BY Aisoon Srikum
25 Aug 25 7:00 pm

รีวิว SHINOBI: Art of Vengeance

546 Views

ยอดนินจาในตำนาน โจ มุซาชิ แห่งชิโนบิ ห่างหายกันไปนานพอสมควร และการกลับมาครั้งนี้คือศิลปะแห่งการล้างแค้น มันจะเป็นยังไง ขอเชิญพบกับ SHINOBI: Art of Vengeance  Review

YouTube video

Story – การล้างแค้นแบบเพียว ๆ ที่ขยี้สุมไฟแค้นให้รุนแรงขึ้น

โลกตกอยู่ในความสิ้นหวังและความโกลาหลครั้งใหญ่ เมื่อองค์กร ENE Corporation นำโดย Lord Ruse ได้ใช้กองกำลังกึ่งทหารได้เข้าโจมตีและยึดครองกองทัพอื่น ๆ ทั่วโลก แต่มีภัยคุกคามเพียงหนึ่งเดียวที่เป็นอุปสรรคของ ENE Corp. นั่นคือสุดยอดนินจาในตำนานอย่าง Joe Musashi แห่งตระกูล Oboro ตระกูลนี้ปกป้องมนุษยชาติจากภัยคุกคามมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่คราวนี้ ENE Corp. ได้รู้ถึงที่ตั้งของตระกูล Oboro และบุกมาถึงที่

ตระกูล Oboro ถูกบุกโจมตี สมาชิกทุกคนถูกทำให้เป็นหิน แม้ศิษย์คนสำคัญอย่าง Tomoe และภรรยาอย่าง Naoko จะรอดตายมาได้ แต่การเปิดฉากครั้งนี้ได้จุดไฟแค้นขึ้นในตัวของ Joe มันคือไฟแค้นที่จะไม่มีวันมอดดับ จนกว่า Lord Ruse และ ENE Corp. จะล่มสลายหายไปจากโลกใบนี้

พล็อตสูตรสำเร็จตามสไตล์หนังล้างแค้นที่มีให้เหเ็นอยู่ล้นตลาดไม่ว่าจะเป็นจากฝั่งหนังหรือเกมถูกหยิบมาใช้อีกครั้งในเกมนี้ นอกจากมันจะเข้าใจง่าย ย่อยง่ายแบบสุด ๆ แล้ว มันยังเหมาะสมมากที่จะเป็นประตูบานแรกที่จะทำให้แฟน ๆ รู้จักชื่อของซีรีส์ SHINOBI มากยิ่งขึ้น คุณจะไม่ต้องทำความรู้จักโลก หรือตัวละครอะไรมากไปกว่ารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเหตุการณ์ภาคนี้ ต้นสายปลายเหตุคืออะไร และมันจะไปจบลงที่ตรงไหน เป็นเนื้อเรื่องสุด Cliche ที่เข้าถึงง่ายมาก ๆ

ระหว่างทางเส้นทางแห่งการล้างแค้น เราก็จะได้บ่อนทำลายสถานที่ที่เป็นกองกำลังของ ENE Corp. ไปในตัว ไม่ว่าจะเป็นงานเลี้ยงบังหน้า แต่เบื้องหลังแอบเก็บอาวุธอันตรายไว้ ท่าเรือขนส่งที่แอบซุกซ่อนโรงงานผลิตอาวุธและจักรกลไว้เบื้องหลัง คือสำหรับเกมนี้แล้ว เนื้อเรื่องมันเป็นเส้นตรง แบบเดินหน้าแก้แค้นอย่างเดียว แต่ก็กระตุ้นให้คนเล่นอยากไปต่อด้วยการขยี้บทให้ปมความแค้นมันปะทุขึ้นเรื่อย ๆ ใครชอบอะไรที่มันย่อยง่าย เข้าใจง่าย หรือชอบพล็อตแนวล้างแค้นก็จะถูกใจเกมนี้ได้ไม่ยาก ดังนั้นถ้าใครมองหาเกมที่มีเนื้อเรื่องซับซ้อน นี่ไม่ใช่เกมแบบนั้นแน่นอน

Presentation – งานภาพสุดโดดเด่น และความเป็น Modern Metroidvania

ตั้งแต่หมู่บ้านนินจาโดนบุก ไปจนถึงงานเทศกาลลอยโคม ลากยาวไปยังฐานลับใต้น้ำและเมืองสไตล์นีโอสุดเท่ ไม่มีฉากไหนที่เราไม่ประทับใจกับ SHINOBI: Art of Vengeance นี่คือเกมที่มีฉากหลากหลายรูปแบบมาก และทีมงานก็ดูจะไม่ได้กั๊กความคิดสร้างสรรค์หรือแรงกายแรงใจไว้ในฉากหลังเลย อาจเพราะมันคือทัศนียภาพเพียงหนึ่งเดียวระหว่างการเล่นเกมแนวนี้ พวกเขาเลยจัดหนักจัดเต็มขั้นสุด และด้วยกราฟิกสไตล์ Hand-Drawn เลยทำให้ตลอดทั้งการผจญภัยของเกมนี้มันไม่น่าเบื่อเลย

ในแต่ละพื้นที่นอกจากจะมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนในเรื่องของฉากแล้ว วิธีการผ่านแต่ละด่านก็ถือว่ามีลูกเล่นไม่ใช่น้อย บางด่านอาจเป็นเส้นตรง พาเราไปปะทะกับฝูงศัตรู ในขณะที่บางด่านก็ซับซ้อนเป็นกึ่ง Metroidvania ไปเลย แต่ละด่านจะมี Progression แยกเป็นของตัวเอง ขึ้นอยู่กับว่าเราสะสมไอเทมต่าง ๆ ที่ปรากฎภายในด่านได้ครบหรือไม่ แต่บอกไว้เลยว่า ในการเล่นรอบแรกของแต่ละด่าน มีโอกาสน้อยมากที่เราจะเก็บได้ 100% เพราะบางด่านจำเป็นจะต้องปลดล็อคไอเทม หรือพลังพิเศษต่าง ๆ มาก่อน จึงจะย้อนกลับมาเปิดเส้นทางเก่าในด่านเก่าได้ ทำให้เกมนี้ ถ้าจะเอาแบบครบจบสมบูรณ์อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลา หรืออาจจะต้องเล่นกัน 2 รอบขึ้นไป

แต่การดีไซน์ระบบ Progression ของเกมนี้ถือว่าทำได้น่าสนใจมาก ในแต่ละด่าน นอกจากจะต้องตะลุยผ่านด่านทั่วไปแล้ว ผู้เล่นจำเป็นจะต้องสะสม Oboro Relics ที่เป็นวัตถุโบราณประจำตระกูล ในแต่ละด่านจะมีด่านละ 5 อัน ความสำคัญของเจ้า Oboro Relics นี้ก็คือจะทำให้เราปลดล็อคไอเทมและ Movement ใหม่ ๆ ที่ร้านค้าได้ ยิ่งทำให้ตัวละคร Joe Musashi ของเรา มีความแข็งแกร่ง ต่อสู้ได้ดีและหลากหลายขึ้น จึงเป็นแรงจูงใจให้ผู้เล่นพยายามออกสำรวจทุกซอกทุกมุมของเกม เพราะยิ่งเจอ Oboro Relics มากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้ตัวละครเก่งไวขึ้นนั่นเอง

นอกจากการออกแบบฉากและดีไซน์ Progression ได้ดีแล้ว ผมได้ความรู้สึกตอนเล่น Prince of Persia: The Lost Crown กลับมาอีกครั้ง นั่นคือการดีไซน์แพลตฟอร์มที่ดีมาก มันเล่นได้สนุกและลื่นไหลไม่แพ้กัน รวมไปถึงใช้กิมมิคของพลังต่าง ๆ ที่ตัวละครมีได้อย่างลงตัว เสียดายที่มันมีน้อยไปหน่อย เข้าใจว่าเขาเน้นไปที่การแอ็คชันตะลุยด่าน ไม่ใช่การลุยแพลตฟอร์มแบบ The Lost Crown แต่พอถึงจุดที่มี เขาก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน

มีไม่บ่อยเท่าไรที่เราจะได้เล่นเกม Side Scrolling สนุก ๆ แบบนี้ บอกตรง ๆ เลยว่าในระยะหลังมานี้ เกมแนวนี้มันไปทาง Roguelike, Metroidvania กันจนล้นตลาดไปหมด แต่สิ่งที่ SHINOBI: Art of Vengeance เลือกที่จะนำเสนอก็คือการหาจุดตรงกลางระหว่างเกมทุกแนว แต่ยังคงนำเสนอเป็นแบบเกมเส้นตรง ให้เราบุกป่าฝ่าดงศัตรูไปจนถึงปลายทาง แต่อุปสรรคระหว่างทางก็ขับเคี่ยวผู้เล่นจนตื่นตัวได้ตลอดเวลา แค่นี้เกมก็น่าประทับใจมากแล้ว

เนื้อหาของเกมนี้ ถ้าจะเล่นตั้งแต่ต้นจนจบ โดยไม่ได้สนใจการเก็บ 100% ก็น่าจะหลัก 12-15 ชั่วโมงกันได้แบบเต็มอิ่ม และถ้าจะวนการเล่นบางฉากเพื่อเก็บให้ครบอีกก็อาจจะไปแตะ 20-25 ชั่วโมง สำหรับเกมที่มีราคา 466 บาท (โซนไทย) ก็คือเต็มอิ่ม คอนเทนต์ว่าเดือดแล้ว เกมเพลย์เองก็เดือดไม่แพ้กัน มาเข้าสู่ช่วงต่อไปกันเลย

Gameplay – ครบเครื่องกระบวนท่า วิชานินจาสังหาร

ใครที่ชื่นชอบกลิ่นอายความเป็นเกม Retro ยุคเก่า เกมนี้จะเป็นการดึงเอาเสน่ห์เหล่านั้นกลับมาผสมผสานกับแนวเกมยุคใหม่ให้มันเล่นได้สนุกและลื่นไหลที่สุด Joe Musashi ในเกมภาคนี้ ไม่ใช่แค่โจมตี กระโดด ขึ้นบน ลงล่างได้เท่านั้น แต่เขายังมีกระบวนท่า วิชานินจาอีกมากมายให้ได้ใช้ และผู้เล่นสามารถเลือกผสมผสานคอมโบได้ทุกท่วงท่า ให้ออกมาเป็นสุดยอดการโจมตีได้

กระบวนท่า Ninpo คือกระบวนท่าที่ใช้ในการโจมตี แต่ละกระบวนท่าจะมีสามค่า Damage, Armor, Execution ก็คือ Damage คือการโจมตีโดยตรงเข้าไปที่พลังชีวิตของศัตรู Armor คือการทำลายค่าเกราะ และ Execution คือการเร่งหลอดท่าสังหาร การโจมตีศัตรูด้วยท่าสังหารพิเศษจะช่วยเพิ่มโบนัสไอเทมที่เราจะได้จากการฆ่าศัตรูให้มากยิ่งขึ้นได้ การติดตั้งกระบวนท่า Ninpo ทั้ง 4 กระบวนท่า จึงขึ้นอยู่กับว่าผู้เล่นอยากให้ตัวละครเราเน้นไปที่การโจมตีด้านใด แต่ถึงเวลาจริง เราก็ต้องงัดทุกอย่างที่มีไปสู้อยู่ดี

Amulet หรือเครื่องราง อันนี้ติดตั้งได้ 2 ชิ้น ส่วนใหญ่แล้วเครื่องรางจะช่วยเสริมพลังให้กับคอมโบต่าง ๆ เช่น ตีครบ 10 คอมโบ ศัตรูจะดรอปเงินเพิ่มขึ้น ตีครบ 15 คอมโบดาเมจแรงขึ้น อะไรประมาณนี้ การติดตั้งเครื่องรางให้เหมาะสมกับกระบวนท่า Ninpo ก็เป็นเรื่องสำคัญไม่แพ้กัน แต่ทั้งสองอย่างจะได้จากการออกสำรวจและผจญภัย ก็ยิ่งไปสอดคล้องกับรูปแบบฉากของเกมที่ชวนให้เราออกสำรวจ Oboro Relics คือยิ่งสำรวจ ตัวละครคุณก็ยิ่งเก่งขึ้นเร็ว

ในขณะที่สกิลต่าง ๆ แบ่งเป็นทั้ง Ninjutsu ท่าไม้ตาย Ningi หรืออุปกณณ์พิเศษที่จำเป็นต้องปลดล็อคเพื่อผ่านอุปสรรคหรือเข้าสู่ทางลับบางอย่าง และ Combat Moves อันนี้จะเป็นสิ่งที่ปลดล็อคได้ไปตาม Progression ของเกม ทำให้เกมนี้จะสนุกและเครื่องติดแบบเต็มที่เลยก็ือช่วงกลางเกมไปจนถึงท้ายเกมที่ตัวละครเราเพรียบพร้อมไปด้วยอาวุธและอุปกรณ์ต่าง ๆ แบบครบเคครื่องแล้ว

แต่เห็นเรามีเขี้ยวเล็บมากขนาดนี้ ศัตรูเองก็ไม่ใช่ย่อยเหมือนกัน ศัตรูในเกมนี้มีหลากหลายแบบ ขึ้นอยู่กับด่านที่เราไป แม้บางตัวจะแค่เปลี่ยนสกินหรืออาวุธอย่างเช่นเขตโรงงานเราก็จะเจอพวกทหารยิงอาวุธปืน แต่ถ้าไปเขตสำนักนินจาก็จะเจอนินจาปาดาวกระจาย คือท่าสังเกตดี ๆ มันก็มีการโจมตีแบบเดียวกัน แค่เปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น ในขณะที่บางด่านก็จะมีทั้งพวกลูกกระจ๊อกที่ตายง่าย แต่รวดเร็วจนน่ารำคาญ หรือพวกศัตรูระดับอึดถึกทน ตีแรง แต่ช้า ให้เราเน้นจับจังหวะแทนการรัวดาบใส่ก็มีบ่อย ๆ คือตลอดช่วงเวลาการต่อสู้ของเกมนี้ ผู้เล่นแทบจะต้องหลังตรงตลอดเวลา เพราะศัตรูแต่ละประเภทมันมีความกวนโอ๊ยที่แตกต่างกันมาก รวมไปถึงตัวเราเองก็ทำได้หลากหลายอย่าง ถ้าไม่คุ้นชินกับกระบวนท่าที่จัดมา การสแปมปุ่มกดมั่ว ๆ อาจพาเราไปตายแทนการคว้าชัยชนะแทนได้

การเติมพลังของเกมนี้ ใช้หลักการคล้าย ๆ ของ Doom เลยก็คือ เราจะได้ของเติมพลังชีวิต เติมคุไนจากการจัดการศัตรูด้วยท่าสังหาร จริงอยู่ว่าการตีปกติมันก็ดรอปเงิน แต่เกมนี้จะไม่มียาเติมพลังสำรองให้ผู้เล่นเลยแม้แต่ขวดเดียว ฟังดูเหมือนยาก แต่ถ้าผู้เล่นจบโหมดฝึกหรือผ่านด่านแรก ๆ ของเกมมาได้ ผู้เล่นก็จะเริ่มเข้าใจหลักการของเกม คือเมื่อใดที่โดนโจมตี เมื่อนั้นก็ถึงเวลาที่เราจะต้องบริหารจัดการว่าเราจะต้องวางแผนใช้ท่าสังหารใส่ศัตรูเพื่อเติมเลือด มันระทึกตรงนี้แหละครับ การบังคับให้เติมเลือดจากการจัดการศัตรูเท่านั้น คืออีกความสนุกที่เกมนี้มอบให้เรา และเป็นระบบที่ทุกคนชื่นชอบ ใครดูวิดีโอ Doom พี่เนกซ์บ่อย ๆ น่าจะเข้าใจหลักการนี้ดี และเกมนี้บาลานซ์ให้มันดีได้ด้วย

เราสามารถกลิ่งตัวหลบที่ทำให้ตัวละครเข้าสู่สถานะ i-frame ในระดับที่ค่อนข้างโกงเกมเลย บางจังหวะคิดว่ากลิ้งหลบไม่ได้ ก็ทำได้ซะงั้น เราอาจจะต้องกล้าลองผิดลองถูกกันสักหน่อย และมีบ่อยครั้งที่เกมเพลย์จะเป็นการบีบฉากให้เราหนีจากซ้ายไปขวา จากล่างขึ้นบน หรือจากบนลงล่าง อันนี้บอกเลยว่า ทำดีมาก เสียดายที่มันมีน้อยไปหน่อย คือเกมก็ยาวมาก ถ้ามีจังหวะแบบนี้เพิ่มอีกสักนิด มันไม่น่าเสียหาย สงสัยกลัวคนเล่นบ่นว่ายากไป เพราะฉากอะไรแบบนี้เราต้องใช้ความรวดเร็ว และความแม่นยำในการควบคุมที่สูงมาก ๆ ในการเล่น

ถึงอย่างไรก็ตาม ตัวผมแอบผิดหวังเล็กน้อยในส่วนของ Boss Fight อาจจะเพราะเขาดีไซน์ด่านมาได้โคตรดี เล่นแล้วระทึก ตื่นเต้นตลอดเวลา แต่กับ Boss Fight อันนี้บางตัวก็ดีไซน์ท่ามาแบบว่า ไม่สมกับความเป็นบอสเลย ขอแค่ยืนนิ่ง ๆ สลับจุดไปมา ใช้ความเคยชินสักเล็กน้อย คุณก็น่าจะผ่านได้ใน Run เดียวแทบทุกตัวแล้ว แต่ก็อย่างว่า เกมนี้เสียเวลาไปกับการตะลุยฉากซะเยอะ จะให้มาเสียเวลากับบอสอีก ผมว่ามันคงทรหดอดทนไปหน่อย ถึงจะน่าเสียดายแต่มันก็ไม่ใช่ข้อเสียใหญ่หลวงอะไรเท่าไรนัก

และข้อเสียอีกข้อที่ผมค่อนข้างงงว่าทำไมเกมถึงไม่มี คือปกติแล้วเกมแนวนี้ ด้วยความที่เราไม่รู้ว่าทางข้างหน้า หรือข้างล่าง หรือข้างบน จะมีอะไรรอเราอยู่ เกมจะใส่ระบบ Pan Camera หรือเลื่อนกล้องออกไปเช็คดู โดยการดันก้านอนาล็อกขวา เพื่อดูว่าตรงนี้ไปต่อได้ไหม มีแพลตฟอร์มรอรับอยู่หรือเปล่า กระโดดไปถึงหรือไม่ แต่เกมนี้กลับไม่มีระบบแบบนี้ ทำให้บ่อยครั้ง เรากระโดดข้ามไป เจอเหว เกาะไม่ถึง หรือโดนมอนสเตอร์ดักตีแทนหลายครั้งจนรู้สึกไม่แฟร์เท่าไร น่าสงสัยไม่ใช่น้อยที่ฟีเจอร์ที่ควรมีมาก ๆ กับเกมแนวนี้ถึงไม่มีในเกมนี้

แม้รูปแบบเกมจะดู Retro แต่ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ การเลือกวาง Combat Move ของผู้เล่นที่แน่นอนว่าจะต้องให้ประสบการณ์การเล่นที่ต่างกันไป ทำให้ SHINOBI: Art of Vengeance เป็นเกมที่จัดอยู่ในระดับที่สนุกมาก ถ้าคุณชอบแนวนี้ บอกเลยว่าไม่ผิดหวัง เต็มอิ่ม ระทึกตั้งแต่จนจบแน่นอน ที่สำคัญ ปวดนิ้วครับ รัวจอยไปหลายครั้งแน่นอน

Performance – ลื่นไหลไร้ที่ติ ยังไงทุกเครื่องก็เล่นได้

ในด้าน Performance ของเกมนี้ ก็ตามสไตล์เกม Side Scrollng ด้านสเปคนี่ หายห่วงได้เลย ขนาดขั้นแนะนำเขายังเอาแค่ GTX 650Ti เท่านั้น คอมยุคนี้ไม่น่ามีเครื่องไหนเล่นไม่ได้ ถ้าคุณเป็นเกมเมอร์

เรื่องของ Setting ในเกม อันนี้เขารู้แน่ว่าแต่ละคนจะต้องปรับปรุง ตั้งค่าต่าง ๆ ด้วยตัวเอง เกมจึงรองรับการ Rebind ทั้งจอยคอนโทรลเลอร์และตัวคีย์บอร์ดแบบเต็มรูปแบบ ขอบอกเลยว่าเล่นเกมนี้ จอยเถอะครับ เห็นการแมปปุ่มคีย์บอร์ดแล้วถึงกับมึน แม้มันจะตั้งค่าให้เหมาะสมกับตัวเองได้ แต่กับบางฉากที่ต้องใช้ความแม่นยำในการกดและความเร็วในการตอบสนองหลาย ๆ ปุ่มพร้อมกันที่สูงมาก จอยน่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่า

และสำหรับคนที่คิดว่าตัวเองอาจจะเล่นเกมไม่เก่ง อยากเล่นอะไรง่าย ๆ ส่วนของ Accessibility ของเกมนี้ถือว่าจัดเต็มมาก จะเลือกความยากให้มันสูงหมดเลยเป็น Preset หรือจะเลือกให้ความแรงของแต่ละอย่างแรงไม่เท่ากันก็ได้ เช่นถ้าคุณเล่นแพลตฟอร์มไม่เก่ง ก็ให้ดาเมจจาก Environment มันเบาลง หรือถ้าคุณอยากให้ศัตรูตีแรงมาก แต่ตีไม่ถี่ ก็ปรับได้ คือเลือกความยากในแบบที่เหมาะสมของคุณได้เลย อันนี้ทำดีมาก

SHINOBI: Art of Vengeance กลายเป็นเกมที่ไร้ที่ติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับคนที่ชอบเกมแนวนี้มาก ๆ หลังจาก Prince of Persia: The Lost Crown ผมก็หาเกมที่มี Vibe ใกล้เคียงกันแบบนี้มาตลอด เพิ่งมาได้สัมผัสอารมณ์นั้นอีกทีก็เกมนี้ ย้ำว่าถ้าคุณเป็นแฟนแนวนี้ ไม่ควรพลาดครับ ทั้งนี้ทั้งนั้นนี่เป็นเพียงรีวิวจากผมเท่านั้น จะสนุกจริงหรือไม่ อาจต้องไปลองเล่นหรือไปหาคำตอบด้วยตัวเองกันดูอีกที

SHINOBI: Art of Vengeance

10 / 10 คะแนน

10

ข้อดี

  • แอ็คชันดุเดือดถึงใจ และใช้ความตื่นตัวในการเล่นสูงมาก
  • วางคอมโบและสกิลต่อเนื่องได้ลื่นไหล และเล่นสนุกมากกว่าเกมอื่น ๆ ในแนวเดียวกันนี้
  • งานศิลป์แบบ Hand-Drawn ที่ใช้ในฉากหลัง และกราฟิกของเกม สวยงามและโดดเด่น
  • เนื้อเรื่องบางช่วง ขยี้ถูกจุด สุมไฟแค้นให้มากขึ้นอีก สมชื่อเกม

ข้อเสีย

  • ความยาวต่อด่านค่อนข้างยาว ผู้เล่นบางคนอาจล้าเมื่อต้องเล่นนาน ๆ
  • แม้เนื้อเรื่องจะบิ้วมาดี แต่ไม่ได้ซับซ้อนหรือมีอะไรมากไปกว่าการล้างแค้น ใครไม่ชอบก็ไม่ชอบเลย
  • สกิลบางท่าไม่ค่อยได้ใช้งาน ออกแบบมาเสียดายของ

Aisoon Srikum

Back to top