BY Aisoon Srikum
3 Feb 21 6:12 pm

รีวิว Cyber Shadow เมื่อสำนักนินจาโบราณต้องต่อกรกับเหล่าจักรกลยึดโลก

11 Views

ไม่ว่ายุคสมัยของวงการเกมจะพัฒนาไปไกลแค่ไหน แต่สิ่งหนึ่งที่วงการเกมไม่เคยขาด คือเกมสไตล์ Retro ยุคเก่า ไม่ว่าจะด้วยการทำเพราะความรัก ความชอบ หรือเพราะจะหากินกับความ Nostalgia มีดีบ้าง แย่บ้าง ปนกันไป แต่เราก็เห็นกันอยู่เรื่อย ๆ – Cyber Shadow คือหนึ่งในผลงานเหล่านั้น และมันมีอะไรบางอย่างเตะตา Yacht Club Games ผู้สร้าง Shovel Knight ให้ตัดสินใจรับเป็นผู้จัดจำหน่ายให้เกมนี้ วันนี้เรามาทำความรู้จักกับ Cyber Shadow ในบทความรีวิวตัวนี้กัน

Story

Cyber Shadow เป็นเกมที่มีเรื่องราวที่น่าสนใจ ว่าด้วยเรื่องราวของ Shadow นินจาไซบอร์กที่ออกเดินทางเพื่อช่วยเหลือสำนักนินจาโบราณที่ล่มสลายของพวกเขา ในโลกที่ถูกจักรกลสังหารยึดครองไปแล้ว และมันยังเป็ฯการตามหาตัวตนของเขาเองอีกด้วย ว่าเพราะอะไรเขาถึงกลายมาเป็นครึ่งไซบอร์ก ครึ่งนินจาแบบนี้ โดยเรื่องราวของเกมจะค่อย ๆ เปิดเผยเมื่อผู้เล่นเล่นเกมไปเรื่อย ๆ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องราวซับซ้อนซ่อนเงื่อนอะไรขนาดนั้น ด้วยความที่ตัวเกมนำเสนอออก เน้นไปที่ Presentation และ Gameplay มากกว่า ทำให้บางครั้งเราก็ลืมเรื่อง Story ไปเลย แต่ก็ไม่ถึงกับปล่อยให้มันขาดตอนไปเลย แค่รู้สึกว่าในบางครั้ง การเล่าเรื่องของมันสะดุดจากการนำเสนอและเกมเพลย์ของมันเท่านั้นเอง

Presentation

โลกของเกมนี้คือโลกที่ไม่บอกช่วงเวลา แต่เป็นโลกในอนาคตที่เหล่าจักรกลลุกขึ้นมายึดครองโลก ด้วยความที่เกมนี้เป็นเกมแบบ Action Platformer แบบเดินข้างด้วยมุมมอง 2 มิติ เราอาจจะไม่ได้เห็นโลกในเกมที่ยิ่งใหญ่เหมือนกับเกมอื่น แต่เขาก็ได้ถ่ายทอดมันออกมาผ่านรายละเอียดของฉากแบบสองมิติ

เราจะได้เห็ฯทั้งพื้นที่ของสำนักนินจาเก่า และพื้นที่ของโลกปัจจุบันที่เต็มไปด้วยจักรกล หุ่นเหล็ก และเป็ฯผสมผสานกันของสองวัฒนธรรมจากสองยุคสมัยที่ลงตัวมาก ๆ หากคุณชอบการต่อสู้ของนินจากับการต่อสู้แบบจักรกล คุณจะหลงรักสิ่งที่เกมนี้นำเสนอออกมาจริง ๆ และรูปแบบของเกม นอกจากจะเป็น Action Platformer แล้ว ตัวเกมยังใส่กลไกการเล่นแบบ Metroidvania นั่นคือการค้นหาทางลับที่อาจจะซ่อนอยู่ตรงไหนก็ได้ และบางพื้นที่ คุณจะต้องเล่นไปก่อน แล้วถึงย้อนกลับมาเปิดทางลับตรงนั้นได้ เมื่อจบฉากใหญ่ ในหน้า Select Stage คุณสามารถเลือกย้อนกลับมาฉากเดิมได้ โดยระบบเกมจะแสดงไว้เลยว่าฉากนั้น คุณเก็บ Progression ไปกี่เปอร์เซนต์แล้ว ถ้ายังไม่ครบ 100% แปลว่ายังมีไอเทมลับ หรืออะไรบางอย่างที่คุณยังหาไม่เจอ

แนวทางแบบนี้ อาจจะมีปัญหาตรงที่คนที่อยากจะเดินหน้าลุยให้มันจบ ๆ ก็ไม่มีแรงจูงใจจะกลับมาเก็บ แต่ถามว่ามันจำเป็นไหม ? ก็จำเป็น แต่ถ้าคุณฝีมือถึง จะลุยไปโดยไม่กลับมาเก็บก็ได้ ไอเทมลับในเกมนี้ จะช่วยเพิ่มหลอด HP / SP ของคุณให้เยอะขึ้น ส่วนไอเทมหลักที่ทำให้ตัวละครเก่งขึ้นโดยตรงนั้น เราจะได้มาจากการเล่นตรง ๆ ไปเรื่อย ๆ อยู่แล้ว ไอเทมลับที่เสริมเข้ามา คุณจะไม่เก็บก็ได้ ถ้าคุณคิดว่าตัวเองแน่พอ นั่นคือเอาชนะศัตรูระดับบอสได้ ด้วยการไม่พลาดโดนโจมตีเลย หรือโดนได้แต่จำนวนครั้งจะน้อยกว่า เพราะพลังชีวิตเราจะไม่สูงเท่าการเก็บไอเทมลับมาเสริม ก็เหมือนกับอีกหนึ่งความท้าทายดี ๆ นี่เอง แต่ผู้เล่นจะเลือกได้ ว่าจะไปต่อแบบสบาย ๆ หรือท้าทายฝีมือตัวเอง

นอกจากนั้นตัวเกมยังรับเอากลิ่นอายของความเป็น Retro แบบเต็มขั้น ทั้งฉากที่เป็นแบบ Pixel Graphic เพลงประกอบสุด Retro ระบบการเล่นที่เหมือนกับเกมยุคเก่าไม่มีผิด ซึ่งแนวทางการนำเสนอแบบนี้ มันคือสิ่งที่เกม Shovel Knight เองก็เคยทำมาก่อน เห็นแบบนี้แล้ว ไม่แปลกใจเลยที่ Yatch Club Games เขาจะตกปากรับหน้าที่จัดจำหน่ายเกมนี้ให้ เพราะให้พูดแบบสรุป นี่มันคือ Shovel Knight ในแบบฉบับที่เปลี่ยนจากอัศวินถือพลั่ว มาเป็นนินจาไซบอร์กนั่นเอง

Gameplay

เอาเป็นว่าหากคุณเคยเล่นเกม Retro ทั้งหลายแหล่ ไม่ว่าจะเป็นยุคเก่าอย่างเช่น Mega Man, Adventure Island, Ninja Gaiden หรือยุคใหม่อย่างเช่น Shovel Knight, The Messenger คุณก็จะเล่นเกมนี้เป็นทันที และเอกลักษณ์ของเกมนี้ คือกลิ่นอายความ Retro แบบแท้ ๆ ถ้าคุณเคยเล่นเกม 8-16 Bit ในสมัยก่อนจะรู้ว่า สิ่งหนึ่งที่เป็นอุปสรรคจริง ๆ คือความยากที่เป็นเอกลักษณ์ชนิดที่เกมยุคนี้ไม่อาจลอกเลียนได้ (ละเว้นเกมตระกูล Souls ไว้)

มันไม่ใช่ความยากแบบศัตรูโหด มาเยอะ อะไรแบบนั้น แต่มันเป็นความยากของฉากและ Platformer ที่เราต้องตะลุยผ่านด่านไป ในเส้นทางข้างหน้านั้น เราไม่รู้เลยว่ามีศัตรูประเภทไหน แบบไหน โจมตีแรงแค่ไหน รอเราอยู่ หรือฉากนั้นจะมีอุปสรรค กับดัก หนาม หรือไม่ ตัวละครเกมนี้อ่อนแอต่อหนามเหมือนกับ Mega Man ไม่มีผิด แตะหนามทีเดียว เลือดเต็มหลอดก็ตัวระเบิดแล้ว แถมบางฉากมันยังเป็นการเลื่อนไปทิศทางใดทิศทางหนึ่งแบบอัตโนมัติ ผู้เล่นต้องต่อสู้ด้วย หลบสิ่งกีดขวางที่ทำเราถึงตายด้วยตลอดเวลา

เกมใช้ระบบจุด Checkpoint ถ้าเราตาย เราจะย้อนกลับมาที่จุด Checkpoint นี้ ในจุด Checkpoint แต่ละจุด เราจะมีให้เราเลือกอัปเกรดโดยใช้เศษเงินที่ดรอปจากศัตรูในการอัปเกรดได้ เช่น เติมพลังชีวิต / พลังมานาให้เราเต็มอัตโนมัติ หรือผลิตไอเทมพิเศษช่วยเราอัตโนมัติ เป็นต้น แต่การมีจุด Checkpoint ก็ใช่ว่าจะง่าย เพราะมันอยู่ห่างกันมาก บางครั้งแค่ขยับตัวจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่งก็ทำเราตายเป็นสิบรอบได้แล้ว

ศัตรูในเกมนี้ไม่ยาก แต่ที่ยากจริง ๆ คือการออกแบบและดีไซน์ฉาก ที่ต้องชื่นชมผู้พัฒนาว่าออกแบบมาได้ดีมาก ดีจนเราแทบปาจอยทิ้ง ศัตรูนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย เพราะมันจัดการได้ง่าย อาจจะมีบางตัวที่พอเราเจอครั้งแรก ต้องเจ็บตัวก่อน ถึงจะรู้ว่ามันมีแพทเทิร์นการโจมตียังไง ส่วนระดับบอสก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเรียนรู้ และหาทางว่ามันโจมตีแบบไหนถึงจะสู้ได้ง่าย ไอ้ที่กวนประสาทจริง ๆ คือการออกแบบในส่วนของ Platformer หรือฉากที่เต็มไปด้วยอุปสรรค

การเล่นเกมนี้อย่างน้อยคุณจะต้องตายแน่ ๆ 1 ครั้งตอนเจอฉากใหม่ ๆ เพราะเราไม่รู้ได้ว่าข้างหน้าเรามีอุปสรรคประเภทไหนรอเราอยู่ เช่นเราอาจจะเจอกับดักหนามรอเราอยู่ มีกับดักไล่ตามหลังมา เราต้องหนีให้ทัน แต่จังหวะหนีกลับโดนอุปสรรคแทรก ทำให้การหนีสะดุด และเราก็ต้องตาย มันคือเกมที่เราต้องตาย แต่ไม่ใช่ตายเพื่อเรียนรู้ศัตรู แต่ตายเพื่อเรียนรู้ว่าอุปสรรคนั้น มีวิธีจัดการ หรือหลบมันยังไง ศัตรูเกมนี้ไม่น่ากลัวเท่าอุปสรรคแน่นอน

แต่อย่าคิดว่ามันจะเป็นเกมวิ่งผ่านด่าน ไม่ได้สู้มัน ๆ เลย มีสู้แน่นอน สู้เยอะมากด้วย เพียงแต่ในความคิดของผู้เขียนนั้น การต่อสู้กับศัตรูไม่ยากเท่าการต้องผ่านสิ่งกีดขวางและอุปสรรคต่าง ๆ เพราะศัตรู ฟันไปยังไงมันก็ตาย แต่อุปสรรค เราอาจจะต้องคิดว่า ต้องออกแรงวิ่งไกลแค่ไหน ต้องกระโดดกี่ครั้ง ต้องกะจังหวะยังไง มันยากกว่าแน่ โดยเฉพาะถ้าเราเจอทั้งศัตรูและอุปสรรคพร้อมกัน การแบ่งสมาธิมาใช้ตรงส่วนนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ

แต่เมื่อเราเล่นไปถึงจุดนึง ตัวละครเราจะเก่งขึ้นจากการสะสมลูกแก้วทั้ง 7 เราจะสามารถ Parry การโจมตีแบบ Projectile ของศัตรูได้ สามารถไต่ผนัง กระโดดสองชั้นได้ ดาบก็ตีแรงขึ้นได้ด้วย และเมื่อถึงตรงนี้ เราถึงจะเลือกได้ว่า จะย้อนกลับไปฉากเก่า ๆ เพื่อเปิดทางใหม่หรือไม่ หรือจะเล่นยาวต่อไปเลยก็ได้เช่นกัน

จากทั้งหมดทั้งมวลที่สรุปมา มันคือเกม Action Platformer ที่เล่นสนุกมาก แต่ในบางครั้งมันก็ชวนเราหัวร้อนแบบสุด ๆ ด้วยเช่นกัน มันหนักถึงขั้นบางทีผู้เขียนเองต้องพักก่อน วางจอยลงก่อนไปหาอะไรอย่างอื่นทำ บางฉากติดอยู่กว่า 20 นาที พอพักกลับมาเล่นใหม่ ผ่านได้ในรอบเดียว.. น่ามหัศจรรย์เหลือเกิน แต่นี่ล่ะ คือความสนุกของ Cyber Shadow

Performance

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเกมภาพ Pixel แบบนี้ คอมพิวเตอร์ใครเล่นไม่ได้ก็น่าจะอาการหนักแล้ว อาการบัคนั้นแทบไม่มีให้เห็น ไม่มีความเพี้ยน หรือผิดปกติใด ๆ ระหว่างการเล่น ส่วนการตั้งค่าต่าง ๆ ก็ถือว่ามาตรฐานของเกมแนวนี้ แต่เกมนี้มีเรื่อง Performance ให้พูดถึงน้อยมาก เพราะเกมมันแทบไม่กินสเปคอะไรเลย ถ้าคุณไม่เล่นบนเครื่องเก่าจัด หรือไปเล่นบนระบบที่ไม่รองรับ ก็แทบจะไม่มีปัญหาอะไรให้หงุดหงิดใจ จะมีก็แค่ปุ่มคีย์บอร์ดที่ออกแบบมาทำให้เล่นได้ยากไปหน่อย เกมนี้แนะนำใช้ Controller เล่นจะดีกว่า

Cyber Shadow เป็นอีกเกมที่แฟนเกม Retro จะต้องชื่นชอบ เพราะหลายครั้ง ความคิดถึงในวัยเด็ก หรือเกมเก่านั้น การกลับไปเล่นเกมเดิม อาจให้ความรู้สึกไม่เท่ากับเกมใหม่ที่ใช้ระบบจากเกมเก่าพัฒนาขึ้นมา Cyber Shadow สอบผ่านในจุดนี้ แต่เสียดายตรงนี้ Value ในการเล่นซ้ำมันไม่มากเท่าที่ควรจะเป็น รอบเดียวจบก็ถือว่าจบแล้วต่อกัน

 

SHARE

Aisoon Srikum

Back to top