เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา ทาง GamingDose ของเราได้รับเกียรติจากทาง 2K ให้เดินทางไปยังกรุงเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน เพื่อเข้าร่วม Session การทดลองเล่นเกม Borderlands 4 รวมไปถึงได้ฟังแนวคิด และข้อมูลใหม่ของเกมภาคนี้จากปากสองหัวเรือใหญ่ของเกมภาคนี้อย่างคุณ Randy Pitchford และ Anderw Reiner ด้วย และในภาคที่ 4 ของแฟรนไชส์เกมยิง Loot Shoot นี้ มีอะไรใหม่ เปลี่ยนอะไรไปบ้าง วันนี้เรามีคำตอบ
เปลี่ยน HUD จาก Minimap ไปใช้แบบ Compass
2 ผู้พัฒนาเริ่มต้นด้วยการอธิบายว่าทำไม Borderlands 4 ถึงเลือกใช้ระบบ HUD แบบเข็มทิศแทน minimap แบบเดิม โดยย้อนไปถึง Borderlands ภาคแรกที่เคยใช้ระบบเข็มทิศ และมีความตั้งใจจะสร้างโลกที่กว้างใหญ่และซับซ้อน ทั้งในแนวราบและแนวดิ่ง แต่ยังทำไม่สำเร็จเต็มที่ในภาคก่อนๆ อย่างภาค 1, 2 และ 3
ทีมงานจึงลงทุนกับระบบเข็มทิศภายในเกมอย่างจริงจัง เพราะมันช่วยให้ผู้เล่นรู้ว่าจุดหมายอยู่ใกล้หรือไกลได้ทันที อีกทั้งยังพัฒนาแผนที่ใหญ่ให้แสดงระดับความสูงและชั้นต่างๆ ได้ดีขึ้น เพิ่มฟีเจอร์ “Echo” ที่แสดงเส้นทางในสภาพแวดล้อมจริง ซึ่งแก้ปัญหาหลักของ minimap ที่ไม่สามารถบอกตำแหน่งเชิงความสูงได้ และเนื่องจาก minimap กินทรัพยากรระบบสูง ทีมจึงตัดสินใจตัดออกเพื่อใช้ทรัพยากรเหล่านั้นกับระบบเกมเพลย์อื่นแทน เช่น จำนวนทักษะ (Skills) และอาวุธที่มากที่สุดในซีรีส์
การออกแบบโลกที่ “ไปได้ทุกที่ ถ้าเรามองเห็น”
ผู้พัฒนาเผยว่าใน Borderlands 4 ไม่จำเป็นต้องสร้างฉากจำลอง (Skybox) เพื่อให้ดูเหมือนโลกกว้างอีกต่อไป เพราะด้วยเทคโนโลยีและประสบการณ์ ทีมสามารถสร้างโลกที่เชื่อมโยงกันทั้งหมดอย่างไร้รอยต่อ ทุกสถานที่ที่ผู้เล่นมองเห็นสามารถเข้าถึงได้จริง แม้แต่ดวงจันทร์ที่อยู่บนฟ้า ผู้เล่นก็สามารถไปได้เช่นกัน จุดเด่นคือการสำรวจที่ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับภารกิจหลัก ผู้เล่นสามารถปีนเขา หาที่ซ่อน หรือเดินทางไปยังจุดเล็กๆ และจะมีรางวัลรออยู่เสมอ ซึ่งเป็นผลจากกระบวนการพัฒนาที่ใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ เช่นการที่ทีมงานจะใส่บางอย่างเข้าไปในที่ที่ผู้เล่น “อาจจะ” ไปถึง
พัฒนาการด้านเนื้อเรื่อง หลังเหตุการณ์ของ Lilith
เนื้อเรื่องของ Borderlands 4 เริ่มต้นหลังจากการเสียสละของ Lilith ในภาค 3 โดยเน้นความสมดุลในการเล่าเรื่องเพื่อให้เหมาะทั้งสำหรับผู้เล่นหน้าใหม่และแฟนเก่า จุดตั้งต้นคือดาว Kyros ที่มีความลึกลับและเต็มไปด้วย Vaults ส่วนผู้เล่นใหม่จะเข้าใจเนื้อเรื่องจากการเล่าในเกมทันทีโดยไม่ต้องรู้จัก Lilith ส่วนผู้เล่นเก่าจะได้เชื่อมโยงเนื้อเรื่องจากตัวละครที่คุ้นเคย เช่น Zane หรือ Moxie ที่กำลังตามหา Lilith อยู่ การเล่าเรื่องเน้นประเด็น “Borderland” หรือพรมแดนระหว่างความปรารถนาและความเป็นจริง, ความเป็นระเบียบและความวุ่นวาย ซึ่งไม่เพียงสะท้อนผ่านตัวละคร แต่ยังสะท้อนถึงทีมพัฒนาและสถานการณ์ของ Gearbox ด้วย
การเสียสละของ Lilith คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราว
เรื่องราวเริ่มต้นด้วยการเสียสละของ Lilith ซึ่งใช้พลังของ Siren ในการเทเลพอร์ตดวงจันทร์ Elpis ออกไปจากระบบดาว เพื่อป้องกันไม่ให้มันปลดล็อก Pandora และนำหายนะมาสู่โลกนั้น เธอยอมแลกชีวิตของตนเองเพื่อช่วยเหลือเพื่อน ๆ และผู้คนทั้งหมด พลังของเธอส่ง Elpis และตัวเธอเองไปยังดาวเคราะห์ลึกลับชื่อว่า Kairos ซึ่งเป็นสถานที่ถูกปกคลุมด้วยม่านพลังลึกลับที่ปิดบังจากจักรวาล แต่การมาถึงของ Elpis ทำให้ม่านพลังนั้นแตกออกเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์
การก่อกำเนิดของลัทธิ Ripper และสงครามกลางเมือง
หลังจากม่านพลังของ Kairos แตกออก ผู้คนที่นั่นได้เห็นดวงดาวเป็นครั้งแรก หนึ่งในนั้นคือหญิงชาวนา ซึ่งพบหน้ากากที่ตกลงมาจาก Elpis เธอถือว่ามันเป็นสัญญาณจากเทพเจ้า และดึง “โบลต์” ออกจากร่างกายตนเอง เป็นการปลดพันธนาการจาก Time Keeper ผู้ควบคุมโลกมานานนับพันปี การดึงโบลต์นั้นอันตรายถึงตาย แต่เธอรอด และเริ่มก่อตั้งลัทธิ Ripper ที่กระตุ้นให้ผู้คนฉีกโบลต์ออก แม้จะต้องแลกด้วยชีวิต ผู้รอดชีวิตกลายเป็นนักปฏิวัติและลุกขึ้นต่อต้าน Time Keeper ก่อให้เกิดสงครามกลางเมืองกับกองทัพไซเบอร์เนติกส์ของ Time Keeper ที่เรียกว่า “The Order”
บทบาทของผู้เล่นในฐานะ Vault Hunter และการออกสำรวจโลกแบบ Open World
ผู้เล่นรับบทเป็น Vault Hunter ที่เดินทางมาถึงดาว Kairos ท่ามกลางความขัดแย้งดังกล่าว จุดมุ่งหมายของผู้เล่นไม่ใช่เรื่องการเมืองหรือสงคราม แต่เพื่อค้นหาขุมทรัพย์จาก Vaults ในตำนานที่ Kairos ผู้เล่นจะเริ่มต้นบนภูเขาที่สามารถมองเห็นฐานของกลุ่ม Outlaw Hunters ซึ่งเป็นพันธมิตรชั่วคราว ผู้เล่นจะได้รับภารกิจแรกเพื่อป้องกันฐานจากการโจมตีของ The Order และหลังจบภารกิจนี้จะได้ยานพาหนะส่วนตัว
ซึ่งระบบยานพาหนะในเกมภาคนี้มีการปรับปรุงใหม่ สามารถเรียกใช้หรือเก็บเข้ากระเป๋าดิจิทัลได้ทุกที่ ไม่ต้องพึ่งจุดเรียกรถเหมือนภาคก่อน
ความเปลี่ยนแปลงในตัวตนของ Gearbox
ทีมงาน Gearbox เองก็อยู่ในสถานการณ์ที่คล้ายกับธีมของเกม จากสตูดิโออิสระที่เคยเป็นอิสระเต็มตัว สู่การเป็นส่วนหนึ่งของ Embracer และล่าสุดอยู่ภายใต้ Take-Two Interactive การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ทีมรู้สึกถึงการขยับระหว่าง “อิสระ” กับ “การควบคุม” ซึ่งสะท้อนออกมาในธีมหลักของเนื้อเรื่อง Borderlands 4
การปรับสมดุลของโทนเรื่องและมุกตลก
คำวิจารณ์สำคัญของ Borderlands 3 คือการใช้มุกตลกที่เยอะเกินไปจนทำให้เสียจังหวะในการเล่าเรื่อง Borderlands 4 จึงปรับจังหวะให้สมดุลขึ้น โดยเปรียบเทียบว่าจากเดิมที่เป็น “ปืนกลมุก” ตอนนี้กลายเป็น “สไนเปอร์” คือยิงทีเดียวและได้ผล ผู้พัฒนาให้ความสำคัญกับการประสานงานระหว่างทีมเล่าเรื่องหลักและภารกิจย่อย เพื่อให้ทุกอย่างเชื่อมโยงกันได้ดีขึ้น และคงไว้ซึ่งสไตล์ Borderlands ที่เล่นระหว่างดราม่ากับคอเมดี้ เปรียบได้ว่าเกมนี้ไม่ใช่ทั้งเรื่องจริงจังหรือเรื่องขำขันอย่างเดียว แต่เป็นทั้งสองสิ่งที่กลมกลืนกัน และภาคนี้ทีมมั่นใจว่าได้ “จุดสมดุลที่ดีที่สุด” ในซีรีส์แล้ว
โหมด Online และ Endgame Content
ตัวเกมยืนยันว่าในช่วงที่เกมวางจำหน่ายวันแรก ตัวเกมจะรองรับการเล่นแบบ Co-op ซึ่งในภาคนี้ได้ปรับปรุงระบบการเล่นให้ยอดเยี่ยมที่สุด มีระบบล็อบบี้ที่ดีขึ้น และเทเลพอร์ตหากันและกันได้อย่างอิสระระหว่างสมาชิกร่วมทีม ทำให้สามารถออกสำรวจโลกที่ไร้รอยต่อได้ราบรื่นมากยิ่งขึ้น แต่ในส่วนของ Endgame Content นั้น ยังไม่มีรายละเอียดในตอนนี้ โดยทีมงานเปิดเผยแค่ว่า Endgame Content ในภาคนี้ จะได้รับการพัฒนาและปรับปรุงให้ดีที่สุดในซีรีส์ Borderlands