกเป็นของตัวเองเสียด้วยซ้ำ หากจังหวะเป็นใจ

นอกเรื่องเล็กน้อย – ส่วนตัวแล้ว ผู้เขียนรู้สึกประหลาดใจและประทับใจมาก ที่ได้เห็นคุณ Sam Lake เข้ามามีส่วนร่วมกับเกมที่ตัวเองกำกับเยอะขนาดนี้ ทั้งการแสดงในมิวสิคัล ไปจนถึงการทุ่มตัวเล่นหนังสั้นอย่าง ‘Nightless Night’ (บท Initiation 8 – Zane’s Film) ซึ่งเอาจริง ๆ แล้วมันเป็นแค่องค์ประกอบเสริมอันหนึ่ง ที่ผู้เล่นบางคนอาจมองข้ามไปด้วยซ้ำ แต่เพราะความจริงจัง & เล่นใหญ่ในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบนี้นี่เอง ถึงได้ทำให้หลายคนหลงรักในผลงานของ Remedy Entertainment เสมอมา

“Mr. Door” ตัวละครลึกลับใน Dark Place

หนึ่งในปริศนาที่ยังไม่ได้รับการเฉลยของ Alan Wake 2 ก็คือ “Mr. Door” หรือ Warlin Door (รับบทโดย David Harewood), บุคคลลึกลับที่อยู่ใน Dark Place ร่วมกันกับ Alan และ Tim Breaker

จากความสามารถในการหยั่งรู้ (Seer) ของ Saga ทำให้เราพอทราบคร่าว ๆ ว่า Mr. Door น่าจะเป็นตัวตนที่อยู่เหนือมิติ/กาลเวลา และมีพลังเดินทางข้ามระนาบมิติต่าง ๆ ได้

โดยสิ่งที่เกมบอกเรามา ผ่านการ Profiling ของ Saga ในช่วงท้าย ๆ คือ

“Dark Place นั้นมีรูปโฉมที่หลากหลาย และมีชื่อเรียกมากมาย

เพราะมันก็เหมือนกระจกที่สะท้อนความเป็นจริง ที่สามารถเป็นไปได้

คนในตระกูล Door มีพลังที่สามารถ (เดินทาง) สับเปลี่ยน ระหว่างความเป็นจริงต่าง ๆ ภายใน Dark Place”

นอกจากนี้ ดูเหมือนว่า Mr. Door ก็มีปมพัวพันกับ Tim Breaker อยู่ เพราะ Tim บอกว่าเขาเคยเห็นหน้าของ Mr. Door ในฝันมานานหลายปีแล้ว (ตรงจุดนี้ อ้างอิงถึงเกม Quantum Break พอสมควร) จนกระทั่งถูก Mr. Door ดึงเข้ามาติดอยู่ใน Dark Place และทำให้เจ้าตัวต้องหันมาสืบสาวไล่ตามหาตัว Mr. Door กลายเป็นอีกเส้นเรื่องเล็ก ๆ ที่ดำเนินอยู่เบื้องหลังไปพร้อมกับเรื่องราวของ Alan

ในส่วนของ Mr. Door, นี่คือตัวละครที่เคยถูกพูดถึงมาก่อนแล้วในเกม Control จากปากคำของ Dylan (น้องชาย Jesse) ซึ่งระหว่างที่เขากำลังพร่ำเพ้ออยู่ ก็มีช่วงหนึ่งที่เอ่ยถึงคนชื่อ Door และคน ๆ นี้เคยบอกกับ Dylan ไว้ ว่าภายนอกนั้นยังมีมิติอื่น ๆ อยู่อีกมากมาย

ความเป็นไปได้ของภาคเสริมทั้ง 2 ตัว

ทีมงาน Remedy ประกาศไว้แบบชัดเจนแล้วตั้งแต่ก่อนที่ Alan Wake 2 จะออกวางขาย ว่าเกมนี้จะมีภาคเสริมแน่นอน 2 ตัว

  • ตัวแรกใช้ชื่อว่า “Night Springs” มีกำหนดวางขายช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ 2024 (มีนาคม – มิถุนายน)
  • ตัวที่สองใช้ชื่อว่า “Lake House” จะตามมาหลังจากนั้น ยังไม่ระบุช่วงเวลา

ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีรายละเอียดใด ๆ แต่แค่ชื่อก็เพียงพอที่จะทำให้เราคาดเดาได้แล้ว เพราะ ‘Night Springs’ คือชื่อของซีรีส์แนว ๆ Twilight Zone ที่โด่งดังมากในเนื้อเรื่อง ซึ่งลูกสาวของ Saga เองก็ติดงอมแงม

ขณะเดียวกันก็ยังเป็นชื่อของเมืองสมมุติที่ล้อชื่อมาจาก Bright Falls และถูกใช้เป็นฉากหลังในเกม Alan Wake’s American Nightmare ด้วย

ดังนั้นก็น่าติดตามทีเดียว ว่าภาคเสริมตัวนี้ ทางทีมงานจะเลือกหยิบส่วนใดมาขยายต่อ ระหว่างฝั่งซีรีส์ หรือการเชื่อมโยงกับภาค American Nightmare

ส่วน ‘Lake House’ นั้น คือชื่อศูนย์วิจัยของ FBC ที่มาตั้งอยู่ในเขต Bright Falls เพื่อศึกษาวิเคราะห์เกี่ยวกับปรากฏการณ์ AWE ที่เกิดขึ้นในปี 2010 (Alan Wake ภาคแรก)

โดยภายในเกม เราจะได้เห็นประตูทางเข้าของศูนย์วิจัยนี้บริเวณ Cauldron Lake (ถัดจาก Murder Site ลงมาทิศใต้) ซึ่งพอภาคเสริมตัวที่ 2 นี้อัปเดตเข้ามา ก็คาดว่าจะเป็นการปลดล็อคพื้นที่ให้เราเข้าไปสำรวจและดำเนินเนื้อเรื่องกันต่อในนั้น

จากคำโปรยของทีมงาน Remedy, ดูเหมือนว่า ณ ศูนย์วิจัย Lake House จะมีเหตุการณ์ผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้น จึงมีความเป็นไปได้ว่าภาคเสริมตัวนี้ จะเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ Crossover ครั้งใหญ่ระหว่าง Alan Wake กับ Control และต้องรอติดตามข้อมูลเพิ่มเติมกันต่อไป

 


 

ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เรารู้ สำหรับความเชื่อมโยงกันของ Alan Wake กับ Control ภายใต้ Remedy Connected Universe ซึ่งถ้ามีประเด็นใดที่น่าสนใจอีก เราก็อาจนำมาเล่าสู่กันฟัง ขยายความเพิ่มเติมกันในภายหลัง

ปัจจุบัน Alan Wake 2 วางจำหน่ายแล้วทั้งบน PlayStation 5, Xbox Series X|S และ PC (Epic Games Store)

 


 

บทความที่เกี่ยวข้อง :

สรุปเนื้อเรื่อง Alan Wake ภาคแรก ฉบับรวบรัด
Alan Wake 2 – เกมสยองขวัญภาคต่อ ที่เล่าย้อนความจากภาคแรกด้วยเทคนิคสุดบรรเจิด

Satthathan Chanchartree

ฟ่าง - Content Writer

Back to top