BY Aisoon Srikum
20 May 24 1:04 pm

Wuthering Waves – อธิบายระบบการต่อสู้พื้นฐานแบบครบเครื่อง

3,416 Views

ใน Wuthering Waves นั้น สิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญไม่แพ้ตัวละครเลยคือเรื่องของ Combat System หรือระบบการต่อสู้ โดยนี่จะเป็นระบบการเล่นที่โดดเด่นเป็นพิเศษของเกมนี้ แต่พื้นฐานระบบการต่อสู้ของมันจะเป็นยังไง วันนี้เรามาดูข้อมูลในส่วนนี้กัน ก่อนไปลุยเกมจริง

สำหรับ Wuthering Waves ระบบการต่อสู้หลัก ๆ จะแบ่งออกมาเป็น 3 ส่วน นั่นคือ

  • Fast-paced Action (รูปแบบการโจมตีที่เน้นความรวดเร็ว)
  • Visually Appealing Combat Representation (รูปแบบการโจมตีพิเศษที่มีคุณลักษณะที่หลากหลาย)
  • Strategy Oriented Team Building (การจัดรูปแบบกลยุทธ์ของทีม)

ในช่วงบทฝึกสอนของเกม ผู้เล่นจะได้ฝึกฝนการต่อสู้กับ Crownless และเกมนี้ การต่อสู้กับศัตรูระดับ Elite หรือบอส จำเป็นจะต้องฝึกฝนเทคนิคการโจมตีและหลบหลีกอย่างรวดเร็ว เพราะในทุกจังหวะที่การต่อสู้ดำเนินไป ความตึงเครียดก็จะค่อย ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งศัตรูแกร่ง คุณยิ่งต้องแกร่งตามด้วย โดยระบบการต่อสู้พื้นฐานจะแบ่งออกเป็น 6 หมวดหมู่ดังนี้

  • Normal Attack (การโจมตีปกติ)
  • Evasion (การหลบหลีก)
  • Resonance Skill (ทักษะของผู้สะท้อนเสียง หรือตัวละครแต่ละตัว)
  • Resonance Liberation (การปลดปล่อยเสียงสะท้อน)
  • Resonance Circuit (วงจรการสั่นพ้อง)
  • Parry (การปัดป้อง)

Normal Attack (การโจมตีปกติ)

Resonance หรือผู้สะท้อนเสียงแต่ละคนจะมีรูปแบบการโจมตีปกติเป็นของตัวเอง นอกจากจะเป็นรูปแบบการโจมตีพื้นฐานแล้ว ยังสามารถต่อยอดไปสู่การคอมโบอีกหลากหลายแบบได้มากมาย ยกตัวอย่างเช่นตัวละคร Encoreเมื่อการโจมตีปกติของเธอเข้าสู่ Hit ที่ 4 จะเกิดสถานะ Emotion Particle ถ้าหากดำเนินการโจมตีต่ออน่างรวดเร็วภายในระยะเวลาของสถานะนี้ ก็จะทำการอัญเชิญเจ้าน้อง Wooly ออกมาช่วยสู้ ทำให้การต่อสู้ที่เน้นกดตามจังหวะเพิ่มความสนุกและความเพลิดเพลินมากยิ่งขึ้น แต่จะต่างจากตอนที่เธอใช้ Heavy Attack

การใช้ Heavy Attack เพียงกดโจมตีปกติค้างไว้ การใช้วิธีนี้จะเสียค่า Stamina ส่วนหนึ่ง แต่ทำให้รูปแบบการโจมตีเปลี่ยนไป เช่น Resonator ที่ใช้อาวุธปืนก็จะเข้าสู่โหมดเล็งยิงเพื่อเพิ่มพลังโจมตี และยังอาจจะเป็นท่าโจมตีหลักของ Resonator บางคนอีกด้วย เช่น Taoqi ที่หลังจากโจมตีหนักแล้ว จะเข้าสู่สถานะ Xuanwu’s Defense ที่จะทำให้เธอสลับไปเน้นที่การป้องกันแทนเพื่อลดปริมาณดาเมจที่เข้ามา และเมื่อได้รับดาเมจเพียงพอ เธอก็จะโจมตีสวนกลับทันที และฟื้นฟูพลังชีวิตเพื่อนร่วมทีมไปในตัวด้วย

ตัวอย่างต่อมาคือ Sanhua ที่จะสามารถระเบิดพลัง Wall of Ice Picks, Ice Prism และ Glaciers ไปตามเส้นทางที่เธอโจมตีได้ด้วยการกดโจมตีหนัก หากประกอบกับจังหวะที่สมบูรณ์แบบของทักษะ Resonance แล้ว ก็จะสร้างดาเมจในปริมาณมหาศาลให้กับศัตรูได้ในทันที

ตัวละครทุกตัวจะมีความสามารถในการโจมตีกลางอากาศได้ด้วย แต่วิธีการจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับประเภทของอาวุธหรือตัวละคร อย่างเช่น Jiyan ที่สามารถเปลี่ยนรูปแบบการโจมตีระหว่างอยู่กลางอากาศได้เลย

หรือ Chixia และตัวละครที่ใช้อาวุธเป็น Pistol ตัวอื่น ๆ ที่สามารถยิงอย่างต่อเนื่องได้ขณะที่ลอยตัวอยู่บนอากาศ จนกว่า Stamina จะหมดลง

และบางตัวละครก็สามารถกดโจมตีหนักขณะลอยอยู่กลางอากาศได้ด้วย

Evasion (การหลบหลีก)

การหลบหลีก คือการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตี โดยจะสูญเสียค่า Stamina จำนวนหนึ่ง และหากไม่มีการเลือกทิศทาง ตัวละครผู้เล่นจะถอยหลังโดยอัตโนมัติ เป็นหน้าที่ของผู้เล่นที่จะคำนวณและพิจารณาสถานการณ์ปัจจุบัน ว่าจะหลบหลีกการโจมตีไปยังทิศทางใด หรือจะทำการหลบหลีกแล้วทำการโจมตีสวนกลับ (Counter) และสร้างสถานการณ์เชิงรุกขึ้นมาด้วยตัวเอง

Resonance Skill (ทักษะของผู้สะท้อนเสียง / สกิลตัวละคร)

Resonance Skill หรือสกิลของตัวละครแต่ละตัว มีความเป็นเอกลักษณ์แล้วแต่ธาตุ และประเภทของตัวละครตัวนั้น ๆ จะมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการต่อสู้ และเชื่อมโยงกันกับระบบ Resonance Circuit (วงจรการสั่นพ้อง) และการปลดปล่อย Resonance Liberation (การปลดปล่อยเสียงสะท้อน)

Resonance Skill ส่วนใหญ่จะมีคูลดาวน์หลังการใช้งาน ทำให้ผู้เล่นต้องคำนวณระยะเวลาและการกดใช้ให้ดี แต่ก็มีบางสกิลที่อาจจะเป็นข้อยกเว้นหรือใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง ยกตัวอย่างเช่น Danjin ที่จะสูญเสีย HP จำนวนหนึ่งหลังจากเธอใช้งานสกิล Vermillion Shards สกิลของเธอจะไม่มีคูลดาวน์ และความสามารถของสกิลนี้ เมื่อผสานกับการโจมตีปกติของเธอย่างต่อเนื่องก็จะสร้างดาเมจได้อย่างมาก และเมื่อคอมโบกับ Scarlet Essence แล้ว เมื่อชาร์จอย่างเต็มที่ Danjin จะสามารถจู่โจมด้วยดาเมจมหาศาลไปพร้อม ๆ กับฟื้นฟูพลังชีวิตของตัวเอง

การต่อสู้ด้วยรูปแบบผลาญ HP แล้วฟื้นกลับมาของ Danjin นี้ มีความสามารถในการสร้างความเสียหายไปพร้อม ๆ กับช่วยไม่ให้ตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายได้เป็นอย่างดี

Resonance Liberation (การปลดปล่อยเสียงสะท้อน / ท่าไม้ตาย)

การปลดปล่อยพลังเสียงสะท้อนหรือ Resonance Liberation นั้น จำเป็นจะต้องสะสม Resonance Energy ด้วยการใช้ Resonance Skill เมื่อพลังงานถึงระดับที่กำหนดจะสามารถปลดปล่อย Resonance Liberation ได้ หรือเอาง่าย ๆ ก็คือท่าไม้ตายนั่นเอง การเปิดใช้งานจะเป็นการสร้างดาเมจมหาศาลและเพิ่มขีดจำกัดความสามารถของตัวละครบางตัวด้วย

ยกตัวอย่างเช่น Jiyan จะเข้าสู่ Triumphant Status หลังจากใช้ Sky Roaming – Certitude ไปแล้ว อาวุธของเขาจะเปรียบเสมือนหอกยาว พุ่งโจมตีไปตามเส้นทางเพื่อกำจัดศัตรูทั้งหมด

หรือ Verina ที่ท่าไม้ตายจะเป็นการกระตุ้นการเติบโตของพืชพรรณรอบ ๆ และสร้างความเสียหายกับศัตรูและติดสัญลักษณ์ Photosynthesis Sigil บนตัวศัตรู สมาชิกในทีมที่โจมตีศัตรูที่ติดสัญลักษณ์นี้อยู่ จะได้รับการฟื้นฟูพลังชีวิตและได้พลังโจมตีที่เพิ่มขึ้น เรียกได้ว่า Verina เป็นตัว Debuff ศัตรู และ Support เพื่อนในเวลาเดียวกัน

Resonance Circuit (วงจรการสั่นพ้อง / การโจมตีเฉพาะรูปแบบ)

เป็นรูปแบบของพลังงานที่โดดเด่น ที่จะกำหนดรูปแบบการต่อสู้หลักของตัวละครตัวนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีปกติ การใช้สกิล หรือท่าไม้ตาย ทุกอย่างจะเกี่ยวข้องกับ Resonance Circuit ทั้งสิ้น ทำให้เราอาจต้องทำความเข้าใจกับระบบนี้ก่อนจึงจะเข้าใจว่าตัวละครตัวนั้น ๆ เล่นยังไง

ยกตัวอย่างการโจมตีเฉพาะรูปแบบของ Rover หรือตัวเอกของเรา จะเป็นการเก็บรวบรวม Sound Fragments ผ่านการใช้สกิล ทำดาเมจและหลบหลีกอย่างต่อเนื่องนั่นเอง

Parry (การปัดป้อง)

ในบางสถานการณ์ที่การหลบหลีกอาจไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น การปัดป้องหรือ Parry จะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าเสมอ และให้ผลลัพธ์ที่ดีมาก ๆ ด้วย หากมีจังหวะ Parry อย่าลืมใช้เพื่อสร้างความได้เปรียบ

การโจมตีประสานและการจัดทีม

อีกหัวข้อสำคัญสำหรับเกมแนวนี้ นั่นคือการจัดทีม และพาตัวละครต่าง ๆ ออกลุยด้วยกัน เพื่อสร้างคอมโบและการต่อสู้ที่มีประสิทธิภาพร่วมกัน สำหรับเกมนี้แบ่งหัวข้อย่อยได้อีก 2 หัวข้อนั่นคือ

  • Concerto Effect (เอฟเฟกต์ประสาน)
  • Concerto Skill (ทักษะประสาน หรือ Quick Time Event)

Concerto Effect (เอฟเฟกต์ประสาน)

ก่อนจะเกิด Concerto Effect นั้น จำเป็นจะต้องเก็บสะสมค่า Concerto Energy เสียก่อน โดยทำได้ผ่านการโจมตีสร้างดาเมจและใช้ทักษะสกิลของแต่ละตัวละคร การสลับไปใช้ตัวละครอื่น ๆ ที่เก็บค่า Concerto Energy เต็มแล้ว จะเปิดการใช้งานเอฟเฟกต์การต่อสู้ที่สอดคล้องกัน โดยค่าสถานะที่เกิดจากการใช้เอฟเฟกต์ประสานมี 5 แบบคือ

  • Unison
  • Ensemble
  • Sustenance
  • Legato
  • Duet

แต่ละเอฟเฟกต์นั้นจะแสดงผลแบบแยกเดี่ยว และไม่ซ้อนกัน ส่งผลให้การจัดทีมจำเป็นจะต้องคำนึงถึง Concerto Effect นี้ด้วย ยกตัวอย่างเช่นตัวละคร Jiyan (ธาตุลม) นำไปใช้งานคู่กับ Mortefi (ธาตุไฟ) ในระหว่างการต่อสู้จะทำให้เกิดเอฟเฟกต์ Ensemble ที่จะช่วยเพิ่มดาเมจและคริติคอลดาเมจให้ตัวละครที่อยู่ในการต่อสู้ และหาก Mortefi ใช้ท่าไม้ตาย สมาชิกทุกคนในทีมจะเปิดใช้งาน Vulcan Rhapsody ที่จะเพิ่มความเสียหายธาตุไฟและเพิ่มดาเมจจากการโจมตีปกติและการโจมตีหนัก

หรือยิ่งใช้ไม้ตายของทั้ง Jiyan และ Mortefi คอมโบกัน ก็จะทำให้เกิดรูปแบบการโจมตีสูงสุดที่ทำดาเมจได้มหาศาลในเวลาชั่วพริบตา

นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กน้อยจากความเป็นไปได้อีกมากมาย ผู้เล่นอาจต้องลองไปหารูปแบบ Concerto Effect นี้ด้วยตัวเอง จากตัวละครจำนวนมากที่อยู่ภายในเกม

Concerto Skill (ทักษะประสาน หรือ Quick Time Event)

เมื่อสลับตัวละครในขณะที่ Concerto Energy เต็มอยู่ จะเป็นการเปิดใช้งาน Concerto Skill ของตัวละครแต่ละตัวที่มีทักษะต่างกัน โดยการโจมตีรูปแบบนี้จะคล้าย ๆ กับการกด Quick Time Event ในเกมอื่น ๆ นั่นเอง

เพียงเท่านี้ นักเดินทางผู้เร่ร่อนทุกคนก็เรียนรู้พื้นฐานการต่อสู้ได้แบบครบถ้วน และต่อสู้กับเหล่าศัตรูได้คล่องขึ้นแล้ว หากข้อมูลทั้งหมดนี่ยังไม่จุใจพอ สามารถเข้าร่วมกลุ่มผู้เล่นไทย โดยกดที่ภาพด้านล่าง เพื่อเข้ามาพูดคุยข้อมูลในเกมกันได้

 

Aisoon Srikum

Back to top