BY Nuttawut Apiratwarakul
Less than a minute ago

ย้อนรอยจักรวาล Divinity ต้อนรับผลงานเกมใหม่ของ Larian Studios

0 Views

เปิดตัวกันไปแล้วสำหรับ Divinity ผลงานใหม่ล่าสุดของทีมงาน Larian Studios ผู้สร้าง Baldur’s Gate 3 ที่ครั้งนี้กระโดดกลับมาใช้จักรวาลของเกมตัวเองกันอีกรอบ

แต่เพราะหลายคนน่าจะเคยสัมผัสแค่ BG3 และอาจจะอยากทำความ “รู้จัก” กับจักรวาลเกมตระกูลนี้กันให้มากขึ้น เผื่อจะได้หาเวลาไปเล่นเตรียมอินกับสุดยอดเกมใหม่เกมนี้ เราเลยขอมาย้อนรอยให้ทุกคนรู้จักกับเกมตระกูล Divinity กันแบบย่อ ๆ

ถ้าไม่เคยเล่น Divinity มาก่อนเลย ควรรู้อะไรบ้าง และควรเริ่มจากตรงไหน ?

เปิดด้วยคำถามยอดฮิต ซึ่งทีมงานตอบไว้แล้วแบบชัดเจน สำหรับเกมใหม่ Divinity นั้น ผู้เล่นไม่จำเป็นต้องเคยเล่นเกมตระกูล Divinity มาก่อน ก็สามารถกระโดดมารอสนุกกับผลงานเกมใหม่กันได้เลย

อย่างไรก็ตามหากเป็นผู้เล่นที่เคยเล่น Divinity: Original Sin 1 – 2 ก็อาจจะพบกับความเชื่อมโยงเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทีมงานใส่เอาไว้ในเกม

ที่เป็นแบบนี้ก็ต้องบอกว่า Divinity: Original Sin 1 – 2 เป็นเหมือนภาคกึ่ง Reboot ให้กับจักรวาล Divinity ที่มีอายุถึง 23 ปีแถมผ่านตัวเกมมาถึง 6 ภาค เนื้อหาต่าง ๆ เชื่อมโยงกันแบบค่อนข้างจะ “มั่ว” ไปหมด ดังนั้น เนื้อเรื่องจริง ๆ ของเกมยุคใหม่จะอิงเรื่องราวของเกม Divinity: Original Sin 1 และ 2 เป็นหลัก “เท่านั้น

Divinity คืออะไร และสำคัญอย่างไรกับ Larian

Divinity เป็นซีรีส์ RPG แฟนตาซีที่ดำเนินเรื่องในโลกชื่อ Rivellon โลกที่มีมนุษย์ เอลฟ์ คนแคระ ลิซาร์ด และโครงกระดูกเดินไปมาเป็นเรื่องปกติ

ในช่วงแรก Divinity เป็นเกม Action RPG ได้อิทธิพลจากเกม Diablo และเกม Ultima ก่อนจะค่อย ๆ วิวัฒนาการจนกลายเป็น Turn-based RPG เต็มรูปแบบในยุค Original Sin ซึ่งเป็นจุดที่ตัวตนของ Larian ชัดเจนที่สุด และเป็นพื้นฐานโดยตรงของเกม Baldur’s Gate 3

สำหรับใครที่สนใจเราขอเล่าถึงแต่ละภาคแบบสั้น ๆ เผื่อใครสนใจไปหามามาเล่นกันได้

Divine Divinity (2002)
เกม Divinity ภาคแรก เป็น Action RPG มุมมองไอโซเมตริก ที่พยายามผสมความลึกของ RPG แบบ Baldur’s Gate เข้ากับจังหวะการเล่นที่รวดเร็วขึ้นตามกระแส Diablo
แม้จะเก่าและหยาบในหลายจุด แต่ก็เห็นได้ชัดถึงเอกลักษณ์ของ Larian ทั้งอารมณ์ขันและการโต้ตอบกับโลกได้หลายอย่าง (แบกเตียงเอาไปนอนทุกที่บนโลก)
เหมาะกับคนที่อยากเห็น “จุดเริ่มต้น” ของทีมงานแบบเต็มรูปแบบ (ภาคนี้เคยมีแปลไทย กล่องไทย แถมนิยายภาษาไทยในกล่องด้วย)

Beyond Divinity (2004)
ภาคต่อ/ภาคแยกที่ทดลองแนวคิดใหม่ ให้ผู้เล่นควบคุมตัวละครสองคนพร้อมกัน ใช้แก้ปริศนาและสำรวจ แม้จะไม่ใช่ภาคที่เล่นสนุกที่สุด แต่โครงสร้างนี้คือรากฐานของระบบ Co-op ที่ Larian จะพัฒนาอย่างจริงจังในอนาคต เหมาะกับสาย Completionist กะตามเก็บให้ครบหรือคนสนใจประวัติศาสตร์เกมตระกูลนี้แบบตัวจริง

Divinity 2: Ego Draconis (2009)
Action RPG ยุคเครื่องเกม Xbox 360 เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน จุดขายสำคัญคือผู้เล่นสามารถ “แปลงร่างเป็นมังกร” บินโจมตีศัตรูจากฟ้า และสลับระหว่างการต่อสู้ภาคพื้นดินกับอากาศ แม้คุณภาพโดยรวมจะไม่ถึงขั้นยอดเยี่ยม แต่ก็พอเป็นเกมเล่นสนุกเพลิน ๆ เป็นความพยายามครั้งแรกของทีมงานในการทำเกม Action RPG แบบยิ่งใหญ่เนื้อหา “เข้มข้น”

Divinity: Dragon Commander (2013)
หนึ่งในเกมที่แปลกที่สุดของ Larian ผสมเกมแนว RTS, กลยุทธ์การเมือง, การขับมังกร, และ เกม RPG เข้าด้วยกัน เป็นเกม Cult Classic ที่แฟน Larian หลายคนรัก โดยเฉพาะผู้เล่นที่รักเกมวางแผน แต่สำหรับคนทั่วไปนี่เป็นภาคที่เข้าถึงยากที่สุด

Divinity: Original Sin (2014)
จุดเปลี่ยนสำคัญของซีรีส์ นี่คือภาคที่วางรากฐานระบบ Turn-based combat, Co-op เต็มรูปแบบ, ปฏิสัมพันธ์ธาตุไฟ น้ำ ไฟฟ้า พิษ ที่กลายเป็นลายเซ็นของ Larian โทนเรื่องออกแนวนิทานแฟนตาซี มีอารมณ์ขันจัดจ้าน แนะนำให้เล่นภาคนี้เป็นภาคแรกกันได้

Divinity: Original Sin 2 (2017)
เกมที่หลายคนมองว่าเป็น “ต้นแบบ Baldur’s Gate 3” แม้คุณภาพงานโปรดักชันและการเล่าเรื่องจะยังไม่อลังการเท่า BG3 แต่ระบบการต่อสู้ของ Original Sin 2 ถูกยกย่องว่าอยู่ในระดับแนวหน้าของวงการ RPG (และสนุกกว่า BG3 สำหรับหลาย ๆ คน) เข้าถึงได้ง่ายที่สุดในเกมทั้งหมดที่ผ่านมาของ Larian จริง ๆ เราแนะนำให้ “เล่นภาคนี้ภาคเดียว” ถ้าคุณเวลาน้อยแต่อยากลองสัมผัสจักรวาล Divinity หรือชื่นชอบเกม BG3 อยู่แล้ว

สรุป

ถ้าคุณหลงรักอิสระ การแก้ปัญหาแบบไม่ตายตัว และการต่อสู้ที่คิดเป็นระบบใน Baldur’s Gate 3 ถ้าแบบนั้นเกม Divinity: Original Sin 2 คือเกมที่คุณควรเล่นทันที (และถ้าสนุกจะย้อนกลับไปเก็บภาค 1 ด้วยก็ได้)

ส่วนภาคอื่น ๆ ก็ไม่ได้จำเป็นขนาดนั้นแถมตัวเกมก็ “เก่า” มากแล้วอยู่เหมือนกัน ยกเว้นคุณอยากย้อนรอยสัมผัสซีรีส์นี้แบบเต็มรูปแบบ ทุกภาคทุกเกมก็ถือว่ามีเสน่ห์เฉพาะตัวแม้จะมีอายุเกมค่อนข้างมากแล้วก็ตาม

ส่วนเกมใหม่อย่าง “Divinity” ที่หลายคนรอคอย ก็น่าจะต้องรออีกนานพอสมควร ดังนั้นก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวที่จะใช้เวลาในการรอ “กลับ” ไปตามเก็บ Divinity: Original Sin 1 – 2 ให้ครบเพื่อสัมผัสเกมใหม่กันแบบเต็มอิ่ม

โดยตอนนี้ยอดผู้เล่นของ Divinity: Original Sin ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นแล้วบน STEAM หลัง Divinity ถูกเปิดตัว ชี้ให้เห็นว่ามีเกมเมอร์จำนวนไม่น้อย หันกลับไปให้ความสนใจเกมตระกูลนี้กันแล้ว

SHARE

Nuttawut Apiratwarakul

โน้ต - Co-Founder / Editor-in-chief

Back to top