BY Nattapit Arsirawatvanit
6 Oct 20 4:35 pm

รีวิว FIFA 21 การปรับปรุง… ที่ไม่เปลี่ยนแปลง

29 Views

ณ ปัจจุบันตอนนี้ FIFA ได้มี Content หลากหลาย ให้แฟน ๆ วงการลูกหนัง ให้เล่นสไตล์ที่ชื่นชอบกัน บางคนชอบเล่นเป็นผุ้จัดการทีมก็มี My Manager หรืออยากจำลองเป็นชีวิตนักเตะ ก็มี My Player  ทั้ง 2 โหมดนี้เล่น Offline ได้ที่ My Career บางคนชื่นชอบการเล่นออนไลน์แข่งขันกับคนอื่น ก็มี Seasons หรือ Co-op Season ก็ได้ถ้ามีเพื่อนอยากเล่นด้วย ถ้ามีเพื่อนกันเยอะ ชวนกันสร้ามทีมฟุตบอล เล่นคนละตำแหน่ง โหมด My Pro ที่เปิดให้เล่นด้วยกันถึง 11 คนก็ตอบโจทย์

โหมดที่สร้างชื่อเสียงมากที่สุดของ FIFA ก็หนีไม่พ้น Ultimate Team ที่ให้ผู้เล่นสร้างทีมขึ้นมาเองโดยมีกำลังทรัพย์ เป็นปัจจัยในการทำทีม  มีทั้งประมูล-ซื้อขายนักเตะ เปิดซอง มันใช้ทั้งเงิน ใช้ทั้งดวง เรียกได้ว่า เป็นโหมดที่ดึงดูดแฟน ๆ ทั่วโลกมากที่สุด และทีมงาน GamingDose ก็เป็น 1 ในนั้นที่ใช้เวลาและทรัพย์สินเป็นจำนวนมากให้กับโหมดนี้

และสุดท้าย แม้แต่สายสตรีทฟุตบอล ลีลาเล่นบอลที่สวยงามราวกับเต้นรำ ตามสไตล์แซมบ้า หรือแข่งฟุตซอล โหมดน้องใหม่ Volta ก็ออกมาเพื่อคนกลุ่มเหล่านี้โดยเฉพาะ 

FIFA รวบรวม Content ฟุตบอลตอบโจทย์แฟน ๆ ทุกประเภท ยิ่งเป็นเกมขายเป็นรายปี แน่นอนว่าแฟนพันธุ์แท้ยอมเสียตังทุกปีเป็นเรื่องธรรมดาไป แต่สำหรับคนที่ลังเลว่า มันอาจจะเป็นภาคก๊อปวางจาก 20 มาแก้นิดหน่อยหรือเปล่า เราจะมาดูกัน

My Career

ใน FIFA 20 ทีมงานได้คุยโม้ไว้อย่างดีว่าจะยกระดับ Career Mode นี้ให้มีความสดใหม่และน่าสนใจมากขึ้นกว่าภาคก่อน ๆ แต่ปรากฏไม่เป็นดังที่หวังกันไว้ แถมยังสร้างปัญหาที่ต้องกลับมาแก้ไขด่วนในภาคนี้ ทั้งปัญหาทางเทคนิคที่ทำให้ไม่สามารถเล่นต่อไปได้ ตารางการแข่งขันที่ไม่สมจริงเอาเสียเลย ระบบ Dynamic Player Potential ก็ไม่ค่อยสมเหตุสมผล กลายเป็นว่า FIFA 21 จะต้องทำการบ้านให้ดีกว่านี้ ถ้าอยากจะเรียกศรัทธาจากแฟน ๆ  

Interactive Match Sim

ควบคุมผลลัพธ์การแข่งขันด้วย Interactive Match Sim โชว์กราฟฟิค 2D ดูแล้วให้ความรู้สึกคล้ายๆเกม Football Manager  มันจะไม่ใช่แค่ Sim Match มาเพื่อ Skip ดูผลเท่านั้นแล้ว  แต่ยังสามารถ Jump In เข้าไปเล่นตอนไหนก็ได้เลย และกระโดดกลับมาหน้า Match Sim ได้เหมือนเดิม  

เป็นฟีเจอร์ที่ลดความขยันในการเล่น และควบคุมผลการแข่งขันได้สะดวก ให้ฟิลเหมือนผู้จัดการทีมจริง ๆ แต่แน่นอนว่า คอนเทนต์ส่วนนี้มันยังน้อยไป การแก้เกม การวิเคราะห์ ความรู้สึกนักเตะ ผลสถิติต่าง ๆ น่าจะมีเพื่อให้ เราสนุกกับการแก้เกม มากกว่าแค่ตัวเลือกอย่างเดียวคือ ลงไปเล่นเอง 

ส่วนคนที่อยากจะ Skip ทุกเกมเลย ผลมันสมจริงแค่ไหนกัน ซึ่งจากการทดลอง Skip มาทั้ง 1 ฤดูกาลแล้ว ยังไม่เคยเห็นนัดไหนยิงเกินสูงสุด 4 ลูกเลย เจอทีมสูสี ก็ไม่ได้ชนะหรือแพ้ขาด เจอทีมต่างชั้นกัน ก็จะนำเยอะหน่อย

Player Development

ระบบพัฒนานักเตะหรือ Development Plan ยกเครื่องใหม่ให้ดูสะดวกง่ายขึ้นและสมจริงยิ่งขึ้น เรื่องของ บทบาท และ ตำแหน่ง มีความสำคัญมากขึ้น ในตอนฝึกซ้อมสามารถปรับแต่งให้นักเตะเน้นบทบาทไหน หรือ ตำแหน่งใหม่ ก็ทำได้ ยกตัวอย่าง กองหน้าตำแหน่งเดียวกัน แต่สามารถเน้นให้เลือกบทบาทใด บทบาทนึงได้ เช่น Poacher หรือ Target Man

ในขณะนักเตะบางคนอยู่ตำแหน่ง แบคซ้าย แต่สกิลเลี้ยง และวิ่งเร็ว เราก็ให้เค้าฝึกตำแหน่งปีก ขึ้นมาใหม่ได้ ไม่จำเป็นที่นักเตะจะต้องเล่นตำแหน่งนั้นตลอดกาล เราฝึกเค้าได้ 

ในเรื่องของบทบาท ถือเป็นฟีเจอร์ ควรมีอย่างมากเลย ในโหมดนี้ เพราะจะทำให้นักเตะของเราสามารถพลิกแพลง บทบาท หน้าที่ไม่เหมือนกันได้เยอะเลยทีเดียว สามารถฝึกให้เค้าเล่นตามแผนหรือการเล่นสไตล์เราได้ง่าย แต่บทบาทยังมีให้เลือกน้อยอยู่ ถ้าเทียบกับบทบาทในโลกฟุตบอลจริง อย่างเช่น  ตำแหน่ง CAM ในปัจจุบันจะมีหลายสไตล์การเล่น ไม่ว่าจะเป็น Attack Midfield , Advance Playmaker ,Trequartista , Enganche และ Shadow Striker

ในส่วนของตำแหน่งนั้น การที่นักเตะคนนึงจะเปลี่ยนมาเล่นตำแหน่งใหม่ได้นั้น ความเร็วในการฝึกมันไม่เท่ากัน บางคนฝึกเล่นตำแหน่งนี้ ถ้าค่าพลังมันลงตัว ก็อาจจะใช้เวลา 1-2 สัปดาห์ก็เปลี่ยนตำแหน่งใหม่ได้เลย บางคนอาจะใช้ 200-300 สัปดาห์ กว่าจะถนัดตำแหน่งนี้ได้ ถ้าค่าพลังยังไม่อำนวยแก่ตำแหน่งนั้น  และยิ่ง Form การเล่นไม่ดี ก็จะทำให้มีการพัฒนาช้าลงด้วย ยกตัวอย่างเช่น เราจะเอา Mbappe มาเล่นเป็นกองกลาง ซึ่งจะต้องใช้เวลา 237 สัปดาห์ หรือ เกือบ 4 ฤดูกาล ถึงจะเปลี่ยนมาเล่นตำแหน่งนี้ได้  หรือเอา De Light กองหลังวัย 21 มาเป็นกองหน้า  ผ่านไป 3 ฤดูกาล De Light เริ่มสามารถเล่นเป็นกองหน้าได้แล้ว

การแก้ปัญหาจากของเก่า

ด้วย Sim Engine ตัวใหม่ เราจะเห็นได้เลยว่า อันดับทีมในตารางเริ่มสมจริง พวกทีมใหญ่ดัง ๆ ก็กลับมาอยุ่อันดับท๊อป ๆ ของตารางแล้ว(ภาคที่แล้วเคยมีบาร์เซโลน่าอยู่ท้ายตาราง) และก็ไม่ชนะทุกนัดเวอร์เกิน ในส่วนของตารางการแข่งขันก็เช่นกัน หมดปัญหาบัคภาคที่แล้วที่เกิดแข่ง 2 ทีมในวันเดียวกันหรือจัดตารางแข่งถี่เกินไป นักเตะกรอบกันหมด ซึ่งมันดูไม่สมเหตุผล ในภาคนี้ไม่เห็นอย่างนั้นอีกแล้ว

โดยรวมแล้ว โหมด Career มีการยกเครื่องหลาย ๆ อย่าง เพื่อให้ประสบการณ์เกมการเป็นผู้จัดการทีมดูลงตัวที่สุดใน FIFA ถือว่าทำออกมาได้ประทับใจ ถึงแม้ว่า ฟีเจอร์บางอย่าง เรารู้สึกว่า มันต่อยอดทำให้ดีกว่านี้ได้ ยังไม่ได้สมจริงที่สามารถไปเทียบกับเกมแนว Sim อีกฝั่งนึงทำไว้ แต่มาถูกทางแล้ว

เพราะไหน ๆ ก็ทำโหมดผู้จัดการทีมแล้ว ก็อยากให้มีฟีเจอร์ที่เกี่ยวกับเกมผู้จัดการทีมควรมีไปเลย เช่น มีฉากพูดปลุกใจนักเตะก่อนแข่งหรือหลังแข่ง ซึ่งไม่ได้ส่งผลต่อจิตใจขนาดนั้นในชีวิตจริง ข้อมูล Scout น่าจะมีรายละเอียดให้ดีกว่านี้

Gameplay

ฟีเจอร์เกมเพลย์ที่ EA ภูมิใจนำเสนอมากที่สุดในภาคนี้คือ ‘Agile Dribbling’ เป็นลักษณะการเลี้ยงบอลติดเท้าอย่างรวดเร็ว หักหลบหรือหมุนหลบการเข้าสกัดของกองหลังได้คล่องขึ้น จากที่ได้เล่นแล้วลองกดเลี้ยงมา Agile Dribbling อาจจะต้องใช้เวลาฝึกกันซักพักเพื่อเรียนรู้ค่าพลัง และรูปร่างที่ส่งผลต่อการเลี้ยงลักษณะนี้ของการ์ดผู้เล่นแต่ละใบ รวมไปถึงการเลือกใช้ในสถานการณ์ที่ถูกต้อง การเพิ่มฟีเจอร์นี้เข้ามาจะทำให้ผู้เล่นใหม่ ๆ เลี้ยงบอลได้คล่องขึ้น หลบหลีกการเข้าสกัดของคู่แข่งได้ ‘เท่’ ขึ้นโดยไม่ต้องจำการกดปุ่มระดับแอดวานซ์มากมาย 

ลูก Cross เป็นอีกหนึ่งเกมเพลย์ที่มีการปรับปรุง จากเดิมจะมีการครอส 3-4 ระดับ (เลียด, กลาง, สูง, ย้อย) กลายมาเป็นลักษณะการครอสแทน เช่น early cross เปลี่ยนมาเป็น whipped cross ที่เป็นลักษณะการปั่นโค้งเข้าหาประตู หรือเข้าหาคนโหม่ง หรือจะเป็นการ ‘เปิดยัด’ ที่ผู้เขียนสังเกตได้ว่ามีความแอบโกงและไม่สมจริงพอสมควร เนื่องจากลักษณะของการเปิดยัดคือการเตะส่ง ๆ เน้นความแรง แต่การเปิดยัดในเกมภาคนี้หลายครั้งบอลก็พุ่งเข้าหาตัวผู้รักษาประตูอย่างจัง ทำให้ผู้รักษาประตูรับกระฉอกมาใส่กองหน้าที่รอซ้ำ หรือเปิดยัดเข้าไปเด้งกองหน้าที่รอโหม่งเข้าประตูไปอย่างงง ๆ ซึ่งจุดนี้ต้องรอตัวเกมปรับปรุงกันในอนาคต เพราะไม่รู้เลยว่าการเล่นลักษณะนี้จะเป็น ‘เมต้าที่น่ารำคาญ’ ด้วยหรือไม่

ระบบ Defending เป็นอีกจุดที่สังเกตได้ถึงความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ในภาคที่ผ่านมา กองหลังที่มีความเร็ว (ค่า Pace) ที่ต่ำมาก โดยทำลายอย่างรวดเร็วด้วยกองหน้าที่มีความไวสูง แต่ภาคนี้สังเกตได้ว่ากองหลังความเร็วต่ำสามารถทำความเร็วได้พอ ๆ กับความเร็วสูง วิ่งประกบและไล่บี้กองหน้าได้ทัน แหย่เท้าสกัดบอลก็มีอนิเมชั่นและความเป็นไปได้ที่เยอะขึ้น จุดนี้รวมไปถึงผู้รักษาประตูที่ลดอัตราการปัดบอลมาเข้าเท้ากองหน้าอีกเช่นกัน ภาคที่แล้วผู้เขียนหงุดหงิดมาก ๆ กับการปัดบอลของผู้รักษาประตูซึ่งมักกลายเป็นการ assist ให้อีกฝ่ายทำประตูตลอดเวลา ซึ่งใน FIFA 21 ได้แก้ไขจุดนี้อย่างเห็นได้ชัด ผู้รักษาประตูมีการปัดบอลส่งไปไกลจากกรอบเขตโทษ รวมไปถึงการลุกขึ้นมาตะปบลูกบอลจากลูกซ้ำ ก็รวดเร็วขึ้นมาก ๆ อย่างเห็นได้ชัด

อีกหนึ่งสิ่งที่ปรับปรุงเรื่องฟีสิกส์คือระบบ Natural Collisions ปรับของเดิมที่กองหลังวิ่งไม่ดูทาง สะดุดทีมเดียวกันล้ม เปิดโอกาสให้คู่แข่งฉีกบอลไปสบาย ๆ จนถึงขั้นแพ้ ปรับให้หลีกเลี่ยงการล้มได้ดีขึ้น ผู้เขียนสังเกตว่าลูกชุลมุนในกรอบเขตโทษนั้นลุ้นสนุกและไม่มั่วเช่นเคยแล้ว

Ultimate Team

หน้า FUT Hub ที่แบ่งหมวดหมู่ชัดเจนขึ้น

ต่อด้วยโหมดที่โด่งดังที่สุด มีผู้เล่นเยอะที่สุด ทำรายได้ให้กับค่ายมากที่สุด จากที่ได้เข้าไปสัมผัสตั้งแต่ช่วง Media จนมาถึงวันที่ผู้เล่นทั่วไปได้เข้าเล่นเป็นเวลา 10 ชั่วโมงจากการเป็นสมาชิก EA Play ก็บอกได้ว่า FUT ในภาคนี้จะเป็น FUT ที่สนุกต่อยอดมาจาก FUT20 อีกครั้ง หลายคนอ่านมาถึงตรงนี้แล้วอาจจะขมวดคิ้วว่ามันสนุกยังไง ไปอ่านกัน

ความ ‘หิวเงิน’ ที่ลดน้อยลง

ภาพลักษณ์ของ FUT ที่หลายคนจำเป็นภาพติดหัวก็คือโหมดที่เน้นให้ผู้เล่นเติมเงิน เติมเงิน เติมเงิน เพื่อเปิดแพ็คการ์ดที่สุ่มผู้เล่นอีกที ยิ่งเติมเยอะ โอกาสเปิดได้การ์ดเก่ง ๆ เยอะ พอเกมเดินทางไปซักพัก ก็มีการ์ดพิเศษออกมาให้ผู้เล่นได้ เติม เติม เติม แย่งกันชิงการ์ดนักเตะอีกที ปฏิเสธไม่ได้ว่าที่ผ่าน ๆ มา FUT มีความเป็นเกมที่ขึ้นอยู่กับเม็ดเงินของผู้เล่นสูงมาก จนทำให้เกิดปัญหาทั้งในคอมมูนิตี้ ทั้งในมุมมองคนเล่นเกม และลามไปถึงปัญหาในระดับกฏหมายของแต่ละประเทศ

ผู้เขียนสัมผัสได้ว่าใน FUT20 เป็นต้นมาจนถึงภาคนี้นั้น EA พยายามที่จะแก้ไขข้อถกเถียง และข้อกล่าวหาว่า ‘หิวเงิน’ เหล่านั้น โดยเพิ่มโอกาสในการได้การ์ดผู้เล่นดี ๆ มากขึ้นนอกเหนือจากการเปิดแพ็ค ใช้การ ‘เล่น’ (หรือบางทีก็ grinding) เพื่อได้สุดยอดการ์ดที่ใช้กันทั่วบ้านทั่วเมือง หรือว่าจะเป็นเงื่อนไขอื่น ๆ ที่ทำให้ผู้เล่นไม่ต้องเติมเงินซักสลึงแต่ก็สามารถได้การ์ดดี ๆ มาครอบครองได้ สิ่งเหล่านี้มันทำให้ความสนุกของ FUT มีมากขึ้น ผู้เล่นมากมายต้องการเข้าไปเล่นเพื่อหวังจะได้การ์ดดี ๆ มาใช้งานกันก่อนใคร

FUT21 ก็เลยต่อยอดมาจากตรงนั้น ภาคนี้ผู้เขียนแอบสังเกตว่ามีการเพิ่ม Objective (หรือเรียกสั้น ๆ ว่าเควสท์) เข้าไปเยอะกว่าเดิมมาก จาก FUT20 ที่มี Season แล้ว ภาคนี้มีทั้งเควสท์สนาม, เควสท์ Mastery, เควสท์จากการเล่น Co-op หรือเควสท์ที่ต้องเล่นโดยเซ็ตทีมในเงื่อนไขตามกำหนด โดยของรางวัลที่ได้จากการทำเควสท์ก็จะเพิ่มความเจ๋งขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเกมเดินทางไปซักพัก ผู้เล่นบางคนไม่จำเป็นต้องไปเล่นโหมด Rivals หรือ FUT Champions ให้หัวร้อนฟรี ๆ เลยก็ได้ ไปเล่นเพื่อทำเควสท์ก็ได้เหมือนกัน

ใน FUT20 สิ่งที่ผู้เขียนชอบมากที่สุดก็คือเควสท์การเล่นที่อัพเกรดการ์ดพิเศษไปตามลำดับ (Future Stars Osimhen หรือ Summer Heat Mendy) ที่ผู้เล่นจะได้การ์ดพิเศษเริ่มต้นมาหนึ่งใบ แล้วจะต้องใช้การ์ดใบนั้นเพื่อเล่นตามเควสท์เป็นระดับ แล้วจะปลดล็อคการ์ดอีกสามระดับตามการเล่นของเรา เป็นแคมเปญที่เยี่ยมมาก ได้รับคำชื่นชมจากในคอมมูนิตี้คนเล่นฟีฟ่าล้นหลาม เพราะมันช่วยลดความเบื่อหน่ายในการต้อง grinding และเพิ่มความสนุกในการเล่นได้เป็นอย่างดี

ผู้เขียนคาดหวังจะได้เห็นเควสท์สนุก ๆ แบบนี้เยอะ ๆ ใน FUT21 แต่เนื่องจากการเขียนรีวิวนี้เป็นช่วงเริ่มต้นของเกม ทำให้ยังไม่ได้เห็นอะไรเลย มีเพียงแค่ Squad Building Challenge ที่เพิ่มมาเมื่อคืนตัวแรกเท่านั้น ก็ทำให้ผู้เขียนตาลุกวาวได้แล้ว เพราะเป็นการ์ด Ones to Watch Tonali กองกลางตัวโปรดของผู้เขียนในภาคก่อน ที่มีเงื่อนไขการทำที่ถูกมาก ๆ แต่เราก็ภาวนาให้เขาเล่นดี ๆ ในชีวิตจริงด้วยเถิด (ฮา)

ความท้าทายที่มากขึ้น แลกมาด้วยของรางวัลที่ดีขึ้น

โหมด Rivals ที่ผ่านมา จัดแรงค์กันแบบไม่มีจำกัดจำนวนแมทช์ หมายความว่าใครเล่นเยอะ ก็ไต่แรงค์ไปได้เรื่อย ๆ ส่วนใครที่เล่นน้อย ต่อให้จะฝีมือร้ายกาจชนะรวดแค่ไหนถ้าหยุดเล่นไปก็ตกแรงค์ได้ทันที

ใน FUT21 มีการจำกัดจำนวนแมทช์ที่ใช้ในการจัดแรงค์สำหรับ Rivals ไว้ที่ 30 นัดแล้ว การจำกัดครั้งนี้น่าจะทำให้การเล่นโหมด Rivals มันตื่นเต้นขึ้น เรียกเหงื่อเรียกความร้อนในหัวมากขึ้นเทียบเท่ากับ FUT Champions เลย แต่ถ้าครบ 30 นัดแล้ว ก็สามารถเล่นต่อได้เพื่อทำเควสท์ที่ต้องการ หรือสะสม Skill Point ของเราเพื่อไต่ Divisions ได้

ความท้าทายที่มากขึ้นของ Rivals ก็ตามมาด้วยของรางวัลที่มากขึ้น ผู้เขียนสังเกตว่าแพ็คที่ได้จาก Rank 2-3 ของ Division 5 นั้นแจกเยอะกว่าภาคที่แล้วเป็นเท่าตัว ยิ่งถ้าเลือกแบบ untradable นี่เปิดลุ้นกัน 8 แพ็คจนเบื่อไปเลย

เพิ่มของแต่งสนาม ตัดปัจจัย Fitness

เป็นที่รู้กันดีว่าภาคนี้ตัดการ์ด Fitness ออกไปแล้ว ต่อไปนี้การลงสนามทุกนัดผู้เล่นทุกคนก็ไม่ต้องมาห่วงว่าความฟิตของนักเตะจะเหลือเท่าไหร่ และจะต้อง Apply Fitness Card ทุก 2-3 นัดตลอดเวลา แต่ที่ยังคงอยู่คือการ์ด Contract ที่ผู้เขียนก็หวังว่าจะตัดออกไปในอนาคตด้วยเช่นกัน

ที่เพิ่มมาก็คือการตกแต่งสนาม จากภาคที่แล้วมีการใส่ Stadium Theme และแผ่นป้าย TIFO ขนาดใหญ่ มาภาคนี้มีการเปลี่ยนสีอัฒจรรย์ สีสนามโดยรวม TIFO ใหญ่เล็ก รวมไปถึงเสียงกองเชียร์ เสียงเพลงตอนยิงประตู หรือเอฟเฟคท์ไฟพุ่งๆ ยิงพลุตอนยิงประตูได้ ก็มีให้ตกแต่งเช่นกัน เพิ่มความเฟี้ยวให้กับตัวตนของเราไปอีกระดับ

ปรับปรุง Quality of Life

นอกจากนั้นสิ่งที่ผู้เขียนเห็นว่าดีก็คือการปรับปรุงบรรดา UX หรือ Quality of Life เล็กน้อย เช่นการเพิ่ม Filter Type ของการ์ดที่ใส่มาในตอนท้ายภาคที่แล้ว ทำให้การค้นหาการ์ดที่ต้องการสะดวกกว่าเดิมมาก ๆ (ยังรอลุ้นให้เพิ่มการค้นหาตาม Attribute ด้วย) อีกทั้งยังรวบเมนูหน้าแรกให้เป็นสัดส่วนชัดเจนขึ้น การเล่นทุกโหมดไปอยู่ในที่เดียวกัน การจัดทีมก็แค่ดันลงมาด้านล่าง จะไปจัดการภาพลักษณ์และสนามของทีมก็ดันขึ้นไปด้านบน สิ่งเหล่านี้อาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อยเกินไปที่จะพูดว่ามันคือการเปลี่ยนแปลง แต่อย่างน้อยมันก็ถือเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้เล่นประจำพอใจอย่างมาก

อีกเรื่องที่ประทับใจผู้เขียนคือการดีไซน์ของการ์ดพิเศษทั้งหลาย แต่ละใบสวยเท่งดงามสุด ๆ จนชุมชนคนเล่น FUT ชื่นชมกันอย่างมาก มาภาคนี้ก็ยังจะสวยยิ่งขึ้นไปอีก จากที่หลุดมาให้เห็นก่อนอย่างการ์ด Flashback สุดเท่ หรือการ์ด SBC สีสันสวยงามน่าประดับทีม

สรุปแล้ว Ultimate Team ยังคงรักษาความแข็งแกร่งเอาไว้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการให้ผู้เล่นมีส่วนร่วมโหวตการ์ดที่อยากได้ หรือการ์ดที่ขึ้นอยู่กับผลงานในการแข่งขันฟุตบอลจริง ๆ มันทำให้แบรนด์ของ FIFA และ FUT แข็งแกร่งกว่าคู่แข่งยิ่งขึ้น และที่สำคัญมันก็จะต้อนรับผู้เล่นใหม่ ๆ เข้าไปอย่างไม่ขาดสาย ใครที่ชอบความท้าทายและหัวร้อน รวมไปถึงอยากเช็คดวงชะตาของตัวเอง ก็ควรเข้าไปลองสักครั้ง

VOLTA

หลังเปิดตัวโหมดน้องใหม่เมื่อปีที่แล้วสำหรับสตรีทฟุตบอล Volta ด้วยความที่มันสดใหม่และวิธีเล่นแตกต่างกับฟุตบอล 11 คน มันสร้างความประทับใจแรกให้กับผู้เล่น และกลายเป็นเหมือนอีกเกมนึงไปเลย แต่ก็ยังมีข้อพร่อง ทั้งในเรื่องของคอนเทนต์ที่น้อยเกินไป เนื้อเรื่อง และเกมเพลย์ ใน FIFA 21 ทีมงานจึงเดินหน้าแก้ไขให้มันลงตัวขึ้นกว่าเดิม มันจะมีอะไรบ้าง มาดูกัน

The Debut 

มันคือโหมดเนื้อเรื่องของ Volta พลอตหลัก ๆ ของภาคนี้ คือ ตะลุยไปที่ต่าง ๆ เพื่อที่จะได้ตั๋วไปแข่งที่ดูไบให้ได้  ไม่มีซีนดราม่า เหมือนภาคที่แล้ว สำหรับคนที่อยากเสพเนื้อเรื่องก็ต้องผิดหวังไป เพราะมันไม่มีอะไรให้ติดตามเลย เราใช้เวลาเล่น 3-4 ชั่วโมง ก็สามารถจบได้ (รวมแข่ง+ Skill training) ถ้าจะว้าวก็แค่ว้าวตอนจบของเรื่อง

VOLTA SQUADS

มันคือโหมดออนไลน์ ที่มีทั้ง solo coop และ my pro ฉบับ VOLTA ไม่ได้มีอะไรพิเศษแตกต่างจากโหมดออนไลน์อื่น ข้อดีของภาคนี้คือ ทีมงานได้ปรับแต่งเกมเพลย์ให้มันเข้ามือมากขึ้น สำหรับ VOLTA นั้นจะมีความ อาร์เคดมากกว่า ฟุตบอล 11 คน ไม่ได้มีปุ่มซับซ้อนอะไรมากมาย แม้กระทั่งแผนการเล่น การเลี้ยงบอล การส่งบอล การยิง มันจะติดท่าสตรีทบอลได้ง่าย ถ้าเราเปิดออโต้ไว้ ซึ่งผลเสียคือ ท่าบางอย่างเราเอาไปใช้ในฟุตบอล 11 คน ไม่ได้นะ มันแยกกัน

สิ่งที่แตกต่างกับ VOLTA 20 คืออะไร?

แมคคานิค เกมเพลย์ แอคชั่นในสนามถูกเร่งขึ้นให้เร็วเล็กน้อย (GameSpeed Fast) เพิ่มท่าอนิเมชั่นใหม่  แน่นอนว่า เพิ่มการเล่นท่าแบบใหม่อีก  7 ท่า สำหรับใครที่ชื่นชอบ การเล่นท่า เลี้ยงพริ้ว ๆ เอาตัวรอดในที่แคบ Panna  มันมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมจริง ๆ  ในขณะที่อนิเมชั่นการป้องกัน ก็ถูกปรับให้บล๊อคลูกยิงได้ดีขึ้น หลังจากลองเล่นไป 3-4 ชั่วโมงแล้ว ผมรู้สึกได้ว่า มีการเล่นกับลูกกลางอากาศเยอะขึ้น ทั้งตวัดลูกวอลเล่ โยนขึ้นให้เพื่อนโขก  อีกทั้งยังเดาะบอลข้ามไปข้ามมา โดยถ้าทำถูกจังหวะ ศัตรูจะมีอนิเมชันหันหลังเลยทันที มันกลายเป็นว่า เกมเพลย์สตรีทฟุตบอลมันลงตัวขึ้น มันเหมาะการโชว์อะไรแบบนี้แหละ

Star (ICON) 

หนึ่งเซอไพรส์ของ The Debut เมื่อเราเล่นจบ เราจะได้นักเตะที่เป็น Star นักเตะในตำนานหรือในเนื้อเรื่องมาใช้ในทีมเราได้ 1 ตำแหน่ง  หมายความว่า อนาคต Volta จะมีอัพเดต ICON คนใหม่มาให้เล่นอีกแน่นอน ในภาคนี้ เค้ามีลูกเล่นดึงดูดให้ผู้เล่นอยากเล่นต่อ และไม่เบื่อเร็วเกินไป  นั่นคือ การนำนักเตะชื่อดัง หรือที่เป็นดาวในวงการฟุตบอล มาใส่ในทีมเราได้ 1 โควต้า  แถมแต่ละคนก็จะถนัดฟอร์เมชั่นการเล่นแตกต่างกันไป  แน่นอนว่า การจะได้นักเตะพวกนี้ มันต้องทำภารกิจที่เกมมอบให้ก่อน สำหรับครั้งแรก เมื่อเราเล่น The Debut จบไป เราจะได้ ปีเตอร์ ชไมเคิล พร้อมตัวละครเนื้อเรื่องอีก 4 คนในช่วงสัปดาห์แรกของเกม  Feature Battle จะมีของรางวัลสูงสุดคือ Mbappe  

Feature Battles

เป็นโหมดที่สู้กับ AI เพื่อทำคะแนนไต่ระดับ Objective ไปเรื่อยเมื่อถึงกำหนด เราจะได้สู้กับทีมพิเศษที่เป็น Feature ของ Event ช่วงนั้น  พร้อมของรางวัลสุดพิเศษ เมื่อชนะทีมเหล่านี้ได้  เช่น ชุดนักเตะลิเวอร์พูล หรือ นักเตะ Mbappe มาร่วมทีม ถ้าให้เปรียบเทียบก็คงเหมือน Squad Battles ของโหมด Ultimate Team  สำหรับคนเล่นเนื้อเรื่องจบไปแล้วอยากเล่นต่อเพื่อปลดล็อคของรางวัลและเก็บเลเวล Avatar 

จุดสังเกตในภาคนี้

ขณะที่ฝั่งฟุตบอล 11 คน มีการปรับ Position ในดีขึ้น แต่ในฝั่ง Volta กลับรู้สึกว่าทีมงานไม่ได้พัฒนาส่วนนี้ ยังมีความหลง ๆ ลืม ๆ ตำแหน่งตัวเอง หรือไม่ฉลาดพอเหมือนฟตุบอลใหญ่ ที่ควรจะวิ่งไปตรงไหน (หรือจริง ๆ สตรีทบอลเค้าเน้นรอบอล เพื่อจะได้โชว์ของ ตัวต่อตัวกันแน่) ในด้านคอนเทนต์ Volta มีน้อยไปอยู่ ถึงแม้จะอัพเดตเรื่องเสื้อผ้า แต่ใช่ว่ามันจะสามารถดึงดูดผู้เล่นหันมาสนใจเล่นเพื่อซื้อของแต่งตัวแฟชั่นสตรีทมากกว่าเดิม ตัวละครนักเตะลูกทีมที่ชวนเข้ามา เหมือนเดิมไม่ต่างจากภาค 20  ตัวละครมีซ้ำกัน ใช้โมเดลชื่อตัวละครนักเตะรีไซเคิลเยอะไป

Verdict

FIFA 21 ภาคนี้ ถึงแม้จะไม่มีนวัตกรรมใหม่ระดับ Major ใส่เพิ่มเข้ามา แต่กลับกลายเป็น “ยกเครื่องใหม่” แทน คอนเทนต์ออนไลน์ ออฟไลน์ ปรับแต่งแก้ของเก่า เพื่อเอาสิ่งที่ดีกว่าใส่เข้ามา เกมการเล่นสนุกกว่าเดิม และทุก ๆ โหมดมีการพัฒนาให้มีลูกเล่นเยอะขึ้น ใช้งานได้สะดวกและลงตัวมากขึ้น

แต่ก็ต้องผิดหวัง กับบางโหมดที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากเท่ากับโหมดอื่น  แต่คงเป็นเรื่องปกติไปแล้วสำหรับฟีฟ่าที่ออกทุกปี แต่เชื่อเหอะว่า FIFA 21 มันเป็นเกมฟุตบอลสำหรับแฟน ๆ วงการลูกหนังจะพลาดปีนี้ไปไม่ได้อยู่ดี

SHARE

Nattapit Arsirawatvanit

มาร์ค - Senior Content Writer

Back to top