BY Aisoon Srikum
21 Dec 21 5:39 pm

8 สิ่งในเกมที่ควรจะฟรี แต่กลายเป็น DLC เสียเงินซะอย่างนั้น

9 Views

ในวันที่วงการอุตสาหกรรมเกมเปลี่ยนแปลงไป หลายสิ่งหลายอย่างก็เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย การวางจำหน่ายตัวเกมก็ต้องมีเนื้อหาเสริม เพิ่มเติมเข้ามาให้ผู้เล่นต้องจ่ายเงินเพิ่ม บางอย่างก็ยอดเยี่ยม สมราคา แต่กับบางอย่างกลับดูเป็นสิ่งที่เราควรจะได้มาฟรี ๆ แต่ทางผู้พัฒนากลับให้เราเสียเงินเพิ่มซะอย่างนั้น และนี่คือของในเกมต่าง ๆ ที่มันควรจะได้ฟรี แต่กลับกลายเป็น DLC เสียเงินซะอย่างนั้น

1. Metro: Last Light – Ranger Mode

Maxresdefault

ซีรีส์ Metro คือซีรีส์ของเกมยิงสุดระทึกที่มาพร้อมประสบการณ์การเล่นอันยอดเยี่ยม และเป็นที่ยอมรับของเหล่าแฟนเกมในวงกว้าง ตัวเกมมีโหมดพิเศษนั่นคือ Ranger Mode ที่จะมอบประสบการณ์แบบ Realism ในการเล่นให้กับผู้เล่น ทั้งความยากที่สูงขึ้น พกพาอาวุธได้อย่างจำกัด และบางครั้งการโจมตีเพียงครั้งเดียวก็อาจจะฆ่าผู้เล่นได้ เป็นโหมดที่แฟน ๆ เกมที่ชอบความท้าทายควรสัมผัส แต่ประเด็นคือ โหมดเกมที่ควรจะมีให้เราเลือกเล่นได้นี้ กลับมาในรูปแบบ DLC เสียเงินซะอย่างนั้น โชคดีที่ตอนนี้ Metro Last Light Redux ก็น่าจะมัดตัว DLC นี้มาให้แล้ว แต่ในช่วงแรกที่เกมวางจำหน่าย DLC นี้ ก็เป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไม่น้อยเลยทีเดียวว่ามันไม่ควรจะต้องเสียเงินเลย

2. Metal Gear Survive – เพิ่ม Slot ในการเซฟเกม

นี่อาจจะเป็นการจ่าย DLC ที่ไร้สาระที่สุดในประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้ กับการเสียเงินเพื่อซื้อสล็อทในการเซฟเกมเพิ่ม และเกมนั้นก็คือ Metal Gear Survive ซีรีส์เกม Metal Gear ที่ได้รับการสานต่อโดย KONAMI แต่ไร้เงา Hideo Kojima เกมดังกล่าวจะมีหน่วยเงินที่ชื่อว่า SV ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ในภาคนี้ระบบเกมได้บีบบังคับให้ผู้เล่นต้องใช้จ่ายเงินให้เยอะมากขึ้น และมันหนักถึงขั้นที่ว่าหากผู้เล่นจะอยากเซฟเกมได้มากขึ้น ก็ต้องทำการเสียเงินซื้อช่องเซฟเกมเพิ่ม แถมถ้าเกิดอยากปรับแต่งตัวละครเพิ่มด้วยก็ต้องจ่ายมากขึ้นไปอีก ทั้ง ๆ ที่การปรับแต่งตัวละครและการเซฟเกม มันควรจะเป็นของพื้นฐานของเกมอยู่แล้ว แต่เกมนี้ดันต้องจ่ายเพิ่ม ก็ไม่ต้องแปลกใจถ้าทัวร์จะลง KONAMI แบบอะไรก็ห้ามไม่ได้ เพราะนอกจากจะเอาเกมเทพมายำแล้ว ยังจะเก็บเงินเพิ่มจากระบบเกมที่ไม่ควรต้องเสียเงินด้วย

3. Harry Potter: Hogwarts Mystery – แทบทุกอย่างภายในเกมตั้งแต่ต้นเกม

แฟน ๆ Harry Potter น่าจะทราบกันดี สำหรับภาคเกมมือถือที่จะต้องมีระบบการจ่ายเงินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ถ้าจะบอกว่าเพราะแค่การเติมพลัง Energy ในการเล่น ก็ไม่ควรถูกจัดมาอยู่ในลิสต์นี้ แต่ปัญหาของตัวเกมภาค Hogwarts Mystery นี้คือ ตัวเกมบังคับให้ต้องใช้พลังงานจำนวนมหาศาลจนเกินไปตั้งแต่ช่วงต้นเกม จนผู้เล่นแทบจะยังไม่ทันหาความสนุกจากตัวเกมได้เลยด้วยซ้ำ ยังไม่รวมถึงชุดแฟชั่นที่มอบความสามารถที่เกินหน้าเกินตาคนที่ไม่เติมเงินเลย เป็นอีกหนึ่งเกมใหญ่ที่หลายอย่างควรจะให้ผู้เล่นได้ฟรีบ้าง แต่กลับเก็บเงินแบบทุกเม็ดทุกหน่วยจนหลายคนทนไม่ไหวจริง ๆ

4. Dungeon Keeper Mobile – เติมเงินเพื่อให้เล่นซ้ำอีกรอบได้

นี่คือซีรีส์เกมชื่อดังที่ใครหลายคนชื่นชอบ แต่เมื่อมาอยู่บนเวอร์ชั่นมือถือ มันแทบจะทำเอาแฟน ๆ หลายคนหัวใจสลาย Dungeon Keeper Mobile มาพร้อมโฆษณาและ Microtransaction แบบจัดหนักจัดเต็มจนถึงขั้นที่หน่วยงานกำกับดูแลการโฆษณาของสหราชอาณาจักร ยังต้องเข้ามาดูแลและควบคุมเรื่องนี้ การเติมเงินจะทำให้คุณเล่นได้บ่อยกว่าคนอื่น ซื้อไอเทมด้วยเงินจริงเพื่อขยายลิมิตเวลาการเล่น ขยายดันเจี้ยนของคุณโดยใช้เงินจริง ฟังดูมันอาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในตอนนี้เพราะบางเกมก็ทำ แต่ตอนที่เกมนี้เปิดตัวออกมาเมื่อปี 2013 ที่เป็นยุคเกมมือถือกำลังเริ่มบุกตลาด เกมนี้ถือว่าเลวร้ายสุด ๆ เลยทีเดียว การเล่นซ้ำที่ควรจะทำได้ฟรี แต่เสียค่าพลังงานในเกมแทน กลับต้องเติมเงินซะอย่างนั้น ถือว่าหนักหนาจริง ๆ

5. The Elder Scrolls IV: Oblivion – ม้าใส่เกราะ

แม้ว่า Elder Scrolls จะเป็นสุดยอดเกมที่แฟนเกมทุกคนต้องเล่นกัน แต่ในบางครั้งตัวเกมก็ใส่ระบบแพคเกจขายของเพิ่มในเกมที่ดูจะไม่ค่อยจำเป็นเข้ามา อย่างเช่นตัวเกมภาค Oblivion ที่มีการขายม้าใส่เกราะ ทั้งที่มันควรจะเป็นสกินที่หามาได้แบบฟรี ๆ แต่เจ้าม้าใส่เกราะตัวนี้ กลับถูกขายเป็น DLC เสริมในราคา 2.50$ แทน ทั้งที่มันเป็นแค่เกราะม้า จริงอยู่ว่ามันจะไม่ได้ช่วยให้เราเก่งขึ้น หรือมีสเตตัสที่สูงขึ้น แต่ก็เกิดเป็นคำถามที่ว่า ทำไมแค่เกราะม้า ถึงต้องจ่ายเงินเพิ่มกันด้วย

6. Asura’s Wrath – ตอนจบที่แท้จริง

เมื่อใดก็ตามที่พูดถึง DLC ที่เราไม่ควรจะเสียเงินให้ ยังไงก็ต้องมี Asura’s Wrath อยู่ในนั้นด้วยแน่ ๆ เพราะนี่คือตำนานเกมที่คุณจะต้องจ่ายเงินเพิ่มเพื่อซื้อฉากจบที่แท้จริงของเกมมาเล่นต่อ แพคเกจ DLC เสริมของเกมนี้จะประกอบไปด้วยเนื้อหาหลักอีก 4 ตอนด้วยกัน นั่นคือตอนที่ 19-22 และหากต้องการจะเห็นฉากจบที่แท้จริงของเกมนี้ คุณก็จำเป็นจะต้องซื้อ DLC ของเกมนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าจะทำออกมาได้ดี สมราคา แต่คำถามที่ตามมาก็คือ แค่ฉากจบของเกมที่แท้จริง ใส่เข้าไปในเกมให้มันจบในตัวเลยก็ได้ เหตุใดต้องมาหั่นแยกขายเป็น DLC แบบนี้ด้วย ถึงจะไม่มีใครรู้ได้ แต่หากพูดถึงของที่มันควรจะฟรี แต่กลับต้องจ่ายเงินเพิ่ม ตอนจบของ Asura’s Wrath จะติดลิสต์รายชื่อไปอีกนานเลยทีเดียว

7. Mega Man 9 – โหมดเกมเสริมที่ควรจะฟรี

อยากปรับความยากได้อย่างนั้นหรือ ? จ่ายเพิ่มสิ นี่คือ Mega Man 9 ตัวเกมที่ออกมาในปี 2008 ที่ถูกใจแฟนเกมในฐานะที่มันเคารพเกมต้นฉบับ และได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี แต่หลังการเปิดตัวเกม มันตามมาด้วยแพคเกจ DLC ราคาเบาที่นำเสนอโหมดพิเศษหรือ Extra Mode ที่ประกอบไปด้วยโหมด Endless Attack แล้ว ยังมีโหมด Survival ที่ให้เราเล่นไปได้เรื่อย ๆ รวมไปถึงความยากระดับโหมด Hero และ Super Hero ทั้งที่มันควรจะฟรีแท้ ๆ แต่กลับหั่นมาขายแยกซะอย่างนั้น ซึ่งเป็นปกติของทาง Capcom ไปแล้ว เพราะในปัจจุบัน Resident Evil เอง หากใครขี้เกียจเล่นก็มีการจ่ายเงินปลดล็อคของต่าง ๆ ตามมาด้วย ซึ่งแน่นอนว่า ทั้งที่มันควรจะฟรีนั่นแหละ

8. Resident Evil 2 & Village – จ่ายเงินเพื่อปลดล็อคของทั้งหมดในเกม

แฟน ๆ Resident Evil จะรู้ดีว่า เกมแต่ละภาคจะมีการเล่นซ้ำเพื่อปลดล็อคไอเทมหรือสิ่งของต่าง ๆ ภายในเกมได้ ไม่ว่าจะเป็นปืนพิเศษหรือไอเทมพิเศษ โดยเฉพาะในภาคหลัง ๆ มานี้ มีแทบจะทุกภาค แต่ใครเล่าจะอยากเล่นซ้ำ โดยเฉพาะคนที่ไม่ค่อยมีเวลาเล่นเกม ดังนั้น Capcom เลยเสนอทางเลือกในการให้จ่ายเงินเพื่อปลดล็อคไอเทมทั้งหมดภายในเกม ไม่ว่าจะเป็นปืนพิเศษ สกินตัวละครหรืออื่น ๆ อีกมาก ถ้าถามว่ามันควรจะฟรีไหม เราคงบอกได้แค่ว่า มันควร เพียงแต่ในเมื่อทำแบบนี้แล้วมีคนยอมจ่าย แล้วทำไมจะไม่ขายล่ะ ? โดยเฉพาะในภาคล่าสุดอย่าง Village ที่ใช้การปลดล็อคอาวุธใหม่ ๆ ด้วยการใช้แต้มที่ได้จากการทำเงื่อนไขต่าง ๆ ในเกม สำหรับคนที่ไม่มีเวลาเล่นเยอะมาก ก็ไม่แปลกอยู่แล้วที่จะมีคนจ่าย ทั้งที่จริง ๆ มันก็ควรจะฟรีนั่นเอง

 

 

 

SHARE

Aisoon Srikum

Back to top