สำหรับเกมเมอร์ที่เคยไปเดินเที่ยวเล่นอยู่ที่ MBK Center หรือมาบุญครองอยู่บ่อย ๆ ก็คงจะต้องเคยสะดุดตากับร้านขายเกมอยู่ร้านหนึ่ง ที่รายล้อมไปด้วยเครื่องเกมและวิดีโอเกมจากหลากยุคสมัยมากมาย ไล่ไปตั้งแต่รุ่นโบร่ำโบราณจากยุค 80s มาจนถึงยุคปัจจุบัน เรียกได้ว่าใครเห็นร้านนี้ผ่านตาครั้งแรกเมื่อไหร่ ก็ยากที่จะห้ามใจไม่เดินเข้าไปในร้าน ซึ่งร้านขายเกมที่ว่านี้มีชื่อว่า O-Corner Shop นั่นเอง
ที่สำคัญคือนี่ไม่ใช่ร้านที่เพิ่งจะเปิดมาได้ปีสองปี แต่มันคือร้านระดับตำนานที่เปิดมานานถึง 23 ปีแล้ว ถือเป็นอีกหนึ่งร้านขายเกมคลาสสิกที่นักสะสมและผู้หลงใหลในวิดีโอเกมยุคเก่ารู้จักกันเป็นอย่างดี ด้วยสาเหตุนี้เอง ทาง GamingDose จึงตัดสินใจเข้าไปติดต่อขอสัมภาษณ์กับ “พี่หล่อ” เจ้าของร้าน O-Corner Shop กัน
ชีวิตของ “คนเล่นเกม” ที่อยู่กับเกมมาตั้งแต่ยุคตั้งไข่
ปัจจุบันพี่หล่อมีอายุ 55 ปีแล้ว เพราะงั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรถ้าพี่หล่อ จะได้ทันใช้ชีวิตอยู่ในช่วงยุคแรกสุดของอุตสาหกรรมเกม พี่หล่อเล่าให้พวกเราฟังว่า วิดีโอเกมคือสื่อบันเทิงที่เขารู้จักตั้งแต่สมัยวัยรุ่นเมื่อเกือบ 40 ปีก่อน และนับตั้งแต่นั้นมา พี่หล่อก็มีความยึดโยงผูกพันกับวิดีโอเกมมาโดยตลอด ได้อยู่กับมันตั้งแต่สมัยเรโทร (retro) แรกเริ่ม มาจนถึงยุคปัจจุบันที่ทุกอย่างกลายเป็นดิจิทัลเต็มรูปแบบแล้ว
“ถึงต่อไปพี่จะมีอายุ 60 หรือ 70 พี่ก็จะยังเล่นเกม และสนุกกับมันเหมือนเดิม”
ที่สำคัญคือพี่หล่อมองว่า นอกจากเรื่องการคลายเครียดแล้ว วิดีโอเกมมันยังสามารถสร้างแนวคิดหรือแนวทางการใช้ชีวิตให้กับเรา ช่วยให้เรามองเห็นหนทางบางอย่างที่จะช่วยผลักดันให้เราเติบโตได้
เกมเมอร์รุ่นเก๋าแบบพี่หล่อชอบเล่นเกมแบบไหน?

“พี่ชอบเกม simple เรียบง่ายที่มันสามารถเล่นจบได้ในเวลาไม่ถึงชั่วโมง”
พี่หล่อตอบแบบทันท่วงที พร้อมกับอธิบายเพิ่มเติมว่า เกมส่วนใหญ่ในยุคนี้ที่ต้องเล่นกันหลักหลายสิบหรือหลายร้อยชั่วโมง มันดูเป็นการลงแรงด้านเวลาที่เยอะเกินไปสำหรับเขามาก อย่างไรก็ตาม พี่หล่อก็ยังคงเล่นเกมของปัจจุบันอยู่ตลอด เพียงแต่ว่ามันไม่ใช่แนว และก็อาจจะไม่ได้เล่นอย่างหนักหน่วงขนาดนั้นเมื่อเทียบกับเกมในยุคคลาสสิก
“ที่สำคัญคือคนอายุปูนนี้แบบพี่ ถ้าจะให้เล่นเกมที่เคลื่อนไหวเร็ว ๆ มันก็ตามไม่ค่อยทันแล้วเพราะค่าสเตตัสร่างกายเรามันดร็อปลงไปตามอายุ อีกอย่างคือความสมจริงของเกมบางทีมันทำให้พี่เครียดกับสิ่งที่กำลังเล่นอยู่”
เสน่ห์ของเกมยุคเรโทรที่หาไม่ได้ในเกมยุคนี้
จริงอยู่ที่โลกของวิดีโอเกมในขณะนี้ มันยอดเยี่ยมเหนือจินตนาการและเดินทางมาไกลสุดลูกหูลูกตาจากจุดที่มันเคยเป็นเมื่อ 40 กว่าปีก่อนมาก
แต่สำหรับพี่หล่อแล้ว เสน่ห์สำคัญที่ยังคงทำให้เกมยุคเรโทรยังเป็นอมตะอยู่ก็คือความเรียบง่ายของมัน
พี่หล่อแสดงความเห็นว่า ความเยอะในเกมสมัยใหม่มันคือวิวัฒนาการที่น่าทึ่งมาก แต่ความเรียบง่ายของเกมคลาสสิกมันก็เป็นเสน่ห์ที่หาได้เฉพาะในยุคนั้น
“คิดดูเอาแล้วกันว่าเกมที่มันกดแค่ไม่กี่ปุ่ม มีภาพกราฟิก 8 bit แต่ทำไมเราถึงเล่นมันได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบไม่เบื่อสักที เกมที่คนรุ่นใหม่มองว่าภาพไม่สวย จริง ๆ แล้วมันก็มีจิตวิญญาณของมัน”
จุดเริ่มต้นที่ทำให้ตัดสินใจเปิดร้านขายเกมคลาสสิก

ย้อนไปเมื่อประมาณ 20 กว่าปีก่อนในสมัยที่พี่หล่อยังเป็นวัยรุ่นอายุ 20 กว่า ๆ อยู่ (ประมาณช่วงปลายของยุค 90s) พี่หล่อก็ทำงานปกติทั่วไปที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับวิดีโอเกมเลย
แต่ด้วยความที่ตัวเขามักจะได้เดินทางไปต่างประเทศค่อนข้างบ่อย ประจวบเหมาะกับสถานการณ์วิกฤติทางการเงินในเอเชียอย่าง “ต้มยำกุ้ง” ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนั้นพอดี
พี่หล่อจึงพยายามอาศัยโอกาสจากการได้ไปต่างประเทศในการหาช่องทางการสร้างรายได้ใหม่ ๆ
“บอกตามตรง พี่ไม่เคยคิดเลยว่าจะมาทำอาชีพนี้ มันมีความจับพลัดจับผลูอยู่พอสมควร” พี่หล่อเล่า “แต่เผอิญว่าทุกครั้งที่พี่ออกไปต่างประเทศ เพื่อนฝูงหรือคนรู้จักก็มักจะฝากพี่ซื้อวิดีโอเกมเก่า ๆ อยู่ตลอด”
พอมีคนฝากซื้ออยู่เรื่อยอย่างไม่ขาดสาย เขาก็ค่อนข้างตกใจเพราะไม่คิดว่าจะยังมีคนที่สนใจเกมหรือเครื่องเกมจากยุค 80s และ 90s อยู่ เพราะโลกวิดีโอเกมในตอนนั้นก็ก้าวสู่ยุคภาพ 3 มิติสุดอลังการแบบเต็มตัวจากการมาถึงของ PlayStation แล้ว และนี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้พี่หล่อเริ่มมองเห็นแนวทางของอาชีพแปลกใหม่อย่างการขายเกมคลาสสิก
จาก ‘อาชีพเสริม’ สู่การเดินหน้าลุยเป็น ‘เจ้าของร้านขายเกม’ อย่างเต็มตัว

ในช่วงแรก พี่หล่อยังคงทำงานประจำของตัวเองอยู่ โดยมีสิ่งนี้เป็นเพียงอาชีพเสริมที่เอาไว้หารายได้เพิ่มเติมเท่านั้น แต่ด้วยกระแสปากต่อปากของเพื่อนและคนรู้จัก ออเดอร์ที่เข้ามาจึงมีแต่จะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ
“พอทำไปทำมาแล้วมันเริ่มทำกำไรได้ในระดับหนึ่ง พี่ก็เลยคิดว่าจะลองเปิดร้านขายเกมคลาสสิกเป็นงานประจำดู”
ซึ่งนี่ก็คือการตัดสินใจครั้งสำคัญที่จะเปลี่ยนชีวิตของพี่หล่อไปตลอดกาล
การเดิมพันหมดหน้าตักด้วยการมองหาโอกาสในความเสี่ยง

เชื่อว่าหลายคนคงรู้ดีว่าการออกจากงานประจำมาทำธุรกิจของตัวเองนั้นถือเป็นเรื่องใหญ่มาก ยิ่งในกรณีของพี่หล่อที่ตอนนั้นก็เพิ่งจะอายุได้เพียง 20 กว่า ก็ยิ่งเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ของชีวิตเลย ต่อให้เราจะไม่ได้เป็นพี่หล่อ แต่เราก็คงจะพอจินตนาการได้ว่าการมาเปิดร้านขายเกมคลาสสิกในสมัย 20 กว่าปีที่แล้วมันไม่ใช่เรื่องง่าย
พี่หล่อเองก็รู้ตัวดีว่านี่เป็นการตัดสินใจที่เสี่ยงมากเพราะสมัยนั้นมันก็มีสะพานเหล็ก และมีคนที่เปิดร้านขายเกมอยู่แล้ว แต่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้พี่หล่อกล้าเดิมพันก็คือ ร้านพี่หล่อมีจุดเด่นตรงที่โปรดักส์เป็นของคลาสสิกและเป็นของลิขสิทธิ์แท้
“ต้องพูดตรง ๆ ว่าวิดีโอเกมบ้านเราในยุคนั้นจะมีขายแต่เกมก็อปเสียส่วนใหญ่ แล้วตลอดช่วงที่พี่ได้ลองทำงานนี้เป็นอาชีพเสริม พี่ก็พอเห็นแล้วว่าคนที่เป็นนักสะสมตัวยงในไทยจริง ๆ มันมีเยอะมาก เพียงแต่ว่าของลิขสิทธิ์พวกนี้มันหาซื้อได้ยากในขณะนั้น บวกกับว่าพวกเขาก็ไม่ได้มีโอกาสที่จะบินไปหาซื้อของพวกนี้ได้เอง”
พี่หล่อยังอธิบายให้พวกเราเข้าใจบริบทของความยากของการไปต่างประเทศในสมัยนั้นด้วยว่า ณ ขณะนั้นการบินไปญี่ปุ่นจะยังต้องใช้วีซ่าอยู่ ไม่ได้เป็นฟรีวีซ่าอย่างในปัจจุบัน อีกทั้งการขอวีซ่าในตอนนั้นก็ไม่ได้ขอกันง่าย ๆ เพราะงั้นการเดินทางไปซื้อสินค้าพวกนี้ด้วยตัวเองที่ต่างประเทศจึงเป็นเรื่องที่ยากสำหรับคนส่วนใหญ่มาก
ด้วยสาเหตุทั้งหมดที่ว่ามานี้ พี่หล่อก็เลยมองว่าหากตัวเองสามารถเปิดร้านขายเกมคลาสสิกที่เป็นของลิขสิทธิ์แท้และการันตีคุณภาพในไทยได้ ยังไงมันก็น่าจะมีคนสนใจซื้ออยู่แล้ว ท้ายที่สุดจึงเกิดเป็นร้าน O-Corner Shop ขึ้นมา
ความท้าทายในช่วงเริ่มต้นของบทบาท “เจ้าของร้านเกมคลาสสิก”

ในช่วงแรก พี่หล่อต้องบากบั่นและล้มลุกคลุกคลานมากเพราะการทำอะไรแบบนี้มันไม่ได้มีคู่มือการสอนมาให้ บางทีจะซื้อของชิ้นนี้มาก็สั่งไม่เป็น บางทีจะซื้อของชิ้นโน้นก็ไม่รู้จะซื้อจากแหล่งไหน สมัยแรกเริ่มที่ทำงานนี้ใหม่ ๆ พี่หล่อจึงต้องเรียนรู้ผ่านการลองผิดลองถูกอยู่ไม่น้อย
นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องของคําสบประมาทด้วย พี่หล่อเล่าว่าตอนที่เขาบอกเพื่อนคนหนึ่งว่าตัวเองตัดสินใจที่จะเปิดร้านขายเกมแล้ว เพื่อนคนนั้นก็ตอบกลับมาทันทีว่า “เปิดได้ไม่ทัน 3 ปีเดี๋ยวก็เจ๊ง” แต่พี่หล่อก็ยืนกรานว่ามันไปทางนี้ได้จริง ๆ แถมยังเสนอให้มาร่วมหุ้นด้วย แต่เพื่อนเขาก็ปฏิเสธ
“ปรากฏว่าวันเวลาผ่านมาจนถึงทุกวันนี้ เวลาเจอหน้ากัน เพื่อนพี่ก็ไม่กล้าพูดเรื่องนี้กับพี่อีกเลย”
ถึงกระนั้น พี่หล่อก็ไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองอะไรเพื่อนคนนี้เพราะการเปิดกิจการของตัวเอง แถมยังเป็นกิจการแปลกใหม่ระดับนี้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้ว
“ทุกวันนี้พี่กับเขาก็ยังสนิทกันและยังคุยกันได้ เพียงแต่ว่าเขาก็ไม่กล้าที่จะวิเคราะห์เราอีก”
อีกความท้าทายสุดท้ายก็คือการเลือกเกมมาขายนั่นเอง เพราะพวกเกมคลาสสิก ไล่มาจนถึงเกมเจนปัจจุบัน มันมีจำนวนมากมายมหาศาลถึงหลักหมื่นเกมเลย นั่นหมายความว่าเราไม่มีทางรู้เลยว่าคนที่จะเดินเข้ามาในร้าน เขาจะเข้ามาซื้อเกมอะไร ซึ่งการจะหาคำตอบนี้ได้ก็ต้องอาศัยการสังเกตเป็นหลักปีเลยทีเดียว ไหนจะยังมีเรื่องอุปกรณ์อีกว่าต้องใช้สายพ่วงยังไง ต่อกับทีวีรุ่นเก่าหรือรุ่นใหม่ยังไง ความรู้ด้านเทคโนโลยีจึงเป็นอีกทักษะที่ขาดไม่ได้
ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามานี้ มันต่างจากการเปิดร้านขายเกม Next-Gen ที่เน้นโฟกัสแค่เกมยุคปัจจุบันอย่างมาก
เกมที่ขายดีที่สุดของร้านคือเกมอะไรบ้าง?
พี่หล่อตอบแบบไม่ต้องคิดคำนวณเลยว่ามันคือเกม Mario นั่นเอง
“เกมนี้มันคืออภิมหาเกมเลย” พี่หล่ออธิบาย “เพราะมันเป็นไอคอนของเกมคลาสสิกสมัย Nintendo ที่เพิ่งเข้ามาบุกเบิกวงการเกมใหม่ ๆ มันก็เลยเป็นเกมที่คนสนใจเยอะอยู่แล้ว”
ถัดจากเกม Mario ที่ขายดีสูงสุด พวกเกมที่ขายดีรองลงมาก็จะเป็นพวกแฟรนไชส์ชื่อดังทั้งหลายที่มีรากเหง้ามาตั้งแต่ช่วงยุค 90s เช่น Resident Evil, Silent Hill, The Legend of Zelda หรืออะไรทำนองนี้ นอกจากนี้ พวกเกมที่สร้างโดยผู้สร้างชื่อดังก็จะขายดีไม่แพ้กันเพราะมันจะมีแฟนคลับที่คอยตามเก็บเกมเก่า ๆ ของผู้สร้างเหล่านี้ ซึ่งอันที่ขายดีก็จะหนีไม่พ้นผลงานของ ‘ฮิเดโอะ โคจิม่า’ อย่าง Metal Gear
คำแนะนำสำหรับคนรุ่นใหม่ที่อยากเปิดร้านขายเกมคลาสสิก

ประตูด่านแรกที่พี่หล่อบอกให้ไปจัดการให้เรียบร้อยก่อนก็คือ การพูดคุยกับครอบครัวให้เข้าใจกัน ทำให้เขาเข้าใจในสิ่งที่เราเป็น
สำหรับบ้านไหนที่ครอบครัวค่อนข้างให้อิสระกับแนวทางการใช้ชีวิตก็จะไม่มีปัญหาอะไรมาก แต่สำหรับครอบครัวที่ไม่เข้าใจโลกของวิดีโอเกมหรือแนวทางการสร้างอาชีพด้วยเกม พี่หล่อก็แนะนำให้ค่อย ๆ อธิบายให้พวกเขาฟัง พยายามเล่าออกมาเป็นขั้นตอนว่าเราจะทำอะไรบ้าง ถ้าเราสามารถทำให้พวกเขาเข้าใจได้แล้ว บวกกับตัวเองก็มั่นใจแล้วว่าอยากจะเริ่มมาทำงานสายนี้ เราก็จะสามารถเดินหน้าลุยทุกอย่างที่เหลือแบบสบายใจได้
หลังจากผ่านประตูนี้ได้แล้ว สเต็ปต่อไปที่พี่หล่อบอกก็คือ การจะทำอาชีพเจ้าของร้านเกมคลาสสิกได้นั้น เราต้องรักวิดีโอเกมแบบ 200% เลย ไม่ใช่แค่ 100%
หมายความว่าคุณจะแค่ “หลงใหลมันเฉย ๆ” ไม่ได้ แต่คุณต้อง “รักแบบเข้าเส้น” จนสามารถที่จะยิ้มแย้มกับมันได้ตลอด สามารถที่จะตื่นมาแล้วสนุกกับมันได้
มีอะไรสามารถมาปรึกษาพี่หล่อได้เสมอ
ก่อนที่เราจะจบการสัมภาษณ์กัน พี่หล่อเน้นย้ำว่าเขาไม่ใช่คนหวงวิชา และมีความยินดีถ้าเกิดใครอยากจะเข้ามาปรึกษาเกี่ยวกับแนวทางการเปิดร้านขายเกมคลาสสิก เพราะตัวพี่หล่อเองรู้ดีว่าการทำอาชีพนี้จะต้องอาศัยการเรียนรู้หลัก 10 ปีเลย ถ้ามีอะไรที่ประสบการณ์ของพี่หล่อจะช่วยได้ เขาก็ยินดีมาก
“พี่บอกเลยว่าพี่ไม่ใช่คนที่หวงวิชา พี่อยากเห็นคนรุ่นใหม่ที่เติบโตไปข้างหน้า ขอแค่อย่างเดียว คุณต้องรักเกมให้ได้ 200% ก่อน ถ้ามั่นใจแล้วก็เข้ามาปรึกษากันได้เลย”
สุดท้ายแล้ว ใครที่อ่านมาถึงตอนนี้แล้วสนใจอยากมาเยี่ยมชม ซื้อสินค้า หรือเจอพี่หล่อตัวเป็น ๆ ก็สามารถเดินทางมาร้าน O-Corner Shop ได้ที่ศูนย์การค้า MBK Center ชั้น 5 โซนบี อยู่ติดกับศูนย์ Vivo ได้เลย
ที่สำคัญคือร้านของพี่หล่อไม่ได้มีแค่เครื่องเกมและเกมจากยุค 80s-90s เท่านั้น แต่มีเกมจากทุกช่วงเจเนอเรชั่นจนถึงปัจจุบัน สำหรับเกมเมอร์ท่านใดที่โหยหาอดีต การเข้ามาเชยชมบรรยากาศในร้านก็น่าจะสร้างความอบอุ่นใจให้กับคุณได้ไม่น้อยเลย











