BY Aisoon Srikum
4 Nov 25 11:58 am

รีวิว Dying Light: The Beast

112 Views

อีกหนึ่งซีรีส์เกมซอมบี้ในดวงใจใครหลายคน การกลับมาของ Kyle Crane มันจะทำให้เกมเปลี่ยนไป หรือสนุกขึ้นมากน้อยแค่ไหน ขอเชิญพบกับ Dying Light: The Beast Review

Story – Crane คลั่ง แค้น

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า หลังฉากจบของ The Following Kyle Crane รอดมาได้ แต่เขาถูกจับกุมไปทดลองตัวในฐานะผู้ติดเชื้อแต่ก็ยังมีชีวิต เขาถูกองค์กรลึกลับที่นำโดยบารอนจับไปทดลองและควบคุมตัวนานกว่า 13 ปีเต็ม แต่เมื่ออยู่ดี ๆ ก็มีคนยื่นมือเข้าช่วย

เขาจึงหลุดออกมาจากห้องทดลองได้ Kyle Crane ที่ในตอนนี้มี DNA ระหว่างมนุษย์และซอมบี้ผสมกันอยู่จึงตั้งเป้าหมายเดินหน้าล้างแค้นบารอนและองค์กรลับ แต่ในขณะเดียวกัน สัตว์ร้ายหรือ Beast ในตัวเขาเองก็คืออีกหนึ่งศัตรูหลักที่เขาต้องคอยรับมือ

ถ้าให้นับภาคที่ถูก ภาคนี้มันก็ควรจะเป็นภาค 1.5 เพราะนี่คือเหตุการณ์ก่อนภาค 2 แถมมีเซอร์ไพรส์ที่เชื่อมโยงไปถึงภาค 2 ด้วย คนเล่นไปแล้วก็คงรู้แล้วว่าคืออะไร แต่สไตล์การเล่าเรื่องในภาคนี้มันจะค่อนข้างตรงไปตรงมา เรียบง่าย เข้าใจง่าย พล็อตหลักคือการล้างแค้นและคอยช่วยเหลือคนนั้นคนนี้ เพื่อรวมทีมมาเป็นพรรคพวกและโค่นล้มบารอน ก็ถือว่าสนุกตามมาตรฐานเกม AAA ทั่วไป

แต่อีกสิ่งที่สนุกแบบคาดไม่ถึง คือพวกเนื้อเรื่องรองหรือ Side Mission ทั้งหลายก็มีความน่าสนใจไม่น้อย มันก็จะมีบ้างที่เป็นงานจุกจิกยิบย่อย แบบไปหาของให้คนนั้น ส่งของให้คนนี้ แต่บางเควสท์ก็ถือว่าทำเอาเราไปต่อไม่เป็นเลย อย่างเช่นเควสท์ความสัมพันธ์พ่อลูกที่เราเจอได้ตั้งแต่ช่วงต้นเกม อันนี้ผมให้เป็นหนึ่งในเควสท์ที่ดีมาก ๆ ของเกมนี้เลย

ส่วนด้านของตัวละคร Kyle Crane ภาคนี้ เขาคือไอ้หนุ่มคลั่งแค้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงแรกที่พูดคำ สบถคำ ด่าคำ แช่งกลุ่มตัวร้ายไปตลอด กับบางเรื่อง บางสถานการณ์ก็มุ่งแต่จะแก้แค้นล้วน ๆ มันเลยมีฟีลของหนังเกรดบีผสมอยู่ในนั้น แต่ต้องยอมรับว่าพี่เขาเท่จริง และดูทรงพลังมาก ชนิดที่ว่าถ้าเราโดนคนแบบนี้หมายหัว ยอมพี่แกเถอะครับ อย่าปากดีเหมือนบารอนตัวร้ายหลักในเกมนี้เลย

แต่ถ้าว่ากันแบบแฟร์ ๆ นี่คือเกมที่มีเนื้อเรื่องค่อนข้างธรรมดา และจะว้าวขึ้นมาหน่อยสำหรับคนที่เคยเล่น Dying Light 2 ด้วย ก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะแผนเดิม มันคือเกมที่จะเป็นภาคเสริมของภาค 2 แต่พอสเกลใหญ่ขึ้นก็ขยับขึ้นมาเป็นเกมแยก ได้เนื้อเรื่องประมาณนี้ แถมเป็นจุดเชื่อมโยงของทั้งสองภาคก็นับว่าไม่เลวแล้ว

Presentation รุนแรง และสมจริงกว่าที่เคย

จากเมือง Harran ในภาคแรก สู่ Villedor ในภาค 2 ในภาคนี้ฉากหลังของเกมคือ Castor Wood มันไม่ถึงกับเป็นเมืองขนาดใหญ่ แต่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวใกล้ ๆ เทิอกเขาแอลป์ ดังนั้นขนาดสเกลของมันอาจจะเล็กลงกว่าภาคก่อน ๆ แต่ไปจัดหนักจัดเต็มในด้านของรายละเอียดต่าง ๆ แทน

ใน Castor Wood แม้จะมีศูนย์กลางหลัก ๆ อยู่ที่ Town Hall ตรงใจกลางแผนที่ แต่รายละเอียดและความสวยงามของมันก็มีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง Dying Light: The Beast ถือเป็นอีกเกมที่ภาพสวยมาก ถ้าคอมพิวเตอร์คุณแรงสุด ปรับสุด นี่แทบจะไม่ใช่เกมต่อสู้กับซอมบี้ แต่เป็นเกมชมวิวทิวทัศน์เลยก็ยังได้

แม้จะมีซอมบี้อัดอยู่ในทุกพื้นที่ แต่บางสถานที่คือมันสวยงามมาก ๆใน Castor Wood แม้จะมีศูนย์กลางหลัก ๆ อยู่ที่ Town Hall ตรงใจกลางแผนที่ แต่รายละเอียดและความสวยงามของมันก็มีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง Dying Light: The Beast ถือเป็นอีกเกมที่ภาพสวยมาก ถ้าคอมพิวเตอร์คุณแรงสุด ปรับสุด นี่แทบจะไม่ใช่เกมต่อสู้กับซอมบี้ แต่เป็นเกมชมวิวทิวทัศน์ แม้จะมีซอมบี้อัดอยู่ในทุกพื้นที่ แต่บางสถานที่คือมันสวยงามมาก ๆ

ใบหน้าและเสียงพากย์ของตัวละครก็ถือว่าทำได้ดีขึ้น เรารู้สึกว่ามันใกล้เคียงความเป็นจริงมาก และยิ่งพอเกมมันนำเสนอด้วยมุมมอง First Person ยิ่งทำให้ตรงนี้โดดเด่นมากยิ่งขึ้น เสียอย่างเดียวแค่บางตัวละครนี่ ถ้ามองดี ๆ มัน Reuse บ่อยอยู่เหมือนกัน คือหน้าเดิม เปลี่ยนของตกแต่งตัว หรือทรงผมนั่นแหละ แต่ก็หยวน ๆ กันไป ไม่ได้เจอบ่อยขนาดนั้น

แต่ในความสวยงามนั้น ด้วยพลังของ Crane ในภาคนี้ สิ่งที่ตามมาแบบโดดเด่นเหนือสองภาคก่อนหน้าก็คือเรื่องของความรุนแรงและเลือดสาดที่ถึงใจมาก ๆ ในภาคนี้ การโจมตีของเราจะรู้สึกว่ามันดุดัน รุนแรง ทรงพลังสุด ๆ ที่สำคัญคือรายละเอียดบาดแผลบนตัวซอมบี้

หลังจากเราชมเรื่องนี้ไปใน Dead Island 2 ตอนนี้ Dying Light ทำแบบนั้นได้แล้ว และมันมีดีเทลมากพอ ๆ กัน นอกจากเนื้อหนังที่หลุดเหวอะหวะเวลาโดนโจมตี คราวนี้ถ้าเราใช้ธาตุโจมตี มันก็จะส่งผลกับสภาพร่างกายด้วย เช่นอาวุธธาตุไฟหรือไฟฟ้า พอมันตายศพก็จะเกรียม ดำสนิทแบบนี้ เป็นดีเทลเล็ก ๆ แต่ทำให้เราอินกับโลกในเกมมาก

และด้วยความบ้าพลังของ Kyle Crane ในภาคนี้ การโจมตีซอมบี้จะดุดันกว่าทุกภาค อาวุธชิ้นไหนที่มีคม และเรามีพลังโจมตีที่มากพอ จะเป็นการเหวี่ยงฟาดจนตัวขาดเป็นสองท่อน ยิ่งกว่านั้นใน Beast Mode ที่เราจะจับหัวซอมบี้กระชากออกมาจากขอ ดึงแขนขาซอมบี้ราวกับตุ๊กตายัดนุ่น คือเรื่องของความรุนแรง ภาคนี้มันยกระดับขึ้นจริง ๆ

แต่จุดที่ผมจะรู้สึกไม่ค่อยชอบสักเท่าไร คือเรื่องของการ Design Map และพื้นที่ภารกิจ เอาอย่างแรกก่อนคือเรื่องดีไซน์แผนที่ ด้วยความที่ภาคนี้เหมือนผู้สร้างเขาอยากให้เราปีนป่าย เกาะขอบนั่นนี่ คราวนี้พื้นที่ Castor Wood ส่วนใหญ่เลยจะมีพื้นที่ให้เราปีนซะเยอะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวก Safe House หรือที่พักที่มันจะอยู่สูงขึ้นไป ผู้เล่นต้องสังเกตหาทางปีนขึ้นไปให้ดี

และระบบการปีนของเกมนี้ ผมว่าเราต้องอาศัยจินตนาการเยอะกว่าใช้ความเมคเซนส์มาก ตั้งแต่ตอนไลฟ์วันแรกแล้ว ผมจะตั้งคำถามเสมอว่า สิ่งที่เห็น มันกระโดดไปเกาะได้จริงเหรอ ถึงเหรอ ปรากฎว่าทั้งเกมเขาก็มาสไตล์นี้ คืออย่าเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น โดดเกาะไปเลย หรือไม่ก็มองหาสีแต้มขาว ๆ ใครมาเล่นช่วงแรกอาจจะงงทางไปต่อทั้งที่จริง ๆ มันก็อยู่ข้างหน้านั่นแหละ แค่เราไม่กล้าคิดว่ามันจะโดดไปเกาะหรือจับได้

แต่บ่อยครั้ง พอเราต้องหาทางขึ้นไปเองแบบนี้มันทุกจุด ผมว่ามันน่าเบื่อมาก ยิ่งรางวัลของการปีนขึ้นไป มันเป็นแค่ไอเทมไม่กี่ชิ้น หรือเป็นจุดนอนพักเนี่ย แรก ๆ อาจจะสนุกกับการหาทางชึ้นไป หลัง ๆ ไม่เอาแล้ว เบื่อ แต่จะไม่ทำเลยมันก็ไม่ได้อีก ไม่งั้นเผลอตายขึ้นมา จุดเซฟจะอยู่ไกลไป

ส่วนพื้นที่ภารกิจ ตอนแรกผมชมเลยว่าสร้างสรรค์มาก แต่พอเจอบ่อยเข้าก็เบื่อเหมือนกัน ในเกมนี้จุดฟาร์มต่าง ๆ มันจะถูกเรียกว่า Dark Zone เวลาที่เราเข้าไป มันจะมีคีย์ไอเทมอยู่กับที่เหลือจะเป็นไอเทมอรรถประโยชน์ทั่วไป แต่สมมติว่าตึกหนึ่งมีสามชั้น มันจะต้องมีประตูล็อคเสมอ และเราต้องหาช่องระบายอากาศเข้าไปแทน

แรก ๆ รู้สึกครีเอทดี แต่เล่นบ่อย ๆ ก็จะรู้สึกแบบ เมื่อกี้เราเพิ่งเปิดโหมดบีส กระทืบซอมบี้ตัวลอยแขนขาขาด แต่ทำไมประตูแค่นี้ไม่พัง ๆ ให้มันจบ ๆ ไป อันนี้ไม่ได้หักคะแนนนะครับ ขัดใจส่วนตัว มันเลยทำให้หลัง ๆ มาเราจะขี้เกียจฟาร์มแล้ว มีเท่าไร ปรับตัวสู้เท่านั้น เว้นแต่คุณจะขยัน เก็บครบ ของคราฟท์ ตัวช่วยต่อสู้ก็จะเยอะตาม

ส่วนอย่างอื่นของ Dying Light: The Beast มันก็คือสูตรสำเร็จของเกม Open World ทั่วไป มันสนุก ติดพัน แต่พอทำซ้ำบ่อย ๆ เข้า คุณจะเบื่อมันไปเอง แล้วรีบไปดิ่งเนื้อเรื่องให้จบ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาคนี้ระบบ Skill Tree เขาเผยหมดเลย ว่าเราทำอะไรได้บ้าง

ตรงนี้แอบเสียดายหน่อย ๆ คือครั้งแรกที่เราเปิดหน้าสกิลได้ สกิลทุกสกิล เฉลยหมดเลยว่าเราจะทำอะไรได้บ้างหลังเลเวลอัป ถ้าเขาปิดมันไว้ เฉลยตอนเลเวลถึง หรือเนื้อเรื่องดำเนินไปถึง มันอาจจะทำให้เราอยากเล่นมากกว่านี้ เพราะพอรู้หมดแล้วว่าตัวละครเราจะเก่งไปถึงขั้นไหน มันก็ไม่ค่อยจะลุ้นเท่าไรนัก

สำหรับความยาวของตัวเกม ถ้าคุณเป็นสายตรงดิ่งกับเนื้อเรื่อง ซึ่งแน่นอนว่าทำได้ยากมาก เพราะมันจะมีหลายสิ่งหลายอย่างล่อคุณไปเสมอ ความยาวก็จะอยู่ที่ 14-15 ชั่วโมง และประมาณ 30-40 ชั่วโมงถ้าจะเก็บครบ ขึ้นอยู่กับสไตล์การเล่น สำหรับแฟน Dying Light นี่ก็เป็นจำนวนตัวเลขที่ผมคิดว่าคุ้มค่า คุ้มราคาแล้ว

และอย่าลืมว่านี่คือ Techland ค่ายเกมจอมขยัน เพราะทุกวันนี้ Dying Light 1 และ 2 ก็ยังคงอัปเดตอยู่ ส่วนภาค The Beast นี่ เขาก็มีโรดแมป 11 วีคออกมาแล้วด้วย ดังนั้นอยู่กันไปยาว ๆ สำหรับเกมนี้ และต่อมาที่เราจะไปพูดถึงกันก็คือ เรื่องของเกมเพลย์

Gameplay – ลานละเลงโลหิตของเหล่าซอมบี้ใน Castor Wood

เกมเพลย์ของ The Beast นี้ มีทั้งส่วนที่ดีและไม่ดีไปในเวลาเดียวกัน แต่ถึงอย่างนั้นสำหรับผมมันก็ยังอยู่ในคำว่า “สนุก” ได้อยู่ แค่หลาย ๆ อย่างมันน่าจะทำได้ดีกว่านี้หรือไม่น่าจะตัดมันทิ้งไป

อย่างแรกที่ต้องขอบ่นก่อนเลยก็คือ ภาคนี้ไม่มีระบบ Fast Travel นี่คือเกม Open World ที่ไม่มีระบบ Fast Travel จริง ๆ มันจะไม่ใช่ข้อเสียร้ายแรงอะไรเลย ถ้าอย่างอื่นมันออกแบบมาทดแทนกันได้ดี เหตุผลที่เขาตัดระบบนี้ออก เพราะเขาอยากให้เราสำรวจด้วยรถยนต์ หรือการปากัวร์แทน

ซึ่งมันสนุกไหม มันก็มีความสนุกอยู่บ้างในส่วนของการสำรวจ เวลาคุณวิ่งไปที่ไหนสักที่ แล้วเจอเครื่องหมาย ? ในแผนที่ คุณจะอยากวิ่งไปค้นหา ไปสำรวจ แล้วก็เจอของใหม่ ๆ แต่ความสนุกมันจะหายไปทันที ตอนที่คุณต้องทำภารกิจ

เพราะบางภารกิจ มันคือการที่ตัวเกมจะพาเราลากจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง ก่อนจะพาไปอีกจุดหนึ่ง หรือวนกลับที่เดิม และระยะมันก็ไม่ใช่ใกล้ ๆ ซะด้วย บางเกมที่มีระบบ Fast Travel ภารกิจแบบนี้จะจบไวมาก หรือใช้เวลาในการเล่นน้อยลง ส่วนนี้มันทำให้การเสพเนื้อเรื่องของเราสะดุดด้วย มันขาดความต่อเนื่อง วิ่งไปวิ่งมา ยิ่งใครชอบแวะนี่ยิ่งสะดุด ภารกิจไหนไม่มีกรอบเวลากั้น แวะจนลืมว่าภารกิจนี้เราทำอะไรอยู่นะ

ยานพาหนะในเกมนี้อย่างรถ แม้จะมีประโยชน์ก็จริง แต่ด้วยสภาพภูมิประเทศของ Castor Wood ที่มันสูงต่ำไม่เท่ากัน ลาดขึ้นบ้าง ลงต่ำบ้าง แถมด้วยมุมกล้อง First Person อีก พูดจากใจเลย ผมวิ่งเอาสะดวกกว่าขับรถ เว้นแต่บางจุดที่มันไกลหน่อย ก็จะยอมหารถเอา

แถมการจะขึ้นรถก็ไม่ใช่ง่าย ๆ เพราะส่วนใหญ่รถจะไปจอดอยู่ในจุดที่ซอมบี้มันล้อมอยู่เยอะ จะโดดขึ้นรถเลย กว่าจะสตาร์ทเครื่องได้อีก ใครขี้เกียจหรือใจร้อนนี่ วิ่งเอาอาจจะดีกว่า

คือในภาพรวมของทั้งเกม การไม่มี Fast Travel มันไม่ได้คอขาดบาดตายอะไร แต่อย่างน้อยมันควรจะมีในจุดใหญ่ ๆ หรือที่เราต้องกลับมาบ่อย ๆ อย่างเช่น Town Hall ตอนต้นเกมอะไรแบบนั้น ไม่ใช่ไม่มีเลยแบบนี้ เพราะสำหรับคนที่รักการสำรวจ วิธีนี้มันเชื้อเชิญให้เราแวะได้ดีมากจริง ๆ แต่มันควรจะเป็นทางเลือกให้คนที่ชอบกับไม่ชอบ หรือบังคับในโหมดการเล่นก็ได้อะไรแบบนี้น่าจะดีกว่าตัดออกไปเลยแบบนี้

มาถึงจุดที่ผมชอบกันบ้าง ครั้งแรกที่ได้ดูในไลฟ์ จังหวะที่เราเข้า Beast Mode แล้วกระทืบซอมบี้ซะยับ ผมก็นึกว่าเราจะได้เล่นเกมแอ็คชันมัน ๆ แบบ Overpower Character ซะแล้ว แต่ปรากฎว่าไม่เลย อย่างแรกคือในช่วงแรก Beast Mode นั้น จะไม่สามารถเลือกได้เลยว่าจะเข้าสู่สถานะนี้ตอนไหน กว่าจะได้สกิลที่เราเลือกเข้าโหมดนี้เองได้ก็ต้องเล่นไปสักพัก

หรือต่อให้ได้สกิลคุมมาแล้ว การเลือกใช้พลังนี้ก็ทำให้เราแกร่งขึ้นแค่ชั่วคราวเท่านั้น และมันไม่ได้อยู่นานมาก Beast Mode จึงเป็นเหมือนท่าไม้ตายที่เราต้องเลือกจังหวะปล่อยดี ๆ ถึงจะได้ผลสูงที่สุด

ปริมาณซอมบี้ในฉาก ก็สมกับเป็นเกม Dying Light คือมันอยู่กับเป็นกลุ่มเป็นก้อน แถมยังมากันไม่หยุดไม่หย่อน การสู้กับพวกซอมบี้ในเกมนี้ ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าไปสู้จะดีที่สุด เพราะการฟาร์มเลเวลก็ควรไปปลดล็อคพวกเซฟเฮาส์ หรือตามจุด Dark Zone ก็มีซอมบี้ให้สู้ แถมได้ของด้วย การใส่ซอมบี้ตามฉาก Open World นี่ เหมือนใส่มาให้เราเห็นสภาพโลกภายในเกมเท่านั้น EXP ที่ได้ก็น้อย

แต่เพราะตามฉากมันมีคอนวอยทหาร มีกล่องทรัพยากรหายาก ทำให้เรายังได้มีโอกาสปะทะกับพวกซอมบี้ในฉากโลกเปิดกว้าง ซึ่งภาคนี้ก็มีทั้งตัวยิงไกล ตัววิ่งไว ปราดเปรียว หรือแม้กระทั่งพี่ล่ำตัวใหญ่ที่ต้องอาศัยจังหวะและกลยุทธ์ในการต่อสู้ แต่ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่ Sheriff บอกเราตอนต้นเกมนั้นคือคำแนะนำที่ดีที่สุดก็คือ อย่าสู้มันทุกตัว เสียเวลา เหนื่อยเปล่า ๆ

และสำหรับฟุตเทจนี้ คิดว่าทุกคนน่าจะได้เห็นศัตรูหลักของเราอย่าง Volatile น้อยลงหน่อย นั่นก็เพราะผมเบื่อที่จะต้องเจอมันมาก Volatile คือหนึ่งในศัตรูที่รับมือได้ยากที่สุด โชคดีที่ภาคนี้นอกจากภารกิจบางภารกิจ เขาก็ไม่ได้บังคับให้เราเจอแล้ว

ดังนั้นพอเข้าช่วงกลางคืน ผมจะกลับเซฟเฮาส์ไปนอนแล้วเล่นตอนกลางวันแทน เพราะ EXP x2 ที่ได้ตอนกลางคืน มันไม่เพียงพอที่จะชดเชยความรำคาญของ Volatile ในภาคนี้ได้เลย

Volatile ในภาคนี้มันก็ยังเหมือนกับภาคแรก คือแกร่ง โหด ไล่ล่าเราอย่างรวดเร็ว แล้วภาคนี้ถ้าเราฝืนสู้จนชนะมันได้ มันก็จะมีการเพิ่มระดับการไล่ล่า เหมือนดาวในเกม GTA แล้วพอมันเยอะขึ้น คราวนี้พวก Volatile ก็จะมารุมกระทืบเรามากขึ้น จังหวะนั้น Beast Mode ก็เอาไม่อยู่ จากที่น่ากลัวในช่วงแรก กลายเป็นน่ารำคาญไปแทน 

และศัตรูอีกประเภทที่น่ารำคาญไม่แพ้กันคือศัตรูประเภทมนุษย์ด้วยกันเอง ไอ้พวกนี้นี่น่ารำคาญเลเวลเดียวกับ Volatile เลย เพราะมันชอบโยกหลบแบบดิจิตอล ๆ อาวุธแรงแค่ไหนฟาดไปถ้ามันหลบก็คือไม่โดน ที่สุดของความน่ารำคาญแล้ว ดังนั้นเวลาพบเจอแคมป์ศัตรูที่เป็นคนด้วยกัน ผมหยิบอาวุธปืนยิงเลย จบงานไวกว่า ถึงจะล่อให้พวกซอมบี้มารุมทึ้ง แต่ผมยอมโดนซอมบี้ล่าดีกว่าหัวร้อนเพราะมันโยกหลบนี่แหละ

ระบบเกมภาคนี้ เป็น RPG แบบเบา ๆ ก็คือเลเวลตัวละคร จะเป็นตัวกำหนดเลเวลอุปกรณ์ของเรา ยิ่งเลเวลเราสูง เราก็สามารถอัปเกรดหรือดรอปอุปกรณ์ระดับสูงตามไปด้วย ดังนั้นการฟาร์ม อัปเลเวลตัวละครจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะแต่ละพื้นที่ก็จะมี Level Cap กำหนดไว้ การเข้าไปห้าวก่อนเลเวลอันควรก็จะทำให้เกมยากเป็นพิเศษ กลับกัน เมื่อเราเลเวลสูงแล้วกลับมาพื้นที่เดิม ด้วยสกิล อาวุธ ฟังก์ชันที่เรามีก็จะทำให้เราเดินสะดวกขึ้น

ส่วนใหญ่แล้วเกมนี้เราจะฟาร์มกันในพื้นที่ Dark Zone ที่มีคีย์ไอเทมซ่อนอยู่ และเราสามารถกลับมาฟาร์มมันซ้ำ ๆ ได้เรื่อย ๆ ด้วย โดยเราสามารถอัปเกรด Blueprint ได้ทุกชิ้น ทั้งระเบิด ยา หัวกระสุน อาวุธ รวมไปถึงติดตั้งม็อดเสริมอาวุธต่าง ๆ ที่ส่งผลเอฟเฟกต์ธาตุ ทั้งแช่แข็ง ไฟฟ้า ไฟ พิษ รวมไปถึงชุด และเครื่องแต่งกายต่าง ๆ ก็จะมอบสเตตัสพิเศษให้กับเราด้วย

ดังนั้นในเกมนี้ ถ้าเรารู้สึกว่าตัวละครเราบอบบางไป หรือขาดอะไรบางอย่างไป ลองไปวิ่งฟาร์มหาของมาใส่เพิ่มดู แล้วเกมคุณอาจจะสบายขึ้น

ภาพรวมของ Dying Light: The Beast ผมมองว่าเป็นเกมที่สนุกเลย ใครที่ชอบสองภาคแรก คุณจะชอบภาคนี้ แต่ถ้าใครจะมาลองภาคนี้เป็นภาคแรกเลย ก็ได้เหมือนกัน

Performance ประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยม เครื่องกลางยังรันไหว

ประสบการณ์ของการสัมผัสเกมนี้ จะขึ้นอยู่กับสเปคคอมพิวเตอร์ของคุณ แต่ไม่ว่าจะใช้คอมระดับกลาง หรือแรงสุดเล่น ก็ได้ประสิทธิภาพที่น่าประทับใจทั้งคู่ เครื่องแรกที่ผมลองเล่นก็คือเครื่องตัวเอง การ์ดจอ 3080 เล่นบนความละเอียด 2K CPU i5-12400f แรม 32GB อันนี้เล่นได้ที่ 60 เฟรม แต่จะไม่ค่อยนิ่งเมื่อเจอเอฟเฟกต์เยอะ ๆ

ต้องปรับกราฟิกไว้ที่ระดับ Medium และปิดเอฟเฟกต์กินสเปคบางอย่างลง แต่ถ้าเทียบกับบางเกมที่ออกมาก่อนหน้านั้นไม่นาน คือเล่นไม่ได้เลย ก็วัด Performance ตรงนี้ได้แล้ว 1 ดอก

ส่วนเครื่องแรงสุดประจำออฟฟิศเรา 5090 อันนี้ไม่ต้องสืบ ลื่นฉลุยแบบได้อีกประสบการณ์ของการเล่นไปเลย เฟรมเรทลื่นไหล แสงเงา เอฟเฟกต์ สวยงาม ดังทุกอย่างสุดข้อได้แบบไม่ต้องกังวลใด ๆ

Setting ของเกมนี้ถือว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานเกมยุคใหม่ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ปรับได้ แม้จะเป็นรายละเอียดเล็กน้อย เช่น เลือกเอาได้เลยว่าจะให้ตัวละครเกาะขอบโดยอัตโนมัติไหม จะให้วิ่งอัตโนมัติตอนออกตัวหรือเปล่า เปิดปิด GPS ของรถได้ตามใจชอบ

ซับไตเติลก็ปรับสีได้โดยละเอียด หรือส่วนของกราฟิก ที่มีภาพตัวอย่างโชว์ให้เห็นแบบชัดเจน ว่าปรับอะไรได้แบบไหน ช่วยให้เราจัดการกับการตั้งค่าได้ง่ายขึ้น เพื่อให้เราได้เล่นเกมที่ลื่นที่สุด และเหมาะสมกับเครื่องของเรา

นับตั้งแต่เล่นมา บั๊กหนัก ๆ นี่ไม่เจอ เจอแค่สองอย่างคือ อยู่ดี ๆ ขึ้นรถก็เกมแครชไปเลย กับเจอการแสดงผลของ NPC ที่ลอยเด่ขึ้นมาแบบนี้ แต่มันก็มีแค่ 2 ครั้งจากตลอด 40 ชั่วโมงในการเล่น ถือว่าขัดเกลาและ Optimize มาดีเหมือนกัน

สำหรับ Techland Dying Light เปรียบเสมือนไอพีหากิน และพวกเขาน่าจะยังซัพพอร์ทตัวเกมไปอีกนาน ในอนาคต เราน่าจะได้เห็น DLC เนื้อเรื่องเสริม หรือกิจกรรมอื่น ๆ มากมายให้กับภาคนี้ สำหรับแฟนเกม Dying Light หรือคนที่กำลังมองหาเกมซอมบี้เล่น จัดเถอะครับ ยังไงก็คุ้ม!

รีวิว Dying Light: The Beast

8 / 10 คะแนน

8

ข้อดี

  • ความรุนแรง และรายละเอียดของมันชัดเจนและยกระดับขึ้นกว่าภาคก่อนหน้า
  • เนื้อเรื่องที่แฟน ๆ Dying Light จะต้องชื่นชอบ เพราะเชื่อมถึงกันหมดทุกภาค
  • การต่อสู้ที่สนุก ท้าทาย แม้ตัวละครหลักจะ Overpower
  • รายละเอียดและขนาดแผนที่ในเกมที่จัดเต็ม ยิ่งสำรวจยิ่งค้นพบอะไรใหม่ ๆ
  • ภารกิจรองหลายภารกิจเขียนบทได้น่าสนใจ น่าติดตามกว่าภารกิจหลัก

ข้อเสีย

  • การดีไซน์แผนที่บางจุด ขัดต่อรูปแบบการเล่นหลัก จนทำลาย Pacing ของเกม
  • ไม่มีระบบ Fast Travel

Aisoon Srikum

Back to top