หลังจากที่ได้มีโอกาสไปสัมผัสตัวทดลองเล่นของ Assassin’s creed Shadows เกมภาคต่อของแฟรนไชส์มือสังหารที่ภาคนี้เดินทางไปยังญี่ปุ่นในช่วงยุค Sengoku ของญี่ปุ่น GamingDose ก็นำความประทับใจต่าง ๆ และสิ่งที่เห็นมาเล่าให้ฟังว่าเราได้เห็นและรู้อะไรเกี่ยวกับเกมนี้เพิ่มบ้าง
ก่อนอื่นเลย เนื่องจากเป็นตัวทดลองสำหรับสื่อ และเวลาที่จำกัด ทำให้เราไม่สามารถเดินทางไปได้ทุกที่ รวมถึงฟังก์ชั่น ภารกิจ Activities บางอย่างก็ยังไม่สามารถทำได้
ตัวเกมจะมีความยาก 4 ระดับ คือ Story Forgiving (หรือ Easy) Normal และ Hard ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการลอบเร้น ความเสียหายของศัตรูที่ทำใส่เราเป็นต้น โดยเราเลือกใน Canon Mode หนึ่งในฟังก์ชั่นใหม่ของภาคนี้ จากการที่กลุ่มผู้เล่นเกมนี้แตกออกเป็นสองฝั่ง คือชอบการเลือกตอบกับชอบเล่นแบบ Canon หรือตามเนื้อเรื่องไปเลย ทำให้ทีมงานเพิ่ม Mode นี้ขึ้นมา เมื่อเปิด Mode นี้ เราจะไม่ต้องเลือกตอบคำถามอะไรในเกม ยกเว้นในบางสถานการณ์ที่เกมจะถามว่าภารกิจนี้จะเล่นเป็น Yasuke หรือ Naoe และในภารกิจเนื้อเรื่องบางอย่างที่ก่อนจะเริ่ม
ตัวละครที่ให้ภารกิจจะถามเราว่าเราพร้อมแล้วหรือยัง ส่วนเรื่องการ Romance การ Recruit ตัวละครนั้น เกมจะเลือกให้ โดยสิ่งที่เกิดขึ้นใน Mode นี้ จะเป็น Lore ที่แท้จริงของภาคนี้ และนั่นอาจจะหมายความว่าเราอาจจะไม่ได้ Recruit ตัวละครทุกตัวเป็นพวกด้วยก็ได้ ซึ่งทางทีมงานบอกว่าขอเก็บไว้ให้ไปรู้ในเกม
นอกจากนี้เรายังเล่นใน Immersive Mode ที่ทำให้เสียงพากย์ของตัวละครเป็นภาษาที่คุยกันจริง ๆ เช่น เวลา Naoe คุยกับคนญี่ปุ่น ก็จะพูดเป็นภาษาญี่ปุ่น แต่เวลาที่ Yasuke คุยกับมิชชั่นนารีจากโปรตุเกสก็จะพูดเป็นโปรตุกีส โดยที่เราสามารถเปิด – ปิด โหมดเสียงนี้ได้ตลอด แต่สิ่งที่เราชอบคือ ไม่ว่าจะเล่นแบบไหน ปากของตัวละครจะขยับคล้ายเสียงที่พูดจริง ๆ ยกเว้นในฉากที่เป็นการ Mo – Cap ไว้แล้ว ปากตัวละครจะพูดเหมือนพูดอังกฤษ
สำหรับในตัวทดลองเล่นนี้ เป็นเรื่องราวหลังจากเริ่มต้นเกมไปได้พักใหญ่ ๆ ดำเนินเรื่องอยู่ในแคว้น Harima รอบเมืองหลวง Himeji แม้ว่าเราจะสามารถวิ่งออกไปในป่าได้นอกเมืองนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้มากอะไร โดยเราจะไม่ขอลงลึกในเนื้อเรื่องมาก เนื่องจากเกมยังขาดบริบทหลายอย่าง แต่จะมีภารกิจหลักคือ The Noble Questline ให้เราได้เล่น
เป็นการตามล่าหนึ่งในเป้าหมายหลักของเกม ฉายา The Noble ที่ชักใยเตรียมการก่อความไม่สงบในเมือง Himeji ซึ่งในภารกิจนี้เราสามารถเลือกเล่นได้ทั้ง Yasuke กับ Naoe และเราก็สลับ ๆ กันเล่นทั้งสองตัว และได้เล่นตั้งแต่การตามล่าหาเบาะแส ไปจนถึงภารกิจลอบสังหาร แต่เสียดายที่เวลาเราไม่พอเลยเล่นภารกิจลอบสังหารไม่จบ
นอกจากนี้เรายังได้ลองสัมผัส ชิมลางบทเกริ่นนำของเกมนิด ๆ หน่อย ๆ ซึ่งก็ต้องบอกว่าภาคนี้เริ่มต้นเกมมาได้ค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว โดยเราจะเริ่มเล่นตั้งแต่ Yasuke เดินทางมาถึงญี่ปุ่น และได้พบกับ Oda Nobunaga ก่อนจะ Timeskip ข้ามไปตอนที่ทัพ Nobunaga บุก Iga ส่วน Naoe ก็จะได้เริ่มเล่นในตอนนั้นเช่นกัน มีการวางปมหลาย ๆ ที่ทำให้เราอยากรู้ ซึ่งก็ต้องไปเล่นในเนื้อเรื่องหลักว่าแต่ละปมที่ผูกมา จะถูกเล่าและร้อยเรียงอย่างไร
ถ้าพูดถึงระบบ Gear ส่วนตัวภาคนี้เอาระบบ RPG คล้าย Odyssey มาใช้ ทั้งเรื่องของเลเวลและ Gear แต่ทำให้มันเรียบง่ายขึ้นกว่าเดิม เพราะแทนที่เราจะต้องมานั่งจัด build จากชิ้นส่วนเสื้อผ้า 5 ส่วน เกมจะเหลือแค่ 2 ส่วน คือ ชุด กับเครื่องสวมใส่ที่หัว และอาวุธ 2 ชิ้น โดยลักษณะของ Gear เกมนี้จะคล้ายกับ Odyssey คือ ของชื่อเดียวกันมีโอกาสเป็นได้ทั้งระดับ Uncommon Rare หรือ Epic ซึ่ง Stats ของมันก็จะต่างกันไป โดยเราสามารถ Loot ได้ตามหีบทั่วไป
ส่วนของทองหรือระดับ Legendary ที่เราคาดว่าแต่ละชื่อจะมีแค่ชิ้นเดียวในเกมนั้น จะเป็นของพิเศษที่หาได้จากการเปิดหีบพิเศษ การบุกปราสาทไปเปิดหีบ เป็นต้น ซึ่งการ Loot ของเกมนี้ ไม่ว่าเราจะเล่นเป็น Yasuke หรือ Naoe เราจะสามารถ Loot ได้ของ ของทั้งสองตัวละครเลย นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่ม Perk (หรือในเกมเรียก Engrave) ได้ด้วย แต่ว่าในตัวทดลองนี้ยังไม่สามารถทำได้
สาย Skill ของ Shadows แต่ละตัวละครจะมีทั้งสิ้น 6 สาย แยกกันไปตามความหมวดหมู่ อาวุธแต่ละชนิดของ Naoe กับ Yasuke จะมีสาย skill แยกไปของตัวเอง นอกจากนั้นทั้งสองคนจะมีสาย Skill เฉพาะ เช่น ของ Naoe จะมีสาย Skill Shinobi ส่วน Yasuke จะมีสาย Skill Samurai โดยการอัพ Skill ภาคนี้เราจะไม่ได้ Skill Point จากการอัพเลเวล แต่จะได้จากการทำภารกิจและ Activities ต่าง ๆ สาย Skill ของภาคนี้ จะมีความเข้าใจง่ายและไม่จุกจิกแบบ Valhalla จะมีทั้ง Passive และ Active Skill หรือ Ability ที่เป็นท่าโจมตีพิเศษแบบ Odyssey / Valhalla ซึ่ง Ability หลายอย่างจะปลดล็อคผ่านสาย Skill เฉพาะของอาวุธชิ้น ๆ
เราต้องใช้อาวุธนั้นถึงจะใช้ แต่ก็มี Ability กลางที่ใช้ได้ไม่ว่าจะใช้อาวุธอะไรด้วยเช่นกัน ในตัวที่เราได้ลองเล่น เรารู้สึกว่าพลังของ Ability ไม่โกงเกินไป ไม่ได้สร้างความเสียหายแรงมากนัก แต่ใช้ได้ดีในหลาย ๆ สถานการณ์ เช่น Ability กวาดง้าวของ Yauske ใช้ได้ดีเวลาที่โดนรุมจากทุกทิศทุกทาง แล้วต้องการสร้างระยะห่าง
Skill ในเกมยังแบ่งออกเป็น 5 ระดับ ตามระดับความรู้ (ในเกมเรียก knowledge) เราต้องเก็บค่า knowledge ให้ถึงที่กำหนดเพื่อปลดล็อค Skill ระดับสูงขึ้นไป โดยวิธีเก็บค่า knowledge ที่เราเห็นในตัวทดลองเล่น คือการไปไหว้ศาลเจ้า หรือตามล่าเอกสารที่ซ่อนอยู่ในศาลเจ้าที่เป็น Location ในเกม ที่ไหนที่เราสามารถเก็บ knowledge point ได้เกมก็จะบอกเราเลย
ความต่างของสองตัวเวลาเล่น ใครที่เล่นภาค Syndicate มา น่าจะรู้ว่า Shadows ไม่ใช่เกม Assassin’s creed ภาคแรกที่มีตัวละครเอกสองคน ใน Syndicate ความต่างของ Jacob กับ Evie มันดูไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่นัก แต่ใน Shadows Yasuke กับ Naoe ให้ความรู้สึกที่ต่างกันอย่างสัมผัสได้ เริ่มจาก Yasuke ที่เราจะรู้สึกได้ว่าตัวละคร “มีน้ำหนัก” มาก ทั้งจากอนิเมชั่นการเคลื่อนไหว การ Parkour ที่ระยะการปีนป่ายของเขาน้อย และก็ยังรู้สึกเชื่องช้า หรือเวลาที่เราโดดจากที่สูง / โดด Leap of Faith (ถ้ามีโอกาส) เราจะสำหรับได้ถึงน้ำหนักของ Yasuke ที่ลงพื้น
และในกรณีของ Leap of Faith ที่เป็นหนึ่งในท่าโดดจากที่สูงอันเป็นเอกลักษณ์ Yasuke ที่โดดไม่เป็นก็จะมีอนิเมชั่นลงกองฟางแบบเหวอ ๆ ไปจนถึงเวลาต่อสู้ที่ท่วงท่าการโจมตีต่าง ๆ ของเขาดูมีน้ำหนักมากกว่า และสามารถต่อสู้กับศัตรูกลุ่มใหญ่ ๆ ได้สบายกว่า ส่วน Naoe ก็จะให้ความรู้สึกที่ปราดเปรียว ว่องไว เป็นสายลอบเร้น มีลูกเล่นให้ใช้เยอะทั้งการหมอบ อุปกรณ์ต่าง ๆ ระยะการ Parkour และขึ้นที่สูงที่ในบางครั้ง Yasuke ทำไม่ได้ ส่วนในการต่อสู้ เธอจะพอรับมือกับศัตรูได้ประมาณหนึ่ง แต่ถ้าหากโดนศัตรูรุมเยอะ ๆ การหนีก็เป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะเธอตัวบางมาก โดนฟันไม่กี่ทีเลือดก็จะหมดหลอดแล้ว เวลาเล่นเราสามารถสลับตัวละครได้ตลอดเวลา ยกเว้นเวลาที่เข้าไปในเขตหวงห้ามที่จะไม่สามารถสลับได้ ต้องออกมาก่อน
โลกในเกม / Activities ใน Shadows เราจะได้เล่นอยู่ในบริเวณภูมิภาคคันไซของญี่ปุ่นเท่านั้น และในตัวทดลองเล่นนี้เราก็อยู่ในเขตเมือง Himeji ไม่สามารถออกไปได้ไกลกว่านั้น ทำให้ยังไม่ได้เห็น Activities ทุกอย่าง ในภาคนี้การเปิดโลกยังคงเอาระบบ Viewpoint แบบภาคเก่า ๆ กลับมา แต่ปรับลูกเล่นให้รู้สึกถึงการชวนเชิญผู้เล่นให้สำรวจโลกเองมากขึ้น เพราะ Viewpoint ในภาคนี้หลัก ๆ จะใช้เป็นจุด Fast Travel แล้วก็ทำให้เห็น Location รอบ ๆ เท่านั้น โดยที่เกมจะขึ้นเป็นเครื่องหมาย “?” แทนการบอกว่าสถานที่รอบ ๆ Viewpoint ทั้งหมดคืออะไร ให้ผู้เล่นไปสำรวจเอง
และภาคนี้ไม่ใช่ว่าทุก Location จะมี Checkpoint (เช่นมีหีบอยู่ในสถานที่ 2 กล่อง หรือ มีเอกสารลับ) แบบใน Odyssey / Valhalla บางสถานที่จะเป็นแค่ Landmark เฉย ๆ ไม่ได้มีอะไรให้ทำ แต่การเปิดโลกและรู้ว่าสถานที่เหล่านี้อยู่ตรงไหน จะทำให้เวลาเล่นภารกิจต่าง ๆ ที่ในภาคนี้เราต้องตามหาจุด Objective เองง่ายขึ้น นอกจากนั้นก็ยังมีสถานที่ที่ให้เราเข้าไปปล้นทรัพยากร ซึ่งจำนวนทรัพยากรจะมีมากหรือน้อยก็สามารถดูได้ในแผนที่ของเกม และทรัพยากรเหล่านี้จะ Restock เมื่อเปลี่ยนฤดูกาล
ระบบ Observe ก็เป็นอีกระบบที่มีความสำคัญ ไม่ว่าจะการสำรวจแผนที่ หรือเวลาที่เราเข้าไปในสถานที่ต่าง ๆ ระบบ Observe จะทำให้เรารู้ว่ามีศัตรูอยู่ตรงไหน และมีของอะไรอยู่ในสถานที่นั้น ๆ บ้าง เป็นระบบที่ใช้ได้ทั้ง Yasuke และ Naoe ส่วน Eagle Vision ของ Naoe จะดีตรงที่มันมองทะลุกำแพงได้ และเห็นศัตรูชัดเจนกว่า
สำหรับแผนที่ในภาคนี้ เราไม่ได้รู้สึกว่ามันใหญ่แบบ Odyssey และไม่ได้ดูอ้างว้างแบบ Valhalla อาจเป็นเพราะมันมี Location ต่าง ๆ ในลักษณะ Landmark เยอะแยะไปหมด แม้ว่าความหนาแน่นของคนอาจจะยังดูไม่เยอะ แต่ในเขตเมือง Himeji ก็ยังรู้สึกถึงความเป็นเมือง มี NPC เดินไปเดินมา ทำกิจกรรมต่าง ๆ ทำให้รู้สึกถึงความมีชีวิตชีวา และด้วย Engine Anvil ที่ได้รับการอัพเกรตใหม่ ทำให้เรารู้สึกว่าภาพของภาคนี้สวยขึ้นจากภาคก่อน แม้จะไม่ได้ก้าวกระโดดมากนัก แต่ก็พอรู้สึกได้
Activities ที่เราได้ทำนอกจากจะมีไปเก็บ knowledge point ตามศาลเจ้าแล้ว ยังมีการวาดภาพสัตว์ด้วยหมึกดำ (Sumi – e) ด้วย ในระหว่างที่เราเดินนอกเมือง เราอาจจะเจอเครื่องหมายขึ้นใน mini map ด้านบนของจอ เป็นรูปพู่กัน ไม่ว่าจะทั้ง Yasuke หรือ Naoe เราสามารถค่อย ๆ ย่องเข้าไปในระยะเพื่อวาดภาพได้ ภาพวาดเหล่านี้เราสามารถเอาไปแต่งฐานของเราได้ ถ้าหากสัตว์รู้ตัวมันก็จะหนีไป นอกจากนี้ก็มี Activities เล็ก ๆ เช่น ขอพรจากศาลเจ้าตามทาง แล้วจะได้ Buff หรือ วางเครื่องสักการะให้รูปปั้นพระ Jizo
ระบบฤดูกาล ระบบฤดูกาลเป็นสิ่งที่หายไปจาก Assassin’s creed มานานมาก จนในภาค Shadows ทีมงานเอามันกลับมาอีกครั้ง โดยเกมนี้จะมีถึง 4 ฤดูที่จะให้ความรู้สึกต่างกันไปในแง่ Visual รวมถึงไปสภาพอากาศของแต่ละฤดู ฤดูที่เปลี่ยนไปยังส่งผลถึงกิจกรรมของ NPC ที่ต่างกันไปด้วย ในแง่ Gameplay ฤดูหนาวจะมีความต่างชัดที่สุด เพราะมันมีหลายอย่างที่เห็นได้ชัด เช่น ทะเลสาบกลายเป็นน้ำแข็ง แต่ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง ก็จะมีความต่างเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นกัน แต่ในตัวทดลองเล่นเรามีเวลาไปถึงแค่ฤดูร้อนเท่านั้น เลยยังบอกความต่างมากไม่ได้
ภาคนี้นอกจากเนื้อเรื่องบางจุดที่จะล็อคฤดูกาลมาให้ตรงกับประวัติศาสตร์ ใน Open World เราสามารถเปลี่ยนดูกาลเองได้ โดยในหน้าแผนที่เกมมุมขวาบนจะมีบอกฤดู และแถบวงกลมสีขาวคือแถบช่วงเวลา ถ้าแถบนี้ยังไม่เต็มจะไม่สามารถเปลี่ยนฤดูได้ เมื่อแถบเต็มเราสามารถกดเปลี่ยนดูตอนไหนก็ได้ เกมจะมี cutscene เปลี่ยนฤดูขึ้นให้ดู
การเปลี่ยนฤดูยังทำให้ทรัพยากรต่าง ๆ ที่เราไปปล้นมาตามสถานที่ต่าง ๆ Restock รวมถึงยังล้างค่าหัวที่ตัวละครมีในภูมิภาคนั้น ๆ ด้วย
การต่อสู้ ในเกมนี้เรารู้สึกว่าการต่อสู้ไม่ยากและไม่ง่ายจนเกินไป ศัตรูมีหลากหลายประเภท และหลากหลาย Moveset ทำให้เราต้องปรับวิธีการสู้และอาวุธที่ใช้ไปตามแต่ประเภทศัตรู เช่น ศัตรูประเภท Shinobi จะมีการใช้อุปกรณ์อย่างดาวกระจาย ระเบิดควันสร้างความสับสน แถมยังโดดหลบการโจมตีเราได้ พวกซามูไรระดับสูงก็จะมีท่าการโจมตีต่อเนื่อง การโจมตีที่ไม่สามารถกันได้
แต่ก็ไม่ใช่ว่าศัตรูทุกตัวที่รุมเราจะโจมตีเข้ามาพร้อม ๆ กันแบบมั่วซั่ว เรายังรู้สึกได้ว่าศัตรูยังผลัดกันเข้ามาโจมตีเราเป็นเทิร์น ๆ อยู่ และศัตรูบางประเภทเช่น พวกมือปีน จะทิ้งระยะห่างเพื่อไปยิงปืนใส่เรา หากเป็นการสู้กับศัตรูเยอะ ๆ Yasuke จะได้เปรียบ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเอา Yasuke ไปบู๊ได้ทุกครั้ง เพราะในบางครั้ง บางสถานที่ศัตรูอาจมีเยอะมากเกินไป หรือศัตรูที่เป็นมือปืนมีเยอะเกินไป เราโดนรุมยิงจนตาย การลอบเร้นโดยใช้ Naoe อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
ซึ่งตัว Naoe เองก็ไม่ใช่ว่าจะบู๊ไม่ได้เลย แต่เธอจะสามารถรับมือกับศัตรูกลุ่มเล็ก ๆ ได้เท่านั้น เพราะเธอโดนโจมตีไม่กี่ทีก็จะเลือดหมดหลอดแล้ว หากโดนศัตรูระดับสูงเกราะเยอะ ๆ หลายตัวรุมก็อาจจะไม่รอด
นิสัยของศัตรูเวลาสู้เป็นกลุ่มกับสู้แบบตัวต่อตัวก็จะมีการเปลี่ยนไปเล็กน้อยเช่นกัน ถ้าสู้เป็นกลุ่มศัตรูจะเน้นจำนวนเข้าว่าทำให้ไม่ค่อยกันการโจมตีเรา แต่ถ้าสู้แบบตัวต่อตัวศัตรูจะมีการดูเชิง มีการปัดป้อง มีการสวนกลับการโจมตีเรามากกว่า
จะมีที่ขัดใจอยู่คือเรื่องมุมกล้องกับการล็อคตัวเป้าหมาย ถ้าเราไม่ล็อคตัวเป้าหมาย การโจมตีจะโจมตีไปมั่ว ๆ ตามทิศทางที่เรากดปุ่ม เมื่อล็อคเป้าหมายเราก็จะโจมตีแต่ตัวนั้น ทำให้รู้สึกว่าการเปลี่ยนเป้าหมายมันไม่ทันใจ และอาจไม่ใช่ตัวที่เราอยากโจมตี รวมถึงมุมกล้องที่บางครั้งไม่ค่อยเอื้ออำนวย เราไม่เห็นศัตรูในบางมุม
และเวลาสู้ในที่แคบมุมกล้องก็เป็นปัญหาพอสมควร นอกจากนี้แม้ว่าในการต่อสู้ Yasuke และ Naoe จะมีท่า Finishing ศัตรูตัวสุดท้ายของการต่อสู้ที่สวยงามและดุดัน โดยเฉพาะของ Yasuke ที่มีการตัดหัว ตัดแขน แต่ที่เราเล่นมา ท่า Finishing ของอาวุธแต่ละประเภทกลับมีแค่ท่าเดียวเท่านั้นเอง
Parkour การปีนป่ายยังเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของ Shadows ที่แม้ว่าภาคนี้จะไม่มีอาคารสูง ๆ เรียงรายให้เราปีนป่ายแบบ Mirage แต่ก็ยังมีปราสาทใหญ่ ๆ เมือง ไปจนถึงเส้นทางในธรรมชาติที่ให้เราได้ปีนป่าย ซึ่งการปีนป่ายหลัก ๆ ก็จะเป็น Naoe ที่ได้โชว์ความสามารถ เพราะเธอมีระยะการปีนป่ายและลูกเล่นที่เยอะกว่า Yasuke และ Assassin ตัวเอกในหลาย ๆ ภาคในอดีต อย่าง ตะขอเกี่ยว ที่ทำให้เธอสามารถเกาะขอบหลังคา หรือโหนตัวเวลาที่ปีนป่ายได้ ท่า Parkour ของเธอยังมีท่าตีลังกา ท่าโดดสวย ๆ อีกมากมายที่ทำให้รู้สึกว่าท่าทางต่าง ๆ ของเธอดูลื่นไหล และในบางสถานที่เช่นการเปิด Viewpoint บางจุด เราจะต้องใช้ Naoe ในการขึ้นไปเปิดเท่านั้นด้วย
ส่วน Yasuke แม้จะไม่ได้พลิ้วแบบ Naoe แต่เขาก็ยังพอสามารถปีนอะไรได้บ้างเช่นกัน แต่ระยะการปีนของเขานั้นสั้นมาก และเวลาปีนอาคารสูง ๆ เขาจะมีอนิเมชั่นที่เชื่องช้ากว่า Naoe
แม้ว่าการ Parkour ภาคนี้จะดูลื่นไหล ดูสนุก แต่ก็มีบางจังหวะเช่นกันที่ยังรู้สึกติด ๆ ขัด ๆ หรือโดดไปไม่ตรงจุดที่อยากให้ไป ถ้าตัวเกมจริงแก้ให้ดูลื่นไหลกว่านี้ได้จะดีมาก ๆ
การลอบเร้น ส่วนนี้หลัก ๆ จะเป็นหน้าที่ของ Naoe ซึ่งใช้ได้ดีเวลาที่เราจะลอบเข้าไปในพื้นที่หวงห้ามหรือปราสาท Shadows ได้ใส่ลูกเล่นในการลอบเร้นมาเยอะขึ้น ก็เรียกได้ว่าถ้าใครชอบบู๊แหลกแบบ Odyssey / Valhalla ก็มี Yasuke ไว้ตอบโจทย์ แต่ใครที่ชอบลอบเร้นในลักษณะ Mirage ก็มี Naoe ที่ตอบโจทย์การเล่นแบบนั้น ด้วยลูกเล่นทั้งอุปกรณ์อย่าง ดาวกระจาย มีดบิน ระเบิดควัน การใช้แสงเงาเพื่อพรางตัว Eagle Vision ที่สามารถมาร์คศัตรูได้
ระบบนอนหมอบที่ทำให้เราซ่อนตัวไปกับพงหญ้าเตี้ย ๆ ได้ แต่ศัตรูเองก็ไม่ได้จะปล่อยให้เราลอบสังหารได้ง่าย ๆ เพราะจากที่เล่นมา ศัตรูมีการตอบสนองต่อหลาย ๆ อย่าง และดูจะ “ฉลาด” ขึ้นในหลาย ๆ จังหวะ เช่น เวลาที่เราปิดไฟในห้อง ศัตรูที่เฝ้ายามอยู่นอกห้องที่เห็นว่าไฟดับ อาจจะเปิดประตูเข้ามาสำรวจหรือเปิดไฟ หรือเวลาที่ศัตรูตามหาตัวเราในพงหญ้า ก็จะมีศัตรูที่เอาดาบไล่ตัดพงหญ้าทิ้งเพื่อไม่ให้เรามีที่ซ่อน ไปจนถึงเวลาปาระเบิดควัน ศัตรูบางประเภท จะไม่ยืนแช่ควันแต่จะพยายามวิ่งออกมา
นอกจากนั้นยังมี NPC ประเภทพิเศษอย่าง Servant ตามสถานที่ที่มีการรักษาความปลอดภัยแน่นหนาหรือปราสาท NPC พวกนี้ ถ้าเจอเรามันจะไปเรียกพวกทหารมา ทำให้ต้องคอยสังเกตและระวังอยู่ตลอด
Naoe จะมีท่าลอบสังหารปกติ และจะมี Gimmick เพิ่มเติมจากอาวุธที่ใช้ เช่น ถ้าใช้มีดสั้นกับ hidden Blade จะทำ Double Assassination ได้ ถ้าใช้ดาบธรรมดา จะสามารถแทงศัตรูผ่านประตูได้ หรือเราสามารถลากคอศัตรูไปในดงหญ้า ที่ลับตา แล้วจะลอบสังหารหรือทำให้สลบไปเฉย ๆ ก็ได้ ในขณะที่ Yasuke ที่ไม่มี Hidden Blade จะเป็นการทำ Brutal Assassination จะเอาอาวุธที่มีออกมาฆ่าแบบโจ่งแจ้งเลย
ในเขตหวงห้ามต่าง ๆ จะมีระฆังสัญญาณ ถ้าเราไม่ได้ทำลายมัน และเราโดนเจอตัวแล้วศัตรูวิ่งไปตีระฆังได้ ตัวละครที่เราเล่นในตอนนั้นจะโดนตามล่าตัวในภูมิภาคนั้น ๆ จะมีศัตรูประเภท Guardian ออกมาเดินเต็มถนน พอเจอเราก็จะเข้าโจมตีทันที ช่วงต้นเกมเราจะมีทางเลือกไม่มากนอกจากเปลี่ยนตัวเล่น จะรอเปลี่ยนฤดูกาล หรือจะเล่นเป็นตัวนั้นต่อแต่ต้องรับมือกับทหารยามที่เข้ามาโจมตีเราทุกครั้งที่เห็น แต่พอเราอัพเกรต Scout และฐานของเราแล้ว เราสามารถส่ง Scout ไปเคลียร์ค่าหัวได้
ระบบลูกน้อง / Scout ระบบลูกน้องที่ในภาคนี้จะเรียกว่า The League เป็นตัวละครที่จะมาเข้าร่วมกับเรา จากการเดินทางของเราในเกม ทั้งภารกิจหรือเนื้อเรื่อง ซึ่งถ้าใครไม่ได้เล่น Canon Mode ก็จะสามารถเลือกรับหรือไม่รับตัวละครนั้น ๆ ได้ แต่ถ้าใครเล่น Canon Mode เราจะควบคุมอะไรไม่ได้ ตัวลูกน้องที่เราเห็นในตัวทดลอง จะมี 2 คน คนหนึ่งจะเป็นสาย Warrior อีกคนจะเป็นสาย Assassin ลูกน้องเราจะเลือกให้เดินทางไปกับเราได้แค่ 2 คนเท่านั้น และลูกน้องแต่ละคนจะมี Skill ที่ต่างกันไป เรายังสามารถฝึกลูกน้องของเราให้มี Rank ที่สูงขึ้นได้ แลกกับการจ่ายเงินในเกม เพิ่มปลดล็อคความสามารถที่เก่งขึ้น และพอเราอัพเกรตลูกน้อง พวกเขาก็จะมีชุดใหม่เพิ่มขึ้นด้วย ให้เรารู้สึกว่าพวกเขาเก่งขึ้นจริง ๆ
ในตัวทดลองเล่น ลูกน้องสาย Warrior จะมาช่วยกระแทกศัตรูให้ล้ม เพื่อให้เราโจมตีง่ายขึ้น พออัพเกรต Rank ก็จะยังช่วยกระทืบซ้ำด้วย ส่วนลูกน้องสาย Assassin จะทำการลอบสังหารศัตรูที่มีเลือดไม่เกือบที่กำหนด ถ้าอัพเกรต Rank สูงสุดสามารถสังหารศัตรูที่เลือดเยอะ ๆ ได้เลยเหมือนกัน
ส่วนระบบ Scout ที่เป็นอีกหนึ่งระบบใหม่ในภาคนี้ ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน เพราะ Scout นอกจากเราจะส่งไปสำรวจพื้นที่เวลาทำภารกิจแล้วคำใบ้ไม่เพียงพอ การส่ง Scout ไปสำรวจจะช่วยให้เราจำกัดวงค้นหาได้มากขึ้น พวกเขายังสามารถช่วยล้างค่าหัวในภูมิภาคนั้น ๆ และยังใช้ในการลักลอบขนทรัพยากรออกมาจากสถานที่หวงห้ามได้ด้วย ซึ่งการใช้ Scout ในการขนทรัพยากรจะทำให้เราเสีย Scout ไปจนจบฤดูกาล แต่เราสามารถเติมจำนวน Scout ของเราได้ (มี Scout ได้สูงสุด 5 คน) ด้วยการจ่ายเงินจ้าง Scout เพิ่มที่ฐานหรือ Safehouse ในเกม
ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมาเป็นสิ่งที่เราได้เห็นในเกม อาจจะมีรายละเอียด Gameplay ยิบย่อยบางอย่างที่ไม่ได้กล่าวถึง โดยรวมมีหลายอย่างที่ผิดคาด (ในทางที่ดี) หลายอย่างที่เราประทับใจ และเป็นการพัฒนามาจากภาค RPG และ Mirage แต่ในขณะเดียวกันมันก็ไม่ได้ Perfect 10/10 เกมยังคงมีจุดติหรือแผลให้เห็นหลาย ๆ จุด ไม่ว่าจะเป็น เรื่องมุมกล้องเวลาต่อสู้ ระบบล็อคเป้าที่เราได้กล่าวไปแล้ว โมเดลหน้าตัวละครที่ยังแข็ง ๆ ในบางจุด นิสัยของชาวบ้านในเมืองที่ยังแปลก ๆ ไปจนถึงเรื่องของการ Parkour ที่บางจังหวะยังรู้สึกติด ๆ ขัด ๆ ทำให้รู้สึกขัดใจอยู่บ้าง
ไม่นับเรื่อง Glitch หรือ Performance เนื่องจากเป็นตัว Preview Build จึงไม่สามารถสรุปได้ แต่ก็หวังว่าในเกมเต็มจะได้รับการขัดเกลามากขึ้นครับ
โดยรวมถือว่าช่วงเวลาตอนที่ได้เล่นเกมนี้ของเรา เกมให้ความรู้สึกเพลินและสนุก ดูมีอะไรให้ทำให้สำรวจมากมาย และเนื้อเรื่องที่ดูมีความน่าสนใจ ซึ่งเราก็หวังว่าเกมเต็มจะสามารถมอบประสบการณ์การเล่นที่สนุกให้กับทุกคนได้อย่างตลอดรอดฝั่ง โดยไม่ถูกรบกวนด้วยปัญหาต่าง ๆ อาจจะไม่ถึงขั้น GOTY แต่เป็นเกมที่ Ubisoft น่าจะฝากความหวังไว้ได้เลย
Assassins’ creed Shadows วางขายวันที่ 20 มีนาคมนี้