ทดสอบบนระบบ PC
สเปคที่ใช้ในการทดสอบ
CPU: AMD Ryzen 7 7800X3D 5.0GHZ
GPU: NVIDIA GeForce RTX 4070Ti Super
RAM: DDR5 32GB Bus 6400MHz
SSD: Patriot Viper VP4300 2TB
PSU: Thermaltake GF A3 Premium Gold 850W
Monitor: LG UltraGear 32GS85Q-B
ปรับภาพระดับ Preset Ultra ความละเอียด 2K
Fatal Fury คืออดีตเกมต่อสู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากในสมัยยุคปี 90 ดังขนาดไหนก็อยู่ในระดับที่เทียบเคียงกับ Street Fighter ในยุคนั้นเลย หลังจากที่หายไปนานกว่า 24 ปี SNK ก็กลับมาสานต่อตำนานของเหล่าหมาป่ากระหายเลือดอีกครั้ง แต่จะดีสมกับที่รอคอยกันรึเปล่า ติดตามกันได้ในรีวิว Fatal Fury: City of The Wolves
การต่อสู้ครั้งใหม่ใน South Town
2 ปีหลังจากการแข่งขัน King of Fighters: Maximum Mayhem Rock Howard ตัวเอกจากภาคที่แล้ว ได้ตัดสินใจแยกทางกับ Terry Bogard อาจารย์และพ่อบุญธรรมของตนไปร่วมทีมกับ Kain หนึ่งในผู้นำของกลุ่มผู้มีอิทธิพลในโลกใต้ดินของ South Town โดยแลกเปลี่ยนกับเบาะแสของแม่แท้ ๆ ของ Rock ที่หายตัวไปเมื่อหลายปีก่อน เพื่อค้นหามรดกที่ Geese Howard เจ้าพ่อแห่ง South Town ผู้ล่วงลับได้ทิ้งเอาไว้
และในตอนนั้นเอง ก็มีบัตรเชิญเข้าร่วมการแข่งขัน King of Fighters ครั้งใหม่ที่ผู้จัดลงนามว่า Stroheim ส่งมาหาเหล่านักสู้ที่ยังอยู่ในเมือง South Town โดยมีรางวัลก็คือมรดกสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ของ Geese Howard ผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียวที่เหนือกว่าทุกคนก็จะได้ครอบครองมัน และศึกครั้งใหม่ของเหล่าหมาป่ายอดนักสู้ก็เกิดขึ้นอีกครั้งในเมืองแห่งนี้
แม้โดยส่วนใหญ่แล้วเกม Fighting จะไม่ใช่เกมแนวที่มีเนื้อเรื่องหวือหวาหรือน่าติดตามเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีซะทีเดียว เพราะเกมซีรีส์ Mortal Kombat หรือ Guilty Gear ก็พิสูจน์มาแล้วว่าเกมต่อสู้ก็สามารถที่จะมีโหมดเนื้อเรื่องที่ดีได้เหมือนกัน
แต่สำหรับ City of the Wolves นั้นทางทีมงานยังคงเลือกวิธีการเล่าเนื้อเรื่องของเกมในรูปแบบของเกมตู้หรือเกมอาร์เคต กล่าวคือเนื้อเรื่องที่เป็น Canon นั้นจะเกิดขึ้นกับเฉพาะตัวละครหลักของเกมเท่านั้น ที่เหลือจะเป็นการเล่าแบบกึ่ง What if ที่สมมติว่าผู้ชนะการแข่งขัน KOF นั้นคือตัวละครที่เราเล่นอยู่ เขาหรือเธอจะทำอย่างไรต่อไปหลังปราบบอสหรือคู่ปรับของตัวเองลงได้ แต่ก็จะมีการเล่าเนื้อหาบางอย่างที่เป็นการไขปริศนาบางอย่างของเนื้อเรื่องให้สมบูรณ์ขึ้นไปในตัว เรียกว่าถ้าอยากเก็บรายละเอียดจนครบ ก็ต้องอดทนเล่นโหมด Arcade ให้จบทุกตัวละครนั่นเอง
ซึ่งโดยรวมแล้วเนื้อหาของเกมอาจจะไม่ได้หักมุมมากนักเมื่อเทียบกับเกมที่เน้นเนื้อเรื่อง และสำหรับผู้เล่นใหม่ก็อาจจะงงนิดหน่อย ว่าตัวละครนี้มีที่มาที่ไปยังไง แล้วไปเจออะไรมาจากเนื้อเรื่องภาคเก่าถึงได้เป็นแบบนี้ แม้จะมีการเล่าเรื่องผ่านช่วง Intro ของตัวละครนั้น ๆ บ้าง แต่ก็ยังไม่ครบถ้วนดี และด้วยการเล่าเรื่องที่เน้นไปทางภาพนิ่งสไตล์การ์ตูนอเมริกันคอมิกส์ ก็ทำให้การดำเนินเนื้อเรื่องระหว่างเล่นค่อนข้างจืดชืดลงพอสมควร
แต่สำหรับแฟนเก่าแก่ของเกมนี้ที่ผูกพันกันมานานหลายปี อาจจะรู้สึกดีก็ได้ เพราะเราจะได้เห็นเนื้อหาที่เสริมจากเกมในภาคเก่า รวมถึงมุมมองที่มีต่อตัวละครบางตัวที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เรียกว่าเป็น Fan Service ที่เจ๋งพอตัวจนทำให้รู้สึกเต็มอิ่มได้เลย แต่ใครที่เพิ่งเข้ามาทำความรู้จักกับซีรีส์นี้ ก็คงจะงง ๆ ว่า เอ๊ะ มันอะไรยังไง ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ซึ่งก็ต้องไปหาอ่านเพิ่มเติมจากส่วนอื่นของเกมที่ก็จะเล่าแบบหลวม ๆ ให้พอเข้าใจ แต่ความอินคงไม่เท่าคนเล่นเก่าแน่นอน
โดยรวมคือเนื้อเรื่องของ City of The Wolves นั้นมีเพื่อเอามาเติมเต็มช่องว่างที่ขาดหายไปของเกมซีรีส์ Fatal Fury ที่ห่างหายไปนานกว่า 26 ปีเต็ม เน้นการเล่าเนื้อหาที่เคยเป็น Plot Hole ใหญ่ ๆ ที่เคยทิ้งไว้ให้ลงตัวสมบูรณ์ แม้รูปแบบการเล่าเรื่องจะเป็นรูปแบบเก่าที่ค่อนข้างจืดชืดและกระจัดกระจายจนคนเล่นใหม่อาจจะรู้สึกแปลก แต่คนที่เป็นแฟนซีรีส์นี้มานานน่าจะปลื้มกันไม่น้อยแน่นอน
โหมดการเล่นที่หลากหลาย คู่กับเพลงและงานภาพอันเป็นเอกลักษณ์
รูปแบบการนำเสนอของ City of The Wolves นั้นเรียกได้ว่าเป็นเกมต่อสู้ที่จัดเต็มกับเนื้อหาที่มีในเกมมาอยู่ไม่น้อยเลย เพราะนอกจากโหมดการเล่นมาตรฐานอย่างโหมด Arcade ที่เปรียบเสมือนโหมดเนื้อเรื่องหลักของแต่ละตัวละครแล้ว ตัวเกมยังมีโหมด EOST หรือ Episode of South Town ที่เป็นการเล่าเรื่องราวก่อนเข้าสู่การแข่งขัน King of Fighters ครั้งใหม่ว่าเหล่าตัวละครในเกมนั้นทำอะไรกันอยู่บ้าง
สำหรับโหมด EOST นี้ถ้าให้เปรียบแล้วก็เหมือนโหมด World Tour ของ Street Fighter 6 แบบย่อส่วน ที่ผู้เล่นจะไม่ได้สร้างตัวละคร Avatar ของตัวเองออกมาเดินในเมือง South Town แต่จะเป็นการเข้าไปทำภารกิจหรือก็คือเลือกต่อสู้กับ CPU ที่มีทั้งตัวละครในเกมและตัวละคร NPC กระจายอยู่ทั่วแผนที่ เมื่อต่อสู้ชนะก็จะได้รับค่าประสบการณ์เพื่ออัปเลเวลให้แข็งแกร่งขึ้น
และบางภารกิจก็มี Skill พิเศษให้เป็นรางวัล ซึ่ง Skill เหล่านี้ก็จะช่วยเสริมการเล่นของเราในโหมดนี้ให้ง่ายดายมากขึ้น เช่นเพิ่ม HP พลังโจมตี หรือทำให้ทักษะติดตัวอย่างมีประสิทธิภาพสูงขึ้น เป็นต้น และจะมีภารกิจพิเศษที่แอบซ่อนอยู่ในแผนที่ด้วย
แต่ภารกิจเหล่านี้ก็ค่อนข้างน่ารำคาญไม่น้อย เพราะมันเป็น Mission ที่ผู้เล่นต้องสู้กับคู่ต่อสู้แบบพิเศษร่างทองที่มีเงื่อนไขคือมันจะทนการโจมตีได้ทุกอย่าง แต่มีโอกาส 1 ใน 666 ที่มันจะตายได้ในการโจมตีครั้งเดียว ซึ่งออกแนวน่ารำคาญมากกว่าท้าทาย แม้จะได้ EXP ค่อนข้างสูง แต่ถ้าเลือกได้ ก็ขอไปเล่นอย่างอื่นที่มีเงื่อนไขง่ายกว่านี้ดีกว่า
แต่ข้อเสียที่ค่อนข้างแย่ของโหมด EOST นี้ก็คือมันค่อนข้างน่าเบื่อมาก การเล่าเนื้อเรื่องในโหมดนี้ก็มีแค่ตัวอักษรขึ้นมาให้อ่านเท่านั้น ไม่มีเสียงพากย์หรือภาพวิดีโออะไรออกมาให้ดูนอกจากภาพนิ่งในช่วงต้นกับช่วงจบเท่านั้น อีกทั้งผู้เล่นก็ต้อง Grinding เพื่อพัฒนาตัวละครให้แกร่งขึ้นเพื่อไปสู้กับศัตรูเลเวลสูง ๆ ได้
โดยเฉพาะในระดับความยาก South Town+ ที่จะมีให้เลือกหลังเล่นจบไปหนึ่งรอบ และแน่นอนว่ายากกว่าระดับปกติหลายเท่า เพราะมีภารกิจที่มีเงื่อนไขพิเศษเพิ่มขึ้นมาอีกเพียบ แถมรางวัลยังไม่ค่อยน่าสนใจ เป็นแค่ไอคอนตัวละครกับฉายาที่โชว์ในโหมดออนไลน์ หรือเนื้อเรื่องเสริมของตัวละครที่เกี่ยวข้องกัน ที่ไม่เล่นก็ไม่ได้พลาดอะไรไปแต่อย่างใด
แต่นอกเหนือจากโหมด EOST ที่ทำได้ไม่ดี ตัวเกมก็ยังมีโหมดการเล่นอื่น ๆ ที่ค่อนข้างหลากหลายไม่น้อย เช่นโหมด Time Attack ปราบศัตรูทุกตัวให้ไวที่สุด Survival ที่วัดกันว่าเราจะปราบคู่ต่อสู้ไปได้กี่คน โหมดฝึกสอนและโหมด Training ที่ปรับตัวเลือกการฝึกซ้อมท่าคอมโบและ Mix up ใหม่ ๆ ได้เยอะขึ้นกว่าเก่า แม้จะไม่ได้โดดเด่นเท่ากับเกมอย่าง Street Fighter 6 ที่ปรับได้หลากหลายมากกว่า แต่ตัวเลือกสำหรับการฝึกแบบทั่วไปและเจาะจงก็ครบถ้วนไม่ได้ขาดหายไปแต่อย่างใด
ส่วนโหมดออนไลน์ก็มีครบทุกแบบให้ได้เลือกเล่น ทั้ง Casual เล่นแบบไม่สนแต้มสนอันดับ Ranked Match โหมดจัดอันดับที่ตึงเปรี๊ยะทุกเกม หรือ Room Match สร้างห้องเล่นกับเพื่อนแบบส่วนตัวหรือเปิดกว้างให้คนอื่นมาร่วมแจมด้วย รวมถึงสามารถย้อนดู Replay ที่เราเล่นผ่านโหมดออนไลน์ได้ หรือจะไปโหลด Replay ของผู้เล่นคนอื่นมาศึกษาวิธีเล่นโดยที่ไม่ต้องไปค้นหาใน YouTube ก็ทำได้เลยเช่นกัน รวมถึงโหมดฝึกสอนที่ก็มาครบทั้งโหมด Training, Tutorial ที่สอนระบบพื้นฐานให้เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว
อธิบายเพิ่มเติมเสียหน่อยสำหรับโหมด Ranked ในเกมนี้ วิธีการเก็บแต้มนั้นจะถูกนับรวมกันไม่ว่าจะเล่นตัวละครไหนก็ตาม ไม่มีการแยกตามตัว โดยถ้าเล่นครั้งแรกก็จะสามารถเลือกได้ว่าจะเข้าไปอยู่ในระดับผู้เล่นขั้นไหนตั้งแต่ Beginer ไปจนถึงระดับสูงที่ต้องสู้ลองเชิงกับ CPU ในระดับความยากที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะสู้ชนะหรือแพ้ เกมก็จะคำนวณแต้มการเล่นให้ว่าเราจะได้ Rank อะไร แต่ถ้าไม่อยากยุ่งยาก ก็เลือกระดับ Beginer แล้วไต่มาตั้งแต่ต้นด้วยแต้ม 0 ได้เลย
แต่ในช่วงที่เกมออกใหม่ ๆ นี้ ก็มีผู้เล่นที่เล่นเป็นแล้วหลายคนเลือกที่จะไม่สู้กับ CPU แล้วเริ่มที่แต้ม 0 กันอยู่เยอะเหมือนกัน ทำให้การลงโหมด Ranked Match ในตอนนี้นั้นบอกเลยว่าเขี้ยวมาก ๆ เพราะมีโอกาสเจอเกมตึงได้เลยตั้งแต่ระดับเริ่มต้น และพอผ่านไปในระดับที่สูงขึ้น ความเขี้ยวก็จะมากตามไปด้วย ดังนั้นใครที่อยากจะลง Ranked ก็ต้องเตรียมตัวและฝึกฝีมือกันให้ดี ๆ
สำหรับตัวละครที่มีให้เลือกในเกมช่วงแรกนั้นจะมีอยู่ทั้งหมด 17 ตัว ซึ่งสำหรับสมัยนี้ก็ถือว่าค่อนข้างน้อยอยู่เหมือนกัน แต่ความสามารถและวิธีเล่นของแต่ละตัวละครนั้นจัดว่าลึกและมีลูกเล่นโดดเด่นเฉพาะตัว(ไว้อธิบายเพิ่มเติมในช่วง Gameplay) และที่สำคัญในอนาคตตัวเกมก็จะมีการอัปเดตตัวละคร DLC เพิ่มเติมอีกทั้งหมด 5 คนภายในปีนี้จนถึงช่วงต้นปีหน้า ซึ่งก็รวมถึงสองตัวละครจาก Street Fighter 6 ด้วย ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่มีอะไรให้เล่นอนาคตแน่นอน
พูดถึงตัวละคร ใน City of The Wolves นั้นจะมีตัวละครรับเชิญที่เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในโลกแห่งความเป็นจริงอยู่ในเกมนี้ด้วยถึงสองคน คนแรกก็คือ Christiano Ronaldo หรือ CR7 นักฟุตบอลระดับโลกที่มีการประกาศเปิดตัวมาอย่างยิ่งใหญ่ก่อนเกมออก และ Salvatore Ganacci ดีเจแนว EDM ที่มีชื่อเสียงระดับโลก และทั้งสองตัวละครก็ใช้ท่าต่อสู้ที่ดึงเอาจุดเด่นในสายอาชีพของตัวเองมาใช้ในเกมนี้ด้วย และต้องบอกเลยว่า ทั้งสองตัวนี้เป็นตัวละครที่เก่งแบบประมาทไม่ได้เลยจริง ๆ
แต่ว่ากันจริง ๆ การนำบุคคลที่ชื่อเสียงมาใส่ไว้ในเกมมันก็สามารถสร้างกระแสให้คนนอกมาสนใจได้อย่างล้นหลาม แต่สำหรับแฟน ๆ หรือเหล่าเกมเมอร์ที่อาจจะไม่ได้สนใจวงการฟุตบอลหรือดีเจสาย EDM มันก็ชวนให้รู้สึกว่า “อืม ใส่เข้ามาทำไมนะ?” อยู่พอสมควรเลย
คือใช่ มันก็น่าทึ่งที่พลังเงินทุนผู้ถือหุ้นคนปัจจุบันของ SNK จะยิ่งใหญ่มากจนสามารถดึงทั้งสองคนเข้ามาอยู่ในเกมได้ แต่คนที่ติดตามซีรีส์นี้และเล่นเกมเขาก็อยากได้ตัวละครใหม่แบบออริจินัลหรือตัวที่มีความเกี่ยวพันกับซีรีส์นี้มาแทนมากกว่า มันเลยน่าเสียดายที่ต้องมาให้สลอต Main Roaster กับคนที่ไม่ได้เกี่ยวพันกับซีรีส์นี้แต่แรก เรียกว่าน่าทึ่งแหละ แต่คนเล่นเขาไม่ได้ต้องการเลย แม้จะไม่ใช่เรื่องที่เสียหายก็ตาม แค่มันรู้สึกว่าน่าเสียดายเฉย ๆ
ส่วนประกอบอื่น ๆ อย่างเช่นภาพกราฟฟิก งานศิลป์ และเพลงประกอบก็ค่อนข้างไปสุดทางเลย เพราะ Art Direction ของ City of the Wolves นั้นจะมาในสไตล์ของอเมริกันคอมิกส์แบบชัดเจน ถ้านึกภาพไม่ออกก็นึกถึงการ์ตูนแบบ Marvel หรือ DC นั่นแหละ ที่สีกับลายเส้นจะจัด ๆ และค่อนข้างฉูดฉาด ไม่ฟุ้งหรือเนียนตาเท่ากับสไตล์อนิเมะของญี่ปุ่น ซึ่งก็เข้ากับธีมของเกมที่ดำเนินเนื้อหาในเมืองของอเมริกาอยู่พอสมควรเลย
และที่ยอดเยี่ยมก็คือผู้เล่นสามารถปรับแต่งเพลงในฉากต่าง ๆ ได้อย่างอิสระผ่านทางโหมด Jukebox เลือกเอาจากเพลงของซีรีส์ Fatal Fury และซีรีส์ที่เกี่ยวข้องที่ขนกันมามากกว่า 100 เพลง รวมไปถึงเพลงพิเศษจากเหล่าดีเจระดับโลกที่แต่งให้กับเกมนี้โดยเฉพาะ แถมฉากในเกมก็เลือกเพลงที่ใช้เล่นได้สูงสุดถึง 5 เพลงต่อหนึ่งฉาก เลือกปรับวนไปได้เลยตามใจชอบ ใครชอบฟังเพลงจากเกม อันนี้ถือว่าเป็นฟีเจอร์ที่ดีมาก และน่าจะกลายเป็นท่ามาตรฐานของเกมต่อสู้ในยุคใหม่นี้ไปแล้วด้วย
นอกจากเพลงในเกมแล้ว เรายังสามารถปรับแต่งสีของตัวละครในเกมผ่านโหมด Color Edit ที่ปรับแต่งได้หลายส่วนมาก เลือก Match สีที่ต้องการได้ตามใจชอบตั้งแต่ทรงผม สีเสื้อผ้า สีตา หรือแม้แต่ลวดลาย Texture แต่ใครที่อยากจะปรับสีของพี่โด้ Ronaldo ตอนนี้ต้องขอแสดงความเสียใจด้วย เพราะเราจะไม่สามารถปรับแต่งสีของพี่เขาได้ เลือกได้แค่สีที่มีติดตัวมาเท่านั้น ซึ่งเหตุผลที่ไม่ให้แก้สีนั้นก็ไม่ได้มีประกาศออกมาแต่อย่างใด แต่ตัวละครอื่นก็ยังสามารถปรับสีได้ตามใจชอบได้อยู่ดี
และสุดท้ายที่ไม่พูดถึงไม่ได้ก็คือตัวเกมมีภาษาไทยให้เลือกปรับด้วย และการแปลก็ถือว่าแปลได้ดีอ่านแล้วไม่รู้สึกติดขัดและเข้ากับบริบทของเกม แม้จะมีจุดที่แปลก ๆ บ้างเพราะเข้าใจได้ว่าต้องแปลจาก Text ที่ไม่ได้เห็นตัวเกมเต็ม ๆ ซึ่งก็ไม่ได้ร้ายแรง แต่ที่ไม่ค่อยดีคือการเลือกใช้ Font ภาษาไทยที่ค่อนข้างโดดและแปลกแยกจากธีมของเกมอยู่พอสมควร แถมบางจุดยังเห็นสระจมหรือลอยจนขัดตาอยู่บ่อย ๆ แม้จะไม่ได้สมบูรณ์แบบแต่ก็ดีในระดับที่โอเคเลย
รวม ๆ แล้วสำหรับการนำเสนอ City of The Wolves นั้นถือว่าให้มาครบถ้วนและเหมาะสมสำหรับเกมต่อสู้ที่ออกมาในยุคปัจจุบันนี้ และธีมของมันก็ค่อนข้างฉีกจากเกมในตลาดพอตัว แม้การเล่าเรื่องในโหมด EOST จะจืดชืดไม่น่าสนใจ แถมยังนำเสนอแบบภาพนิ่ง แต่เนื้อหาอื่น ๆ ที่เกมให้มาแก้ผู้เล่น ก็มีครบถ้วนทั้งโหมดออฟไลน์ออนไลน์ เล่นกันได้คุ้มค่าแน่นอน
ระบบต่อสู้ที่เข้าใจง่าย แต่ลึกซึ้ง และใช้การวางกลยุทธ์
ระบบการเล่นถือเป็นส่วนที่สำคัญมากของเกมต่อสู้ทุกเกม เพราะถ้าระบบออกแบบไม่ดี เล่นไม่สนุก ก็จะส่งผลต่อภาพรวมของเกมนั้นไปเลยในทันที และ City of The Wolves ก็ทำในส่วนนี้ได้ยอดเยี่ยมและเล่นสนุกไม่แพ้เกมอื่น ๆ ในตอนนี้เลย
ก่อนอื่นเลยเรามาดูกันในส่วนของ Neutral Game กันก่อน ใครที่งงว่า Neutral Game คืออะไร? มันก็คือช่วงเวลาในการหยั่งเชิงของผู้เล่นทั้งสองฝ่าย ต่างฝ่ายต่างอยู่ในระยะที่ไม่ได้เสียเปรียบหรือเสียเปรียบกันและกัน และการเข้าสู่ระยะที่แต่ละตัวละครได้เปรียบนั้นก็ไม่ได้รวดเร็วเพราะเกมนี้ไม่ระบบที่ช่วยให้พุ่งเข้าหาฝ่ายตรงข้ามได้รวดเร็วเหมือนระบบ Drive Rush ของ Street Fighter 6 ต้องอาศัยการเคลื่อนไหวของตัวละครที่เล่นเพื่อเข้าหาฝ่ายตรงข้าม ซึ่งก็มีความช้าเร็วต่างกันไป
และในช่วง Neutral Game นี่เองที่ผู้เล่นต้องหาทางโจมตีในระยะที่ได้เปรียบผ่านตัวละครที่เล่นให้ได้ ซึ่งแต่ละตัวละครก็จะมีจุดเด่นแตกต่างกันไป อย่างเช่น Terry ที่ทำได้ครบเกือบทุกอย่างทั้งท่ายิงพลัง คอมโบที่รุนแรง หรือ Tizoc นักมวยปล้ำร่างใหญ่ที่มีท่าจับทุ่มที่ป้องกันไม่ได้และพลังโจมตีที่สูงมาก หรือ Gato ผู้ใช้วิชามวยจีนที่มีท่าโจมตีที่เอื้อให้การบุกระยะประชิดเป็นไปอย่างไหลลื่น และการเข้าใจจุดเด่นเหล่านี้ทำให้การคุมจังหวะในช่วง Neutral Game นั้นทำได้ง่ายขึ้นด้วย
ซึ่งพอจังหวะ Neutral Game อยู่ในความเร็วที่ไม่ช้าหรือเร็วเกินไปแบบนี้ ก็ช่วยให้ตัวละครเกือบทุกแนวได้แสดงความสามารถกันได้เต็มที่ ส่วนจะคว้าชัยชนะมาได้หรือไม่นั้นก็อยู่ที่ฝีมือของคนเล่นประกอบด้วยเหมือนกัน
ส่วนของการควบคุมนั้นจะแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ Arcade Style ที่เป็นการควบคุมแบบคลาสสิกดั้งเดิม ต้องกดท่าไม้ตายเองไม่มีปุ่มลัด แต่ก็สามารถใช้ระบบของเกมได้ครบถ้วน กับ Smart Style ที่ตัดระบบการต่อท่าบางอย่างออกไป แต่ได้ความง่ายในการกดท่าที่เร็วกว่า เพราะแค่กดปุ่มเดียวก็ออกเป็นคอมโบที่รุนแรงได้แล้ว ซึ่งถ้าให้แนะนำว่าถ้าอยากใช้ทุกระบบให้เต็มประสิทธิภาพ ก็ต้องจำใจยอมฝึก Arcade Style ให้สุดไปเลยจะดีกว่า แต่ถ้าเพิ่งเริ่มเล่นและไม่ได้ซีเรียสกับการต่อคอมโบมากนัก การเริ่มต้นที่ Smart Style ก็ถือเป็นตัวเลือกที่ดีเหมือนกัน
ส่วนอื่น ๆ ของระบบการเล่นนั้นจะมีความเหมือนกับเกมต่อสู้สองมิติในยุคใหม่ มีเกจท่าไม้ตายเอาไว้ใช้ท่าไม้ตายพิเศษที่ในเกมนี้จะเรียกว่า Ignition Gear กับ Redline Gear ที่ความแรงกับความเร็วจะแตกต่างกันตามเกจที่ใช้ไป แต่จะมีระบบพิเศษที่มีเฉพาะในเกมนี้อยู่หลายอย่างด้วยกัน ระบบแรกก็คือระบบ REV System ที่เกี่ยวพันกับการใช้เกจรูปครึ่งวงกลมด้านล่างที่เรียกว่า REV Meter
REV Meter จะเพิ่มขึ้นจากการป้องกันการโจมตีของคู่ต่อสู้ ใช้ท่า REV Art, REV Guard และ REV Blow ที่ถ้าหากเต็มเมื่อไหร่ก็จะเข้าสู่สถานะ Overheat ทันที ซึ่งการเกิด Overheat นี้จะก่อให้เกิดความเสียเปรียบอย่างมาก เพราะสถานะนี้จะทำให้ไม่สามารถใช้งานท่าหรือความสามารถที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของ REV Meter ได้เลย รวมถึงการป้องกันที่ถ้ายังป้องกันต่อไปจนเกจด้านล่างพลังชีวิตลดลงจนหมด ก็จะเกิดสถานะ Guard Crush ไม่สามารถป้องกันได้ชั่วคราว เป็นการเปิดช่องให้ถูกโจมตีแบบจัดเต็มได้ในทันที
และการบริหาร REV Meter คือหัวใจสำคัญที่ผู้เล่นต้องใส่ใจอย่างมาก เพราะถ้าบุกแหลกใช้ REV Arts รัว ๆ เกจก็ขึ้นเยอะจนเต็ม หรือตกเป็นฝ่ายป้องกัน เกจ REV Meter ก็จะพุ่งขึ้นมากดดันจน Overheat ได้ง่ายขึ้นไปอีก ถ้าไม่ระวังอาจเป็นฝ่ายเสียเปรียบได้ง่าย ๆ เลย ทำให้ต้องวางแผนการกดคอมโบหรือการป้องกันให้รัดกุมด้วย
และถึงแม้เราจะเห็นการต่อท่าคอมโบของเกมที่ค่อนข้างยาวและกดแบบต่อเนื่องได้ง่าย ก็อาจจะกังวลว่า แล้วแบบนี้ฝ่ายตั้งรับจะเอาอะไรไปแก้ทาง ตัวเกมก็มีอีกหนึ่งระบบที่เป็นเอกลักษณ์ของเกมเข้ามาแก้ไขตรงนี้ นั่นก็คือ Just Defense ที่จะมีผลหลังจากที่เราสามารถป้องกันการโจมตีได้ก่อนที่การโจมตีนั้นจะเข้ามาถึงตัว ซึ่งจะทำให้เราฟื้นตัวได้เร็วขึ้น และสามารถกดท่าไม้ตายทั้งแบบใช้เกจหรือไม่ใช้เกจสวนกลับไปได้ทันที
หรือในระหว่างที่กำลังป้องกันอยู่ในช่วงที่กำลังถูกโจมตีต่อเนื่อง ก็สามารถกดปุ่มทิศทางไปด้านหน้าเพื่อใช้ Hyper Defense ที่มีคุณสมบัติเหมือนกับการใช้ Just Defense ทุกประการ แต่ต้องกดใช้ในช่วงที่กำลังป้องกันอยู่เท่านั้นและมีจังหวะที่ยากกว่า Just Defense แต่ถ้าทำได้อย่างชำนาญ ก็จะสามารถเปลี่ยนกระแสของเกมไปได้ในพริบตาทันที
และระบบสุดท้ายก็คือ REV Guard ที่จะเป็นการป้องกันแบบพิเศษที่จะช่วยผลักให้ฝ่ายตรงข้ามที่โจมตีเข้ามาให้ห่างออกไปจากเดิม สร้างระยะห่างให้พอมีช่องว่างพอจะสวนกลับไปได้ แต่ก็แลกมาด้วยเกจ REV Meter ที่จะขึ้นมาเยอะกว่าการป้องกันแบบปกติ ซึ่งก็ต้องเลือกว่าจะยอมแลกเกจ REV Meter เพื่อพลิกเกมรึเปล่า
นอกจากนั้นยังมีอีกหนึ่งระบบก็คือ S.P.G. หรือ Selective Potential Gear ซึ่งก็เป็นการบัพความสามารถของผู้เล่นให้มากขึ้น โดยจะทำให้พลังโจมตีสูงขึ้น ใช้ท่าเพิ่มเติมอย่าง REV Blow ที่จะป้องกันการโจมตีได้ทุกแบบจนกว่าจะหมดท่า เหมาะแก่การเอาไว้ใช้สวนกลับฝ่ายตรงข้ามที่อัดเข้ามาแบบไม่ระวังตัว และ Hidden Gears ที่เป็นท่าไม้ตายที่จะใช้เกจไม้ตายสองเกจและต้องอยู่ในสถานะ S.P.G. เท่านั้น ซึ่งนอกจากจะเป็นท่าที่แรงที่สุดของตัวละครนั้น ๆ แล้ว เกจ REV Meter จะถูกรีเซ็ตให้เหลือ 0% ทันที และช่วยล้างสถานะ Overheat ให้ด้วย เรียกว่าเป็นไพ่ตายที่ช่วยพลิกเกมได้อย่างมหาศาลทีเดียว
ผู้เล่นจะต้องเลือกช่องพิเศษที่อยู่ในหลอดพลังชีวิตว่าจะให้อยู่ตรงไหน จะให้ติดตั้งแต่เริ่มยกเลย ให้พลังเหลือเกือบครึ่งหนึ่ง หรือตอนพลังใกล้หมดก็ได้ เรียกว่าตั้งได้ตามความถนัดหรือการวางแผน จะลุยให้จบในรวดเดียว หรือเก็บไว้ใช้พลิกเกมตอนท้ายก็เลือกใช้ได้ตามใจชอบเลย
จากที่เล่ามาทั้งหมดนี่หลายคนอาจจะคิดว่าระบบของเกมนั้นซับซ้อนเกินไปหรือเปล่า เรื่องนี้ก็ไม่ต้องกังวลไปเพราะว่าถ้าได้ลองเล่นจริง ๆ จะพบว่ามันไม่ได้เข้าใจยากแต่อย่างใด เพราะพื้นฐานของเกมก็ยังเป็นการโจมตีหรือคุมเกมจนกว่าจะลดพลังของอีกฝ่ายได้จนหมด หลายตัวละครก็ไม่จำเป็นต้องกดท่าคอมโบยาว ๆ ซับซ้อน แต่ใช้การรอจังหวะแล้วสวนกลับไปอย่างใจเย็นก็สามารถเอาชนะได้เหมือนกัน และเชื่อเถอะว่าถ้าได้ลองเล่นไปสักพักใหญ่ ๆ ก็จะเข้าใจวิธีการใช้ระบบต่าง ๆ ของเกมให้เกิดผลได้เช่นกัน
อีกทั้งการบริหารเกจ REV Meter เองก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกมลุ้นระทึกมากขึ้น เพราะอย่างที่บอกไปว่าถ้าบริหารเกจไม่ดี ต่อให้มีช่องสวนกลับไปได้ แต่ไม่สามารถทำคอมโบเพื่อจบเกมได้เพราะติด Overheat อันนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายเหมือนกัน
แต่อย่างไรก็ตาม ข้อเสียที่ติดตัวเกมแนวนี้มาโดยตลอดก็คือเรื่องของความต่างระหว่างผู้เล่นที่เชี่ยวชาญแล้วกับผู้เล่นใหม่ ในเกมนี้เราจะรู้ได้ทันทีว่าคนเล่นคนไหนเล่นจนเซียนแล้วหรือเพิ่งหัดเล่น และระบบ Smart Style เองก็ไม่ได้มีระบบให้ใช้แบบครบถ้วน ที่ถ้าจะใช้ให้ครบ ก็ต้องไปเล่นแบบ Arcade Style ที่ต้องกดควงปุ่มทิศทางเพื่อกดท่าไม้ตายด้วยตัวเอง ซึ่งก็ต้องใช้เวลาในการฝึกฝนนานพอดู ยิ่งถ้าคนเล่นใหม่คนไหนไปเจอคนที่เทพ ๆ อัดจนอ่วม ก็ชวนให้ท้ออยู่เหมือนกัน
อีกข้อหนึ่งที่อาจจะเป็นข้อเสียในช่วงแรกที่เกมเพิ่งวางจำหน่าย นั่นคือเรื่องของความสมดุลหรือ Balance ของเกมที่ยังไม่ค่อยคงที่นัก เพราะบางตัวละครจะยังมีท่าคอมโบที่กดได้เรื่อย ๆ ไม่รู้จบที่เกิดมาจาก Bug ของเกม หรือมีความได้เปรียบมากกว่าตัวละครอื่น ซึ่งตรงนี้ก็เป็นหน้าที่ของทีมพัฒนาว่าจะแก้ไขได้เร็วแค่ไหน แต่เชื่อว่าด้วยพลังของชุมชนคนเล่นเกมต่อสู้ คิดว่าเรื่องนี้น่าจะถูกแก้ไขในเวลาไม่นานแน่นอน
แม้ความต่างระหว่างผู้เล่นทั้งสองระดับจะเห็นได้ชัดมาก แต่ด้วยระบบของเกมที่ลึก มีอะไรให้เราเรียนรู้ได้เยอะ ทำให้คนที่ชอบหรือสนใจในการเล่นเกมต่อสู้ สามารถเรียนรู้ระบบและสนุกไปกับตัวเกมได้อย่างเพลิดเพลินแน่นอน ยิ่งได้เพื่อนที่มีฝีมือระดับเดียวกันมาเล่นด้วย ก็จะยิ่งเป็นการพัฒนาฝีมือได้อย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน
เล่นได้ไหลลื่น แม้กระทั่งการเชื่อมต่อเล่นแบบออนไลน์
ในยุคหลังมานี้ SNK เลือกใช้บริการเอนจิ้นสามมิติตัวยอดนิยมอย่าง Unreal Engine มาโดยตลอด และ City of The Wolves เองก็เช่นกัน ซึ่งข้อดีก็คือมันเป็นเอนจิ้นยอดนิยมที่ปรับแต่งได้หลากหลายและไม่กินสเปคเครื่อง(ถ้าไม่ได้ใช้เทคนิคอย่าง Ray Tracing น่ะนะ) และกราฟฟิกของเกมก็สวยงามมีสไตล์แถมไม่ได้กินเครื่องมากเท่าไหร่แม้จะปรับสุดทุกอย่างแล้วก็ตาม
และในภาพรวมของเรื่อง Performance ในเกมนั้นก็สอบผ่านสบายสำหรับชาว PC เพราะตัวเกมแทบไม่เคยแสดงปัญหาหรือ Bug แปลก ๆ ออกมาให้เห็นเลย ซึ่งแน่นอนว่ามันอาจจะมีอยู่ แต่ก็ต้องทำเงื่อนไขบางอย่างที่ก็ไม่ใช่ว่าจะออกมากันได้ง่าย ๆ และมันก็ไม่ได้ส่งผลอะไรกับอารมณ์ในระหว่างเล่นเลยแม้แต่น้อย แถมยังรันได้ลื่น ๆ ที่ 60 FPS แบบไม่มีสะดุด เรียกว่าพร้อมรันได้ในทุกโหมดแน่นอน
ส่วนการเชื่อมต่อกับโลกออนไลน์นั้น SNK ก็ยังเลือกวิธีการเชื่อมต่อแบบ Rollback Netcode ที่เป็นมาตรฐานปัจจุบันของเกมต่อสู้ไปแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้เกมต่อสู้ทั่วไปจะใช้การเชื่อมต่ออีกแบบหนึ่ง ที่จะมาจากการวัดว่าฝั่งตรงข้ามที่เรากำลังเล่นอยู่นั้นห่างจากเราแค่ไหน มีความหน่วงขนาดไหน แล้วลดความเร็วของเกมลงจนหนืดไปหมด ซึ่งเรียกกันว่า Delay-Based Netcode ที่ไม่เอื้อต่อการเล่นออนไลน์ของเกมต่อสู้เลย
แต่ Rollback Netcode จะใช้การทำนายล่วงหน้าว่าผู้เล่นแต่ละฝ่ายจะออกท่าอะไรก่อนที่จะมีการส่งข้อมูล ซึ่งถ้าข้อมูลผิดก็จะมีการแก้ไขให้ถูกหรือก็คือ Rollback กลับมา โดยที่ความเร็วของเกมจะไม่ลดลงเลย ทำให้การเล่นกับผู้เล่นที่มี Ping สูงมากกว่า 150 ยังคงเล่นได้อย่างลื่นไหลเหมือนนั่งเล่นข้าง ๆ กัน ทำให้จากเมื่อก่อนที่เราจะไปเล่นวัดฝีมือกับผู้เล่นทางฝั่งญี่ปุ่นหรือเกาหลีใต้ไม่ได้เลย เดี๋ยวนี้เล่นได้สบาย ไม่มีปัญหาเลย ทำให้วงของคนที่จะมาเล่นออนไลน์ด้วยนั้นกว้างขึ้น และหาคนเล่นด้วยได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
อีกเรื่องหนึ่งที่ถูกปรับปรุงมาจากช่วง Open Beta ก็คือการ Matchmaking ที่ในช่วงทดสอบนั้นหาคนเล่นด้วยยากมาก ๆ แต่ตอนนี้ปัญหาเหล่านี้ได้รับการแก้ไขแล้ว ถ้าเล่นในช่วงเวลาที่มีคนเล่นเยอะ ๆ รับรองว่าใช้เวลาหาคนเล่นด้วยไม่นาน สักประมาณ 40 – 50 วินาทีก็เจอแล้ว หรือนานหน่อยก็ไม่เกิน 3 นาที และปรับแต่งได้ว่าจะเจอกับคนเล่นที่มีสัญญาณขั้นต่ำที่กี่ขีด ซึ่งจุดที่รับได้มากที่สุดนั้น สักสามขีด Ping 150 ก็ยังเล่นได้ลื่นและเต็มอรรถรสอยู่แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงแต่อย่างใด
แต่ถ้าใครโชคไม่ดี ไปเจอคนเล่นที่มีอาการ Lag Spike ก็อาจจะต้องน้ำตาตกในนิดหน่อย แบบว่าก่อนกดเข้าไปเล่นด้วยยังโชว์สัญญาณ 4 ขีด แต่เข้าไปแล้วเจอ Rollback Frame เป็นสิบอย่างนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกัน แต่เรื่องพวกนี้ก็ไม่ได้เจอบ่อย คือแค่นาน ๆ ทีถึงเจอ ไม่ได้รู้สึกน่าหงุดหงิดนัก
รวม ๆ แล้วในด้าน Performance ก็แทบจะไม่มีอะไรให้ติเลย แม้โหมดออนไลน์อาจจะไปเจอแจ็คพอตคนกระตุกบ้าง แต่ก็ไม่ได้เจอบ่อยหรือทำให้เสียอารมณ์แต่อย่างใด
Conclusion
Fatal Fury: City of The Wolves คือเกมต่อสู้ที่โอบรับความเป็นยุคสมัยใหม่อย่างเต็มที่และพยายามเปิดกว้างให้กับคนเล่นใหม่เข้ามาสนุกกับเกม แม้จะมีระดับการเรียนรู้ที่ค่อนข้างสูง แต่ถ้าหากคุณเข้าใจมันและเล่นเป็น นี่เป็นประสบการณ์เกมต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของปี 2025 นี้เลย ไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนเกมนี้หรือเกมอื่น ๆ ของค่าย SNK หรือไม่ แต่คุณจะสนุกกับมันได้อย่างแน่นอน