BY Aisoon Srikum
9 Aug 21 5:53 pm

รีวิว: Back 4 Blood Beta การกลับมาของผู้ให้กำเนิด Left 4 Dead

78 Views

พูดถึงเกมแนว FPS Co-op ยิงซอมบี้ทั้งหลาย ชื่อของ Left 4 Dead ยังคงตราตรึงอยู่ในใจผู้เล่นมาอย่างเนิ่นนานแม้เวลาจะผ่านไปกว่า 10 ปีแล้ว มันคือผลงานที่ทำให้ Turtle Rock Studio ได้มีชื่อเสียงไปทั่วโลกภายใต้การดูแลของ Valve แต่เมื่อค่ายเกมระดับใหญ่ยักษ์นับ 3 ไม่ค่อยจะเป็น เราจึงไม่เคยได้เห็น Left 4 Dead ภาค 3 ได้ลืมตาดูโลกสักที จนในที่สุดพวกเขาก็ได้ย้ายไปร่วมงานกับ WB Games. และกลายเป็นเกมใหม่ในชื่อว่า Back 4 Blood ซึ่งจะเรียกมันว่า Left 4 Dead 3 ก็ดูจะไม่ค่อยเข้าท่า เพราะมันมีอะไรใหม่ ๆ ถูกใส่เข้ามาพอสมควร แต่จะมีอะไรบ้างจากประสบการณ์รอบ Beta วันนี้เราจะพาไปชมพร้อม ๆ กัน

การกลับไปหาความเป็นตัวเองของทีมผู้พัฒนา

เนื่องจากในช่วงเบต้านั้น ตัวเกมยังไม่มีเนื้อเรื่องมาให้แบบจริงจัง ดังนั้นเราจึงไม่สามารถพูดในส่วนของเนื้อเรื่องได้ แต่จากการเล่น ตัวเกมแบ่งเนื้อเรื่องออกเป็น Act ใหญ่ ๆ ภายใน 1 Act จะมีฉากย่อยให้เราได้เลือกลุยกัน ซึ่งคาดว่าเมื่อเกมเปิดเป็นตัวเต็ม จะมีการเล่าเรื่องแบบเต็ม ๆ กันอีกที สำหรับใครที่รู้จักสตูดิโอ Turtle Rock มา จะรู้ว่า เมื่อพวกเขาไม่ได้สานต่อ Left 4 Dead พวกเขาได้ย้ายไปทำเกมแนว PVP เกมหนึ่งที่มีชื่อว่า Evolve ซึ่งก็ล้มลุกคลุกคลานอยู่นาน จนกลายมาเป็น Evolve Stage 2 แต่ก็ยังฝืนต่อไม่ไหว จนมันต้องปิดตัวไปในที่สุด

เวลาผ่านไปนานหลายปี พวกเขากลับมาจับสิ่งที่ตัวเองถนัดอีกครั้ง นั่นคือเกมแนว FPS Co-op แบบร่วมมือกันฝ่าฝูงอสูรกาย ปีศาจ หรือซอมบี้ กล่าวได้ว่าในที่สุดพวกเขาก็กลับมาหาความเป็นตัวเองอีกครั้ง โดย Back 4 Blood นี้เป็นผลงานภายใต้การดูแลและจัดจำหน่ายโดยบ้านหลังใหม่อย่าง Warner Bros. Games และเชื่อว่า เมื่อใครหลายคนได้เห็นตัวอย่าง (หรือบางคนอาจจะได้ลองเล่นแล้ว) ก็อาจจะคิดว่ามันคือ Left 4 Dead 3 ชัด ๆ แต่ในความจริงแล้วมันก็ได้รับการพัฒนาเพิ่มเติมมาอีกมากมายเลยทีเดียว

Gameplay ที่หยิบเอาความยอดเยี่ยมของ Left 4 Dead มาต่อยอด

Back 4 Blood ยังคงเป็นเกม FPS Co-op แบบร่วมมือกันเล่น และคราวนี้ศัตรูของเรา ถูกเปลี่ยนจากซอมบี้ให้กลายเป็น Ridden ปรสิตที่ครั้งหนึ่งก็เคยเป็นมนุษย์ และมุ่งหน้าเตรียมสังหารมนุษย์ที่เหลืออยู่ทั้งหมด ซึ่งมันก็แทบไม่ต่างอะไรจากซอมบี้นัก เราจึงจะรับบทเป็นหนึ่งในตัวละครผู้รอดชีวิตเพื่อต่อสู้กับเหล่า Ridden และกอบกู้โลกใบนี้

สิ่งที่ต่างออกไปจาก Left 4 Dead คือคราวนี้ตัวละครจะมีมากหน้าหลายตามากขึ้น และพวกเขาไม่ได้มาแค่หล่อเท่หรือเน้นสวยงามอีกต่อไป เพราะตัวละครแต่ละตัวจะมาพร้อมกับความสามารถเบื้องต้นและความสามารถที่ส่งผลกระทบต่อทีมโดยตรง ยกตัวอย่างเช่น Hoffman ที่มีความสามารถทำให้ทีมแบกกระสุนได้มากขึ้น ส่วนตัวเขาเองจะถืออุปกรณ์จำพวก Offense ได้มากขึ้นอีก 1 ชิ้น / Walker ที่เพิ่มพลังชีวิตสูงสุดให้ทีมได้ ส่วนตัวเองจะทำดาเมจได้มากขึ้นด้วย นั่นคือทุกตัวละครจะมีค่าสเตตัสที่มาพร้อมการเพิ่มความแข็งแกร่งให้ทีม และตัวเองอยู่แล้ว แต่จะเลือกเก่งด้านไหนก็แล้วแต่ตัวผู้เล่นเอง

ต่อมาในส่วนของ Gameplay + Gunplay นั้น Back 4 Blood ยังคงเป็นการเดินหน้ายิงฝูง Ridden เพื่อไปให้ถึง Safe Room เพื่อเคลียร์แต่ละฉากให้จบเหมือนเดิม ส่วนของ Gunplay จะมีความแตกต่างกันจาก Left 4 Dead เอาแบบที่เห็นได้อย่างชัดเจนเลยคือ ในเกมนี้เราสามารถยกปืนขึ้นมาเล็งยิงแบบ Aim Down Sight ได้แล้ว และอาวุธทุกชนิดจะสามารถอัปเกรด ติดตั้งอุปกรณ์เสริม และปรับแต่งได้หมด ระหว่างตะลุยฉากเราจะมีโอกาสพบเจอกล่อง Supply ต่าง ๆ ซึ่งจะมอบไอเทมหลายรูปแบบมาคอยช่วยเหลือการต่อสู้ เช่นอุปกรณ์ตกแต่งปืน ยาฟื้นพลัง (ที่ยังคงมาหลายแบบ ทั้งยากล่องใหญ๋ ผ้าพันแผล หรือยาแก้ปวด) หรือบางทีก็เป็นกล่องอาวุธเลยก็มี และยังมีเงินเครดิตให้ได้เก็บเอาไว้ซื้อของในเกมการเล่นรอบต่อ ๆ ไปด้วย

และนี่น่าจะเป็นไม่กี่เกมที่มีความรู้สึกว่า อาวุธอย่างปืนสั้น (Pistol) นั้น มีประโยชน์อย่างแท้จริง ปืนพกในเกมนี้ยังคงมีหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นปืนอย่าง Glock ที่ยิงได้รวดเร็วและต่อเนื่อง หรือจะเป็นปืนพกสายโหดอย่าง D-Eagle หรือ Revolver / Magnum ที่เรียกได้ว่า 1 นัด 1 ศพ ก็มีมาให้เลือกใช้ แถมยังติดตั้งลำกล้องระยะไกลได้อีก บางครั้งเราก็แยกไม่ออกเหมือนกันว่าถือปืนประเภทอะไรอยู่กันแน่

ช่วงเริ่มต้นแต่ละฉาก หากเป็น Left 4 Dead นั้น จะเป็นการหยิบอาวุธ เติมกระสุน เก็บกล่องพยาบาล แล้วลุยต่อกันเลย แต่ใน Back 4 Blood จะถูกปรับเป็นช่วง Buy Phase หรือช่วงเวลาซื้อของ ประมาณ 3 นาที โดยจะเริ่มซื้อของและเปิดประตูออกไปลุยได้ก็ต่อเมื่อสมาชิกในทีมโหลดฉากเสร็จสิ้นพร้อมกันแล้วเท่านั้น ในช่วง Buy Phase เราสามารถซื้อของจากกล่องได้โดยใช้เงินเครดิตที่เก็บมาจากการเล่นในแต่ละฉาก จะมีตั้งแต่อาวุธใหม่ให้เลือกใช้งาน เติมกระสุน ไปจนถึงของตกแต่งปืนและไอเทมช่วยเหลือต่าง ๆ เช่นยา กล่องเครื่องมือ และระเบิดประเภทต่าง ๆ รวมไปถึงการซื้อ Team Upgrade ที่ใช้เงินค่อนข้างสูง แต่เมื่อซื้อแล้ว สมาชิกทีมจะได้ผลกันหมดทุกคนทั้งทีม ก็อาจจะต้องมองหาผู้เสียสละกันสักหน่อย

ในภาพรวมของเกมเพลย์นั้น Back 4 Blood เป็นเหมือนกับการหยิบเอาความยอดเยี่ยมของ Left 4 Dead มาสานต่อ ใส่ระบบต่าง ๆ ของความเป็นเกมยุคปัจจุบันเข้าไป แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม กลิ่นอายและบรรยากาศของ Left 4 Dead นั้น ยังอยู่ครบแบบที่แฟน ๆ ต้องการ แต่ถูกอัปเกรดให้ยอดเยี่ยมขึ้นตามยุคสมัย

เปิดระบบใหม่ Card System

ใครที่ติดตามการเปิดตัวของ Back 4 Blood มาแต่แรกจะรู้ว่า Card System หรือระบบการ์ดนี้ เป็นฟีเจอร์ชูโรงของทางทีมผู้พัฒนา ซึ่งระบบนี้จะทำให้เกมมีอะไรให้ทำมากขึ้น แต่หากให้อธิบายกันแบบง่าย ๆ มันก็คือระบบบัฟ – ดีบัฟของตัวละครและฉากนั้น ๆ นั่นเอง

ผู้เล่นสามารถปลดล็อคการ์ดใหม่ ๆ ได้ จากการเล่นและนำแต้ม Supply ไปปลดล็อคในระบบ Supply Line ซึ่งการ์ดแต่ละใบก็จะมีสายการ์ดของตัวเอง เช่นการ์ดสายสนับสนุน การ์ดสายโจมตี การ์ดสายป้องกัน เพราะฉะนั้นหากอยากปลดการ์ดใบไหนมาใช้ก็ต้องเลือกสายให้ถูกต้องด้วย และการ์ดยังถูกแบ่งไว้อย่างชัดเจนนั่นคือ Deck สำหรับการเล่นโหมดแคมเปญเนื้อเรื่อง และ Deck สำหรับโหมด PVP แต่ละการ์ดก็จะมีการสนับสนุนการเล่นในโหมดที่ต่างกัน ดังนั้นการเล่นซ้ำ ๆ เพื่อนำแต้ม Supply ไปปลดลอคระบบการ์ดจึงกลายเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้เล่นอยากเล่นมากขึ้นเรื่อย ๆ

การจัด Deck การ์ดของเกมนี้ ใน 1 Deck จะใส่การ์ดเข้าไปได้สูงสุดถึง 15 ใบด้วยกัน และเมื่อเริ่มเล่นเกมระบบจะสุ่มการ์ดออกมาให้เราเลือกใช้ 1 ใบ และหากเป็นโหมดแคมเปญเนื้อเรื่องจะมี Corruption Card เกิดขึ้น การ์ดคอร์รัปชั่น จะเป็นเหมือนกับดีบัฟ หรือ Objective ที่ให้เราทำ เช่น ถ้าสามารถรอดไปได้ทุกคนโดยไม่มีใครตายในฉากนี้จะได้โบนัสเป็นเงิน หรือถ้ายิงพวกรังนกทำให้มันตกใจ จะเกิดฝูง Horde มารุมเราเป็นต้น คาดว่าระบบการ์ดนี้ เมื่อเปิดเป็นเกมเต็มจะมีการ์ดอีกหลากหลายใบมาให้เราสะสมใช้งานกัน ส่วนโหมด PVP จะเป็นการ์ดอีกชุดที่ออกแบบมาเพื่อการเล่นแบบ PVP เท่านั้น

น่าสนใจว่าทีมงานจะทำระบบการ์ดแบบนี้ออกมาอย่างไร เพราะหากมองแบบผิวเผิน มันก็เหมือนกับบัฟ – ดีบัฟ ทั่วไปเท่านั้น จะเห็นผลของการ์ดจริง ๆ ก็แค่ตอนเล่น PVP อาจทำให้ใครหลายคนไม่ได้รู้สึกว่าระบบนี้มันแปลกหรือแตกต่างอะไรนัก

โหมด PVP ที่สนุกมาก ถ้าไม่นับคนที่ชอบออกกลางเกม

โหมด PVP ของ Back 4 Blood เป็นอะไรที่ไม่ควรมองข้าม เพราะจากประสบการณ์ที่ได้เล่นมา ถือว่าสนุกมาก เพียงแต่ปัญหาของมันคือการ Matchmaking กับคนนอก และการกดออกจากเกมได้โดยไม่มีบทลงโทษอะไรเลย ทำให้คนที่เล่นแล้วแพ้ หรือไม่พอใจคนอื่น ๆ ก็กดออกกันแบบสบาย ๆ แถมฝั่งไหนมีคนออก ก็แทบจะกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบโดยทันที

โหมด PVP ของเกมนี้หรือ Swarm นั้น จะมีความเป็น PVP + มีวงบีบจำกัดการเล่น แต่ไม่เชิงว่าเป็น Battle Royale ซะทีเดียว ผู้เล่นจะแบ่งออกเป็นทีมละ 4 คน และจะได้สลับฝ่ายกันเล่น ทั้งเป็นมนุษย์และเป็น Ridden หน้าที่ของฝ่ายมนุษย์คือเอาตัวรอดให้ได้นานที่สุดและฝั่ง Ridden จะต้องกำจัดพวกมนุษย์ให้หมด ก่อนจะถึงเวลาที่ทีมมนุษย์ได้ทำสถิติเอาไว้ เช่น หากทีมมนุษย์อยู่รอดได้นาน 5 นาที เมื่อเกิดการเปลี่ยนฝั่งกัน เราก็ต้องเอาชนะให้ได้ภายใน 5 นาทีนั่นเอง แต่ฝั่ง Ridden จะพิเศษหน่อยตรงที่ หากผู้เล่นที่เป็น Ridden ถูกฆ่าตายพร้อมกันทั้งหมด 4 คน เกมจะจบลงโดยถือว่ามนุษย์เป็นผู้ชนะทันที ทำให้โหมดนี้ ฝั่ง Ridden จะให้อารมณ์ประมาณ Doom Battle Mode ห้ามตายพร้อมกันหมดเด็ดขาด

ตัวช่วยฝั่งมนุษย์คือกล่องอุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ที่จะมอบยา ระเบิด กระสุนให้ ส่วนฝั่ง Ridden ก็จะมีพวก Horde คอยออกไปรุมทึ้งผู้เล่นฝ่ายมนุษย์ ส่วนตัวผู้เล่นเองที่ได้เล่นเป็น Special Ridden ตัวต่าง ๆ ก็ต้องหาทางกำจัดมนุษย์ให้ได้ภายในระยะเวลาที่จำกัด ส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าเป็นโหมดที่เล่นสนุกมาก ถ้าไม่ติดปัญหาเดียวคือการที่มีคนชอบทิ้งเกมระหว่างเล่น ซึ่งจะทำให้สมดุลเสียในทันที และอีกฝั่งจะเล่นง่ายขึ้นมาทันตาเห็น

น่าเสียดายที่ไม่มีบทลงโทษใด ๆ มารองรับ ทำให้อาจจะแก้ปัญหานี้ได้ยากขึ้นสักหน่อย เพราะเหมือนโหมด PVP เป็นอีกโหมดที่ผู้สร้างใส่เข้ามาในเกมให้เป็นอีกโหมดที่เล่นกันสนุก ๆ ต้องรอดูว่าทางทีมงานจะแก้ปัญหานี้อย่างไร

ภาพรวมของ Back 4 Blood (Beta)

ทั้งหมดนี้เป็นประสบการณ์ที่ผู้เขียนได้มาตอนเล่น Beta ปัญหาที่เป็นปัญหาใหญ่สุดเลยของเกมนี้คือ Replayable หรือคุณค่าในการเล่นซ้ำที่น้อยมาก ๆ  หากคุณเป็นคนที่ไม่ชอบเล่นอะไรซ้ำ ๆ ฉากเดิม ๆ ศัตรูตัวเดิม มีสุ่มเปลี่ยนแค่ห้องหรืออาวุธ นี่อาจจะเป็นเกมที่น่าเบื่ออย่างที่คุณไม่เคยคาดคิด เพราะหากจะเล่นเกมยิงซอมบี้แบบนาน ๆ ทีเข้าไปยิงขำ ๆ คลายเครียด ทางเลือกที่ถูกกว่ามากอย่าง Left 4 Dead อาจจะเป็นคำตอบที่ดีกว่า รวมไปถึงแรงกระตุ้นให้เล่นต่อนั้นไม่ค่อยจะมี นอกจากการเล่นสะสมการ์ด เพราะในช่วง Beta นั้น ไม่มีในส่วนของ Progression อื่น ๆ ให้ได้เห็นเลย

แต่อย่างไรก็ตาม หากสังเกตที่หน้าร้านค้าตัวเกม จะเห็นได้ว่า ตัวเกมระดับ Ultimate Edition ได้แง้มออกมาว่า จะมีแคมเปญใหม่ ๆ เนื้อหาใหม่ ๆ ตามเข้ามาอีกด้วย กว่าจะถึงตอนนั้นก็ต้องรอดูว่ามันจะน่าสนใจแค่ไหน จะว่าไปแล้ว การเปิดให้ทดลองเล่น หรือเบต้ายุคนี้ก็เป็นเหมือนดาบสองคม เพราะผู้เล่นจะได้ลองเล่นตัวเกมจริง ๆ แต่กลับกัน ถ้าใส่คอนเทนต์ที่ไม่น่าสนใจเข้ามา ก็อาจจะทำให้เราได้เห็นภาพรวม และตัดสินใจได้ทันทีว่าจะเล่นหรือไม่เล่นมัน ก็เป็นปัญหาของทีมผู้พัฒนาเช่นกัน

Back 4 Blood จะยังมีการเปิดให้ทดลองเล่นอีกครั้งแบบ Open Beta ไม่ต้องใช้คีย์ทดสอบในวันที่ 12-16 สิงหาคมนี้ ส่วนเกมจริงจะวางขายวันที่ 15 ตุลาคม 2021

 

 

SHARE

Aisoon Srikum

Back to top