BY KKMTC
24 Jun 22 6:42 pm

“เลือดสีเขียว” การเซนเซอร์วิดีโอเกมสุดพิสดาร ที่ดันได้ผลทั้งอดีตกับปัจจุบัน

10 Views

บางครั้ง ทีมพัฒนาเกมจำเป็นต้องเซนเซอร์ความรุนแรงบางส่วน เพื่อให้เกมสามารถขายได้ในประเทศที่กฎควบคุมเนื้อหาสื่อที่เข้มงวด โดยหนึ่งในวิธีการเซนเซอร์ยอดนิยม ก็คือเปลี่ยนสีเลือดเป็นสีเขียว ซึ่งถึงแม้จะดูพิสดาร ที่มันกลับได้ผลจนกลายเป็นมาตรฐานการเซนเซอร์สื่อในปัจจุบัน

ต้นกำเนิดเลือดน้ำหวานเฮลซ์บลูบอยสีเขียว

Carmageddon

หากพูดถึงการเซนเซอร์วิดีโอเกม เราเชื่อว่าเกมเมอร์จะนึกถึงประเทศจีนเป็นแห่งแรก เพราะประเทศดังกล่าว มีกฎการควบคุมเนื้อหาสื่อที่เข้มงวดอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการห้ามโชว์เลือด, ห้ามนำเสนอเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับลัทธิศาสนา ทั้งวาจากับสัญลักษณ์, มีการแบนข้อความ “ไต้หวัน” “ฮ่องกง” “ทิเบต” และอื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วน จนไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าจีนคือประเทศที่มีการเซนเซอร์โหดที่สุดแล้ว ณ ตอนนี้

แต่ย้อนกลับไปยุค 1980 มีอีกประเทศหนึ่ง ที่มีนโยบายเซนเซอร์วิดีโอเกมที่เข้มงวดเป็นรองจากจีน โดยนั่นคือประเทศเยอรมนี ซึ่งคาดว่าเป็นประเทศแรกที่ใช้วิธีเซนเซอร์ด้วยการเปลี่ยนสีเลือดจากสีแดง กลายเป็นสีเขียว

Ninja Gaidenในยุค 1980 แผนกของรัฐบาลเยอรมนี Bundesprüfstelle für Jugendgefährdende Schriften (Federal Department for Media Harmful to Young People) มีการออกกฎหมายใหม่เป็นการแบนสื่อทุกประเภทที่เข้าข่าย “เป็นอันตรายต่อคนหนุ่มสาว” ซึ่งสื่อทั้งหมดที่มีเนื้อหาเป็นอันตราย จะถูกบรรจุเข้ารายการที่คล้ายแบล็กลิสต์เรียกว่า “index” และโดนถอดออกจากร้านค้าโดยทันที

วิดีโอเกม ก็ตกเป็นเป้าหมายจากการถูกควบคุมโดยรัฐบาล ทำให้ช่วงเวลานั้น ความเจริญของอุตสาหกรรมเกมในประเทศเยอรมนีเติบโตช้าลง รวมถึงยอดขายวิดีโอเกมถดถอยลง เพราะหลายเกมที่วางจำหน่ายถูกแบนอย่างกะทันหัน แล้วผู้เล่นก็หันมาซื้อเกมแบบผิดลิขสิทธิ์มากขึ้น

Dead Space

เพื่อให้เกมสามารถขายต่อในประเทศเยอรมนีได้ ทีมพัฒนาเกมกับตัวแทนจำหน่าย จึงไม่มีทางเลือกอื่น นอกเหนือจากต้องยอมเซนเซอร์เนื้อหาเกมบางส่วนตามข้อกำหนดที่รัฐบาลเยอรมนีระบุไว้

แน่นอนว่าวิธีเซนเซอร์เนื้อหาเกมที่ง่ายดาย และลดความรุนแรงลงอย่างเห็นได้ชัดเจน ก็คือการไม่แสดงผลเลือดแม้แต่หยดเดียว แต่อย่างไรก็ตาม นักพัฒนาเกมกับทีมตัวแทนจำหน่าย ยังคงหาวิธีการอื่น ๆ เพื่อให้เกมสามารถวางจำหน่ายในเยอรมนีได้ โดยมีการเซนเซอร์หรือทดแทนเนื้อหาให้ได้น้อยที่สุด

Pubg

PUBG เคยใช้เซนเซอร์ด้วยเลือดสีเขียว ก่อนโดนยกระดับเซนเซอร์เป็นไม่มีเลือด

อ้างอิงจาก Dr. Andreas Lober จากเว็บไซต์ GamesIndustry.biz เผยว่าหลังจากเยอรมนีได้ออกกฎหมายเซนเซอร์ความรุนแรงของสื่อ ตัวแทนจำหน่ายเกมหลายแห่ง ได้ใช้วิธีการเซนเซอร์ด้วยการเปลี่ยนเลือดจากสีแดง ให้กลายเป็นสีเขียว แล้วเป็นวิธีที่ได้รับความนิยม จนกลายเป็นมาตรฐานการเซนเซอร์เกมที่อยู่คู่เกมเมอร์ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน

แม้ไม่มีสาเหตุที่แน่ชัดเจนว่าทำไมต้องใช้การเซนเซอร์ด้วยการเปลี่ยนสีเลือดเป็นสีเขียว แต่มีความเป็นไปได้สูงมากที่ทีมพัฒนาเกมจะใช้ข้ออ้างว่า สิ่งที่ผู้เล่นต้องเผชิญหน้าต่อสู้กับศัตรูในเกม ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์จริง ๆ แต่เป็นมนุษย์ต่างดาว มอนสเตอร์ ปีศาจ และอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากคนด้วยกันเอง จึงทำให้เลือดของเกมเป็นสีเขียว ซึ่งก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งว่าทำไมเกมเมอร์บางคน รวมถึงประเทศเราเรียกเลือดสีเขียวกันว่า “เลือดเอเลี่ยน”

เพราะสาเหตุดังกล่าว บางทีมพัฒนาเกมถึงขั้นยอมเปลี่ยนโมเดลศัตรูใหม่ จากมนุษย์กลายเป็นซอมบี้ หรือสัตว์ประหลาด เพื่อให้การใช้เลือดสีเขียวดูมีสมเหตุสมผลมากขึ้น หรือไม่ก็เปลี่ยนศัตรูเป็นหุ่นยนต์ไปเลย เพื่อไม่ต้องให้มีการโชว์เลือดอีกต่อไป

Mortal Kombat

ถึงจะเป็นข้ออ้างที่ดูแถข้าง ๆ คู ๆ ที่ฟังไม่ค่อยขึ้นสักเท่าไหร่นัก แต่อย่างน้อย รัฐบาลก็เชื่อว่าการใช้เลือดสีเขียว สามารถลดทอนความรุนแรงของเกมได้จริง และเนื้อหาดังกล่าวดันทำให้เกมขายในประเทศเยอรมันได้อีกด้วย ถ้าหากให้เลือกระหว่างในเกมมีการโชว์เลือดเป็นสีเขียวประหลาด ๆ กับไม่มีเลือดเลย ทีมพัฒนาเกมคงต้องยอมเลือกข้อแรก เพื่อมอบประสบการณ์การเล่นที่ครบครั้นเหมือนประเทศอื่นให้มากที่สุด

ด้วยเหตุผลดังกล่าว ทำให้หลายเกมในเวอร์ชันเยอรมนี ออสเตรเลีย กับจีนในอดีต จึงใช้เลือดเป็นสีเขียว ซึ่งแตกต่างจากเกมเวอร์ชันสากลที่นำเสนอเป็นเลือดสีแดงข้นดั่งกับโลหิต

Doom

DOOM เวอร์ชันเยอรมนี มีการเปลี่ยนเลือดให้กลายเป็นสีเขียว

ปัจจุบัน การเซนเซอร์ด้วยการเปลี่ยนสีเลือด ยังคงมีให้เห็นเฉพาะบางประเทศ (เยอรมนีกับออสเตรเลีย ยกเลิกการเซนเซอร์เลือดแล้ว) หรือบางเกม นำระบบดังกล่าวไปใช้เป็นตัวเลือก Accessibility เปลี่ยนสีเลือดในเกม ซึ่งออกแบบมาเพื่อสำหรับคนที่แพ้หรือกลัวเลือดโดยเฉพาะ

แหล่งที่มา: GamesIndustry.biz, TV Trope

SHARE

Achina Limanwat

เค - Content Writer

Back to top