ทีมพัฒนา EYES OUT อาจเป็นชื่อใหม่ที่หลายคนไม่ค่อยคุ้นในวงการเกม แต่นี่คือทีมที่สมาชิกประกอบไปด้วย นักพัฒนามือเก๋าระดับตำนานอย่าง Cory Davis ผู้กำกับเกม Spec Ops: The Line และ Robin Finck มือกีตาร์จากวง Nine Inch Nails
ซึ่งทั้งสองคนมาปลุกปั้นผลงานเกมสยองสุดแปลกงานภาพหลุดโลกอย่าง SLEEP AWAKE ซึ่งเชื่อว่าเป็นผลงานเกมที่หลายคนจับตามอง (ผมเองก็เฝ้าคอยมานานเหมือนกัน) หลังใช้เวลากว่า 4 ชั่วโมงในการจบเกม เราคิดเห็นอย่างไรกับเกมนี้ตามไปอ่านกันได้เลย
STORY เมื่อการหลับเท่ากับตาย
SLEEP AWAKE เล่าเรื่องราวของ Katja หญิงสาวที่พยายามเอาตัวรอดในโลกที่การหลับหมายถึงความตาย โลกในเกม Sleep Awake นั้นเกิดหลังการล่มสลายจนเหลือเมืองสุดท้ายที่ผู้คนพยายามใช้ชีวตรอด
แต่กลับเกิดเหตุการณ์ลึกลับบางอย่างขึ้น เพราะเมื่อใครก็ตามเข้าสู่การหลับลึก พวกเขาจะถูกอะไรบางอย่างอันลึกลับที่ผู้คนเรียกว่า The Hush พรากร่างกายให้หายไปทันที ผู้คนจึงคิดค้นหาวิธีสุดโต่งไม่ให้ตัวเอง “นอนหลับ” จนเกิดเป็นหลายกลุ่มที่มีความคิดมีความเชื่อต่างกัน
และ Katja ตัวเองของเราก็ถือเป็นศูนย์กลางของเรื่อง ซึ่งมันจะเพราะอะไรผู้เล่นก็ต้องไปติดตามหาคำตอบกันเอาเองภายในเกม

จุดเด่นหลักของ Sleep Awake ก็คือการเล่าเรื่องนี่เอง ตัวเกมมี World Building หรือการสร้างฉากหลังและเรื่องราวของโลกที่น่าสนใจ ตัวเกมเชื้อเชิญให้เราร่วมไขปริศนาไปกับตัวละครว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
กลุ่มผู้คนที่ต่างพยายามหาทางไม่ให้ตัวเองนอนหลับก็มี Setting ที่น่าสนใจ ในเกมมี กลุ่ม Pain Eaters ที่ใช้ความเจ็บปวดทรมานตัวเองเพื่อไม่ให้หลับ มีกลุ่ม Mechanists ที่ใช้ไฟฟ้าช็อตตัวเองเพื่อป้องกันการหลับลึก
อย่างไรก็ตามถึงแม้ตัวเกมจะมีเนื้อหาเริ่มต้นและมีโลกที่ชวนให้เราอยากค้นหาอะไรต่าง ๆ ในเกม แต่ตัวเกมกลับยังนำเสนอออกมาได้ไม่ดีพอเท่าที่ควร เรามีเวลาพบเจอกลุ่มต่าง ๆ ในเกมน้อยมาก ๆ (เพราะเอาจริง ๆ ตัวเกมก็ถือว่าสั้นเอาเรื่อง)
ขณะเดียวกันเนื้อเรื่องหลักของเกมนั้นก็ “เหนือล้ำ” จนถึงขั้นที่แม้จะชวนให้ติดตามและน่าสนใจ แต่เชื่อว่าหลายคนจะไม่พอใจกับคำตอบหรือการเฉลยปมต่าง ๆ ของเกมอย่างแน่นอน

GAMEPLAY เดินเรื่องเส้นตรงเป็นเหมือนการซึมซับบรรยากาศมากกว่าเล่นเกม
โดยรวมแล้ว Sleep Awake ถือเป็นเกมในหมวดเดียวกับเกมเน้นเสพบรรยากาศ เช่น Still Wakes the Deep หรือ SOMA พูดง่าย ๆ คือมันเป็นเกมแนวเดินสำรวจพื้นที่ มองหาทางไปต่อ เจอปริศนาบางจุด และมีฉากลอบเร้นให้ลุ้นเป็นระยะ
น่าเสียดายที่เกมการเล่นโดยรวมของ Sleep Awake นั้นชวนให้หลับแบบสุด ๆ แถมปริศนาในเกมนั้นเรียบง่าย และไม่มีความท้าทายเท่าไหร่
ตัวเกมใช้อุปสรรคแบบให้เราไปหาของมาเปิดประตูอยู่บ่อย ๆ แต่ดันวางกุญแจไว้ง่าย ๆ ข้างกับประตูทุกครั้ง ดังนั้นมุกในเกมก็เลยดูซ้ำซากเป็นการเดินไปเจอประตูที่ล็อกไว้ เดินอ้อมไปกดปุ่มเปิดหรือหยิบกุญแจแล้วก็เดินกลับมา
แม้จะมีปริศนาที่น่าสนใจผสมเอาไว้อยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้ออกแบบมาดีจนถือว่าเป็นข้อดีได้

ขณะที่ตัวเกมพยายามใส่ฉากลอบเร้นเข้ามา แต่รูปแบบการเล่นนั้นไม่มีความลึกหรือมี AI ที่ฉลาดหรือออกแบบมาให้ดูตื่นเต้นมากพอ ส่วนใหญ่เราจะแค่หลบใต้โต๊ะหรือรอให้ศัตรูเดินผ่านไป
หรือจริง ๆ จะไม่ต้องรอบเล้นแต่ใส่เกียร์สุนัข วิ่งหนีศัตรูแทบทั้งหมดในเกมไปเลยก็ได้ เพราะตัวเกมอาศัยการตัดฉากเป็นระยะ ดังนั้นพอเราวิ่งไปถึง “ประตู” ที่เกมกำหนดก็ถือว่าเราผ่านฉากนั้นไปแล้ว
แม้ช่วงท้ายจะมีศัตรูแบบใหม่ ๆ ออกมาแต่การออกแบบโดยรวมก็เหมือนให้เราจดจำเส้นทางเดินของศัตรูและเดินหลบไปเรื่อย ๆ มากกว่าจะเป็นการลอบเร้นอย่างแท้จริง
ใครที่คาดหวังจะได้เห็นระบบ “การเล่น” ที่สนุกก็คงจะต้องผิดหวังกันในส่วนนี้

PRESENTATION หลุดโลกที่ถ้าไม่โดนใจก็ขัดใจกันไปเลย
จุดเด่นที่สุดของ Sleep Awake ก็คือการนำเสนอของเกม เราสัมผัสได้เลยว่าจริง ๆ นี่เป็นผลงานที่ทีมงานใส่ความเป็นตัวเองลงไปแบบสุดขั้ว
โลกและฉากในเกมเต็มไปด้วรายละเอียด มีการเล่าเรื่องผ่านสภาพแวดล้อมในเกมที่โดดเด่น รายละเอียดของเนื้อเรื่องบางอย่างอาจไม่ได้ถูกเล่าผ่านเอกสารหรือฉากโดยตรง แต่ผู้เล่นจะเชื่อมโยงเนื้อหาต่าง ๆ ได้หากสังเกตุฉากต่าง ๆ ระหว่างการเล่น น่าเสียดายที่สภาพแวดล้อมในเกมนั้น “จำเจ” ไปนิด แม้เนื้อหาและฉากหลังของเกมจะ “หลุดโลก” แต่ส่วนใหญ่ตัวเกมก็นำเสนอฉากที่เต็มไปด้วยตรอกมืด อาคารพัง ๆ
จุดด้อยอีกอย่างคือเส้นทางของเกมค่อนข้างเป็นเส้นตรง แม้จะมีไฟส่องนำทางช่วยไม่ให้หลง แต่บางครั้งความรกของฉากทำให้มองหาทางไปต่อได้ยากอยู่บ้าง

ช่วงครึ่งหลังตัวเกมจะเริ่มนำเสนอภาพหลอนแบบไซคีเดลิก ใส่มาทั้งการเบลอ การซ้อนภาพ เล่นกับแสงสีเสียงอย่างเต็มที่ มีแม้กระทั่งการเสริมเนื้อหาด้วยวิดีโอ FMV สไตล์มิวสิกวิดีโอ ทำให้บรรยากาศช่วงนั้นเข้มข้นจนเป็นจุดเด่นของเกม (และแน่นอนอย่างที่บอกไปอาจจะไม่ได้โดนเส้นผู้เล่นทุกคน และหลายคนอาจจะเกิดอาการอ้วกแตกระหว่างการเล่นได้เพราะการซ้อนภาพเป็นระยะ)
ที่น่าเสียดายที่สุดคือตัวเกมเล่าว่าตัวละครของเราและโลกในเกมใกล้จะพังเพราะอดนอน ผู้คนทรมานจากการง่วงแต่นอนหลับไม่ได้ แต่ผู้เล่นไม่สามารถมีบทบาทในการตัดสินใจหรือบริหารความเหนื่อยล้าได้เลย
ทุกอย่างถูกกำหนดโดยเนื้อเรื่องไว้ทั้งหมด หนึ่งในส่วนที่ดูล้ำและดึงให้คนสนใจเกมนี้มากที่สุดจึงไม่ถูกนำมาใช้เป็นระบบการเล่น

เราจะได้แค่เห็นตัวเอกหน้ามืดมีอาการวูบหรือหลอนเป็นระยะ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกกดดันหรือเข้าใจความทรมารของคนง่วงที่นอนไม่ได้แต่อย่างใด (ยกเว้นเล่นเกมนี้แล้วดันง่วงขึ้นมาจริง ๆ)
ในแง่การนำเสนอนั้นส่วนที่ดีที่สุดจริง ๆ ของเกมคือ Audiovisual เอาจริง ๆ แล้วคุณจะชื่นชอบผลงานชิ้นนี้มากเท่าไหรก็ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณรักงาน Audioviusal มากแค่ไหน ภาพหลอนแบบไซคีเดลิก ผสมกับฉากเหนือจินตนาการและงานเสียงประกอบที่ยอดเยี่ยม Robin Finck มือกีตาร์จาก Nine Inch Nails ปล่อยของแบบเต็มที่ สัมผัสพลัง industrial เต็มหู และก็มีความหลอนแบบสวยงามปะปนไปในบทเพลง
โดยรวมแล้วโทนของเกมไม่ได้เน้นความสยองเท่าไหร่ แน่นอนว่ามันอาจวางตัวเหมือนจะมีฉากที่รุนแรงหรือการออกแบบที่ชวนให้รู้สึกกลัวแต่ก็ไม่ได้เน้น “เลือดหรือเนื้อ” หรือฉากชวนแหวะแบบเกมสยองทั่วไป

สรุป ไอเดียดี บรรยากาศเด่น แต่ยังไม่ลงตัว
นี่ถือเป็นผลงานเกมที่ “แปลก” มาก ๆ ที่สุดเกมหนึ่ง มันมีองค์ประกอบหลายอย่างที่น่าสนใจ เช่น โลกดิสโทเปียสุดแหวก ปมปริศนาที่ชวนให้ติดตาม งานภาพไซคีเดลิกที่โดดเด่น และงานเสียงที่ยอดเยี่ยมาก ๆ ๆ ๆ
แต่หลายส่วนกลับขาดความลงตัว เช่น ระบบลอบเร้นที่ไม่ท้าทาย ฉากที่ขาดความน่าสนใจ และเนื้อเรื่องที่น่าผิดหวัง
มันมีส่วนที่ยอดเยี่ยมมาก ๆ ใส่ไว้กับส่วนที่แย่มาก ๆ เขย่ารวมกันแล้วออกมาเป็นผลงานที่สัมผัสได้ว่าทีมงานตั้งใจสร้างสรรค์ มีเป้าหมายที่ชัดเจน มีไอเดียที่อยากนำเสนอแต่อาจจะก้าวสะดุดล้มในบางจุด
ถ้าคุณชื่นชอบงานภาพและเสียงที่ยอดเยี่ยมและมองข้ามเกมการเล่นที่ค่อนข้างจะอ่อนแอ หรือชื่นชอบการเล่าเรื่องที่แปลกหลุดแนว Sleep Awake ก็อาจจะตอบโจทย์คุณได้
แต่ถ้าคุณอยากได้ประสบการณ์เกมสยองที่สนุก เร้าใจ หรือมีเนื้อหาที่จบแบบสมบูรณ์นี่ก็คงไม่ใช่ผลงานที่คุณมองหานั่นเอง












