สำหรับใครที่ติดตามข่าวคราวของแวดวงเกม MMORPG อยู่ตลอด ชื่อของผลงานเกมอย่าง Legend of YMIR ก็คงจะต้องผ่านหูผ่านตากันมาบ้าง ด้วยธีมของโลกปกรณัมนอร์สที่รังสรรค์ออกมาอย่างสวยงาม กราฟิกจากขุมพลัง Unreal Engine 5 รวมไปถึงคอนเทนต์ที่อัดแน่นอย่างต่อเนื่อง นี่จึงถือเป็นอีกหนึ่งเกม MMORPG หน้าใหม่ที่ผู้คนให้ความสนใจอยู่ไม่น้อย
และในช่วงวันหยุดที่ผ่านมานี้ ทางทีมงาน GamingDose ได้รับเกียรติเข้าไปสัมภาษณ์ทีมพัฒนา Legend of YMIR เกี่ยวกับความเป็นมาของตัวเกม แนวคิดเบื้องหลังการสร้าง และรายละเอียดใหม่ ๆ ทั้งหลายที่จะเติมเข้ามาในเกมในอนาคต เราจึงขอใช้โอกาสนี้ในการรวบรวมประเด็นสัมภาษณ์ที่น่าสนใจเอามาฝากทุกคนกัน ถ้าพร้อมแล้ว ติดตามอ่านบทความนี้กันได้เลย!
การหยิบ “เทพปกรณัมนอร์ส” มาเป็นฉากหลังของตัวเกม
แน่นอนว่าสิ่งแรกที่เห็นได้เด่นชัดสุดของเกมนี้ก็คือธีมเทพปกรณัมนอร์สที่เป็นฉากหลังโลกในเกมนี้นั่นเอง ด้วยความที่ทางผู้พัฒนาตั้งใจจะทำให้เกมนี้เข้าไปตีตลาดโลกตั้งแต่แรกอยู่แล้ว พวกเขาจึงต้องหาแนวทางที่จะทำให้เกมนี้สามารถดึงดูดกับผู้เล่นทั่วโลกได้ ซึ่งพวกเขาก็จับสังเกตและเล็งเห็นว่าโลกที่อ้างอิงจากตำนานนอร์ส มันมีความน่าสนใจและเอกลักษณ์บางอย่างที๋โดดเด่นกว่าโลกแฟนตาซียุคกลาง ที่พบเห็นได้บ่อยในเกม MMORPG

อีกอย่างคือทางผู้พัฒนาคิดว่า การหยิบตัวละครชื่อดังจากตำนานนอร์สมา เช่น ธอร์หรือโลกิ มาดัดแปลงและแต่งเติมเรื่องราวให้เข้ากับโลกของ Legend of YMIR ก็จะช่วยสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้เล่นได้ไม่น้อยเลย ที่สำคัญคือในส่วนของระบบคอมแบตต่าง ๆ พวกเขาก็ตั้งใจทำออกมาให้มีความหนักแน่นและดุดันตามสไตล์ไวกิงให้ออกมาอย่างเด่นชัดที่สุด
เบื้องหลังแนวคิดการเนรมิตดินแดน “นิดาเวลลีร์” (Nidavellir)
ทีมพัฒนาเล่าให้ฟังว่า พวกเขาสนใจนิดาเวลลีร์มากเพราะมันคือบ้านเกิดของเผ่าคนแคระในตำนานนอร์ส และยังเป็นสถานที่กำเนิดของอาวุธศักดิ์สิทธิ์อย่างค้อนมโยลเนียร์ด้วย ซึ่งจากพื้นฐานตรงนี้เอง พวกเขาจึงอยากสร้างภาพการเผชิญหน้าระหว่างคนแคระกับมังกรปาปนีร์ให้ชัดเจนขึ้น โดยให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนได้เข้าไปในโลกตำนานนอร์สจริง ๆ
เพื่อทำให้บรรยากาศสมบูรณ์ที่สุด เขาอธิบายว่าพวกเขาเลือกหยิบองค์ประกอบสำคัญของอาณาจักรคนแคระมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นหมู่บ้านที่เป็นชุมชนหลัก เตาหลอมขนาดมหึมาและสถาปัตยกรรมอันประณีตของเมิร์คเฮม ไปจนถึงเหมืองที่ถูกทิ้งร้างจากการขยายพื้นที่ขุดอย่างหนัก ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกร้อยเรียงเข้าด้วยกันเพื่อทำให้ฉากการปะทะกับมังกรดูอลังการและมีมิติมากที่สุด
ความเป็นปึกแผ่นของคอมมูคือสิ่งที่ทำให้เกม MMORPG ยังคงมีเสน่ห์แม้ในยุคปัจจุบัน

ถึงแม้ว่าเกม MMORPG มันอาจจะไม่ใช่แนวเกมกระแสหลักอย่างที่มันเคยเป็นเมื่อสมัยสิบกว่าปีก่อนแล้ว แต่เกมแนวนี้ก็ยังมีเสน่ห์สำคัญที่เกมแนวอื่นมอบให้ไม่ได้อยู่เช่นกัน ซึ่งทางผู้พัฒนาก็เล็งเห็นเสน่ห์สำคัญที่ว่านี้ จนตัดสินใจออกแบบให้เกม Legend of YMIR เป็นเกม MMORPG ขึ้นมา
พวกเขามองว่า “การมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม” ที่ผู้เล่นสร้างกันขึ้นมาเอง ทั้งการร่วมมือกันทำภารกิจ การทำกิจกรรมร่วมกัน การพูดคุยแลกเปลี่ยนถึงสิ่งต่าง ๆ ในตัวเกม รวมไปถึงการทำมาค้าขายกันในระบบเศรษฐกิจของเกม ซึ่งทั้งหมดที่ว่ามานี้คือยังคงเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวของเกม MMORPG
มากไปกว่านั้น ทางผู้พัฒนาเองก็มีความตั้งใจที่จะยกระดับเกม MMORPG เพราะนี่คือแนวเกมที่พวกเขาหลงรัก อีกทั้งทางบริษัทก็มีความเชี่ยวชาญในการสร้างและออกแบบเกมแนวนี้อยู่แล้ว
ออกแบบโมเดลธุรกิจของเกมให้ผู้เล่นทั้งสายฟรี สายเติมน้อย และสายเติมมากแฮปปี้กันทุกฝ่าย
สิ่งหนึ่งที่ทางผู้พัฒนาเน้นย้ำในการสัมภาษณ์ครั้งนี้อย่างมากก็คือเรื่องกำลังการใช้จ่ายของผู้เล่นนั่นเอง โดยพวกเขาตระหนักว่าผู้เล่นเกม free-to-play ในปัจจุบันนี้มีกำลังในการใช้จ่ายที่แตกต่างกัน บางคนเล่นแบบไม่เติมอะไรเลย แบบคนเล่นแบบเติมบ้างเป็นครั้งคราวทีละนิด หรือบางคนก็เติมอย่างหนักหน่วง ซึ่งการทำให้ผู้เล่นทุกกลุ่มนี้รู้สึกพึงพอใจกับทุกระดับการใช้จ่าย ถือเป็นสิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกเลย
ด้วยสาเหตุนี้เอง ทางผู้พัฒนาจึงออกแบบโมเดลธุรกิจให้เหมาะสมกับความหลากหลายในจุดนี้ อย่างสินค้าบางชิ้นในเกมก็จะถูกซ่อนไว้ และจะเปิดเผยให้ผู้เล่น มองเห็นไปทีละชิ้นตามระดับการใช้จ่ายของตัวเอง ช่วยให้ผู้เล่นมีแผนในการจับจ่ายใช้สอยของตัวเองไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป
อนาคตของ Legend of YMIR ที่เตรียมอัดแน่นคอนเทนต์แบบจัดเต็ม

แกนสำคัญที่สุดที่ทางผู้พัฒนาตั้งไว้ก็คือการวางให้เกมนี้เป็น “เกม Live Service” แบบเต็มตัว ซึ่งพื้นฐานของแนวคิดที่ว่ามานี้ก็มาจากสิ่งที่เรียกว่า “Partner’s Server” (ซึ่งเดี๋ยวจะมีอธิบายถึงในหัวข้อถัดไป) และพวกเขาตั้งใจจะทำให้สิ่งนี้กลายมาเป็นวัฒนธรรมของเกม
ไอเดียสำคัญที่พวกเขาตั้งใจจะผลักดันให้เกิดขึ้นได้จริง ๆ ก็คือการออกแบบให้แต่ละเซิร์ฟเวอร์เอื้อต่อการเกิดหรือสร้างวัฒนธรรมเฉพาะของตัวเองขึ้นมา ซึ่งวัฒนธรรมเฉพาะที่ว่าของแต่ละเซิร์ฟก็จะพัฒนาฝังรากลึกและเติบโตขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามอายุของตัวเกม
สิ่งที่ผู้พัฒนาต้องการจะเสริมในเวอร์ชั่นอัปเดตซีซัน 2 ข้างหน้านี้

คุณซองฮี ผู้เป็น Director ของเกม ให้สัมภาษณ์อธิบายว่า ในฐานะที่เกมถูกพัฒนาให้เป็น MMORPG ทีมงานจึงวางแผนจะเพิ่มน้ำหนักให้กับการเล่นแบบปาร์ตี้มากขึ้น เพื่อช่วยเสริมสร้างคอมมูนิตี้ให้แข็งแรงไปพร้อมกัน และเมื่อให้ความสำคัญกับระบบนี้มากขึ้น ก็ย่อมต้องมีการปรับปรุงระบบปาร์ตี้ตามไปด้วย
เขาเล่าว่า เดิมทีระบบปาร์ตี้จะทำการแบ่งค่าประสบการณ์ (EXP) ที่ได้รับจากมอนสเตอร์ให้สมาชิก แต่ในรูปแบบใหม่ สมาชิกทุกคนจะได้รับค่าประสบการณ์เต็มจำนวน พร้อมทั้งมีโบนัสพิเศษตามจำนวนผู้เล่นในปาร์ตี้ด้วย ส่งผลให้ในการเล่น PVE ทั่วไป การออกล่าแบบปาร์ตี้จะได้เปรียบกว่าอย่างชัดเจน
เขาย้ำว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นแนวทางที่จะผลักดันให้ผู้เล่นรวมกลุ่มกันมากขึ้น และช่วยให้คอมมูนิตี้ของเกมเติบโตอย่างเป็นธรรมชาติไปพร้อมกับระบบที่สนับสนุนพฤติกรรมแบบปาร์ตี้มากกว่าเดิมขึ้นไปอีก
สิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจในอัปเดต Partner’s Server
ทางผู้พัฒนามีความคาดหวังอยู่มากว่า หากผู้เล่นสามารถบริหารจัดการเซิร์ฟเวอร์ของตัวเองได้โดยตรง บริการทั้งหมดก็จะเปิดโอกาสให้เกิดวัฒนธรรมที่สะท้อนเอกลักษณ์ของผู้เล่นแต่ละกลุ่มได้อย่างชัดเจน ซึ่งสำหรับพวกเขาแล้ว นี่คือหัวใจของการสร้างคอมมูนิตี้ที่มีความเฉพาะตัวจริง ๆ
คุณไมเคิล คิม Business Director ของเกม ก็ได้เสริมด้วยว่า ฝั่งผู้พัฒนารู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก เมื่อพาร์ทเนอร์หลายคนบอกตรงกันว่าความสนุกจากการดูแลและบริหารเซิร์ฟเวอร์นั้น กลายเป็นประสบการณ์ที่สนุกยิ่งกว่าตัวเกมเสียอีก
ในส่วนของทิศทางต่อจากนี้ เขาอธิบายว่าทีมมีแผนจะต่อยอดแนวคิดเดิมให้เข้มข้นขึ้น เพื่อให้เซิร์ฟเวอร์ของพาร์ทเนอร์แต่ละรายสามารถเติบโตเป็นพื้นที่ที่มีวัฒนธรรมของตัวเองได้มากยิ่งขึ้น สอดคล้องกับสไตล์และเอกลักษณ์เฉพาะของผู้ดูแลแต่ละคนอย่างแท้จริง
แนวคิดเบื้องหลังการออกแบบการแข่งขัน “เกาะมหาสมบัติที่หายไปแห่งซินดรี”
คอนเซ็ปต์ของโหมดนี้ตั้งอยู่บนแนวคิดของการต่อสู้เชิงกลยุทธ์แบบเข้มข้น โดยผู้เล่นต้องรับมือกับตัวแปรต่าง ๆ พร้อมกับการรบเพื่อยึดครองพื้นที่ ซึ่งคุณซองฮีชี้ว่า เนื่องจากเซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่เพียงเซิร์ฟเวอร์เดียวไม่สามารถครอบครองทั้งเกาะได้ ผู้เล่นแต่ละกลุ่มจึงจำเป็นต้องเลือกเกาะที่จะลงหลักปักฐานในฐานะแคลน ก่อนจะทำภารกิจยึดพื้นที่เพื่อค้นหาทำเลที่เหมาะสมที่สุดสำหรับยุทธศาสตร์ของตัวเอง
ที่สำคัญคือเขามองว่าตัวแปรจำนวนมากและตัวเลือกที่หลากหลายซึ่งเกิดขึ้นระหว่างกระบวนการตัดสินใจเหล่านี้ จะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยสร้างความตื่นเต้นและมอบประสบการณ์ที่ดึงดูดให้ผู้เล่นมีส่วนร่วมอย่างต่อเนื่อง ช่วยชูรสให้การแข่งขันออกมาน่าตื่นเต้นสมใจ
ประเทศไทยคือหนึ่งในตลาดที่สำคัญที่สุดของ Legend of YMIR

ผู้เล่นจากประเทศไทยถือเป็นกลุ่มผู้เล่นที่มีอัตราการเข้าร่วมและการมีตัวตนสูงมากในเกมนี้ ทั้ง Partner’s Server ของชาวไทย หรือกระทั่ง City Server อย่างกรุงเทพก็ล้วนได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก อีกทั้งผู้เล่นที่แข็งแกร่งที่สุดของแต่ละเซิร์ฟเวอร์มากมายก็เป็นคนไทยเยอะมาก ซึ่งกระแสตอบรับอันล้นหลามจากแฟนเกมชาวไทยนี้ เป็นสิ่งที่ทางผู้พัฒนาไม่คาดคิดคาดฝันกันมาก่อนเลย
แน่นอนว่าหลังจากที่เราได้เล็งเห็นถึงแรงกายและแรงใจที่ผู้เล่นชาวไทยทุ่มเทให้กับ Legend of YMIR แล้ว พวกเขาก็มีความตั้งใจที่จะพัฒนาเกมนี้ออกมาให้ดียิ่งขึ้นไปอีก
“เป้าหมายของ Legend of YMIR คือการก้าวขึ้นเป็นเกม MMORPG ประจำชาติไทย”
และทั้งหมดนี้ก็คือเนื้อหาการสัมภาษณ์ผู้พัฒนาเกม Legend of YMIR นั่นเอง เรียกได้ว่าเป็นเกม MMORPG หน้าใหม่ที่น่าจับตามองมาก ในช่วงท้ายของการสัมภาษณ์ ทางผู้พัฒนาเองก็ได้ฝากขอบคุณแฟนเกมชาวไทย ที่ให้ความสนใจและรู้สึกสนุกสนานไปกับเกมนี้มาโดยตลอด นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมพวกเขาถึงตัดสินใจบินมาที่ประเทศเพื่อบอกต่อความรู้สึกขอบคุณนี้ถึงแฟนเกมชาวไทยด้วยตัวเอง
สำหรับใครที่สนใจอยากลองเล่น Legend of Ymir ก็สามารถเข้าไปดาวน์โหลดเกมได้ที่ลิงก์นี้เลย https://www.legendofymir.com/th โดยตัวเกมเปิดให้บริการทั้งบน PC, iOS และ Android











